ความอ่อนน้อมถ่อมตนและการรักษาความบริสุทธิ์เป็นสิ่งสำคัญมากในอิสลาม ซึ่งจะบรรลุถึงสิ่งนี้ได้ก็โดยมาตรฐานที่อธิบายไว้ในเรื่องของการประพฤติตัวและการแต่งกายของมุสลิม ผู้หญิงที่ยึดมั่นในคำสอนของอิสลามมีข้อกำหนดให้แต่งกายในชุดที่เรียกว่าฮิญาบ หรือผ้าคลุมศีรษะ มันคือการกระทำตามความศรัทธาและตั้งมั่นในการใช้ชีวิตของมุสลิมด้วยการมีเกียรติ มีความเคารพ และมีศักดิ์ศรี เจตนารมณ์ของฮิญาบคือเพื่อเป็นการปลดปล่อยสำหรับผู้หญิง ด้วยการปกปิดร่างกายนำมาซึ่ง “กลิ่นอายของความเคารพ” และผู้หญิงได้รับการยอมรับว่าเป็นบุคคลที่น่ายกย่องเนื่องจากจิตใจและบุคลิกของพวกเธอ “ไม่ใช่เนื่องจากความสวยหรือไม่สวยของพวกเธอ” และไม่ใช่เป็นวัตถุทางเพศ
ตรงกันข้ามกับความเชื่อโดยทั่วไป การปกปิดร่างกายของผู้หญิงมุสลิมไม่ใช่การกดขี่แต่เป็นการปลดปล่อยจากโซ่ตรวนแห่งการพินิจพิเคราะห์ของเพศชายและหลุดพ้นจากมาตรฐานของความน่าดึงดูดใจ ในอิสลาม ผู้หญิงมีอิสระที่จะเป็นอย่างที่เธอเป็นภายใน และมีภูมิคุ้นกันจากการถูกวาดภาพให้เป็นสัญลักษณ์ทางเพศและอารมณ์ปรารถนา อิสลามยกย่องสถานะของผู้หญิงด้วยการกำหนดให้เธอ “มีสิทธิเท่าเทียมกับผู้ชายในทุกด้าน และยืนตำแหน่งที่เท่าเทียมกันกับผู้ชาย” และทั้งสองมีส่วนร่วมในสิทธิและหน้าที่ของแต่ละฝ่ายในทุกแง่มุมของชีวิต
ความเท่าเทียมกันระหว่างชายหญิงไม่ใช่ความเหมือนกัน แต่เป็นการให้ความเคารพต่อกันและกันในบทบาทและหน้าที่ที่แตกต่างกันที่พวกเขามีภาระรับผิดชอบ “ในมุมมองของอิสลาม การมองผู้หญิงว่าเป็นสัญลักษณ์ทางเพศเป็นการหมิ่นประมาท อิสลามเชื่อว่าผู้หญิงควรถูกตัดสินด้วยบุคลิกลักษณะและการกระทำของเธอมากกว่าด้วยภาพลักษณ์หรือรูปกายภายนอก”
ในหนังสือ “My Body Is My Own Business” (ร่างกายของฉันเป็นเรื่องของฉัน) ของนาฮีด มุสฏอฟา ผู้หญิงมุสลิมที่เกิดและเติบโตในแคนาดา จบการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย เขียนไว้ว่า
“อัล-กุรอานสอนเราว่า ผู้ชายและผู้หญิงเท่าเทียมกัน และบุคคลไม่ควรถูกตัดสินเนื่องจากเพศ รูปร่างหน้าตา ทรัพย์สมบัติ หรือสิทธิพิเศษ สิ่งเดียวที่ทำให้คนคนหนึ่งดีกว่าอีกคนหนึ่งก็คือลักษณะความประพฤติของเขา”
เธอเขียนต่อไปว่า
“ในโลกตะวันตก ฮิญาบได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของการบังคับให้เงียบหรือความรุนแรง หรือการแข็งข้ออย่างไร้เหตุผล ทั้งที่จริงแล้วมันไม่ใช่เช่นนั้นเลย มันแค่เป็นการยืนยันของผู้หญิงว่า การตัดสินรูปร่างหน้าตาส่วนตัวของเธอนั้นไม่มีบทบาทอะไรเลยไม่ว่าจะเป็นการปฏิสัมพันธ์ทางสังคมรูปแบบใดก็ตาม”
มุสลิมเชื่อว่า พระผู้เป็นเจ้าได้มอบความงามให้แก่ผู้หญิงทุกคน แต่ความงามของเธอจะไม่เผยให้โลกเห็นในฐานะที่เสมือนเธอเป็นก้อนเนื้อบนโต๊ะให้เลือกหยิบฉวยหรือมองผ่านไป เมื่อผู้หญิงปกปิดร่างกายของเธอ เธอได้วางตัวเองไว้ในระดับที่สูงขึ้น และผู้ชายจะสังเกตเห็นสติปัญญาของเธอ ความศรัทธา และบุคลิกลักษณะของเธอ ไม่ใช่มองหาแต่ความงามของเธอ ในสังคมจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศตะวันตก ผู้หญิงถูกสอนมาตั้งแต่เด็กว่าคุณค่าของพวกเธอถูกกำหนดไปตามความน่าดึงดูดใจของพวกเธอ และถูกบังคับให้ปฏิบัติตามมาตรฐานความงามของผู้ชายกับความคิดเลื่อนลอยว่าอะไรคือความน่าสนใจ โดยมีความสำนึกรู้เพียงครึ่งว่าการแสวงหาเช่นนั้นไม่มีประโยชน์อะไรและมักจะเป็นความน่าอัปยศอดสู
ความบริสุทธิ์ ความอ่อนน้อมถ่อมตน และความศรัทธาในศาสนา ได้รับการส่งเสริมโดยขนบธรรมเนียมของการปกปิดร่างกาย “ฮิญาบไม่ได้ขัดขวางผู้หญิงจากการเล่นบทเป็นบุคคลสำคัญในสังคม และไม่ทำให้เธอด้อยกว่าแต่อย่างใดเลย”
ผู้หญิงมุสลิมจะสวมใส่อะไรก็ได้ที่เธอพอใจต่อหน้าสามีและครอบครัวของเธอ หรือในกลุ่มเพื่อนผู้หญิงด้วยกัน แต่เมื่อเธอออกไปข้างนอกหรือเมื่อมีชายอื่นนอกจากสามีหรือสมาชิกครอบครัวที่ใกล้ชิดอยู่ ณ ที่นั้น เธอจะต้องสวมชุดที่ปกปิด (ผมของเธอและ) ทุกส่วนของร่างกาย และไม่เปิดเผยทรวดทรงของเธอ ตรงกันข้ามกันอย่างยิ่งกับสมัยนิยมของตะวันตก ซึ่งแต่ละปีจะจดจ่อกันอย่างตั้งอกตั้งใจที่จะเปิดเผยเรือนร่างในขอบเขตที่ยิ่งกระตุ้นกำหนัดมากขึ้นไปอีกต่อสายตาของสาธารณชน เจตนารมณ์ของเครื่องแต่งกายแบบตะวันตกคือเพื่อเปิดเผยทรวดทรง ในขณะที่เจตนารมณ์ของเครื่องแต่งกายแบบอิสลามคือเพื่อปกปิด(และคลุม) มันไว้ อย่างน้อยในที่สาธารณะ