ไทยแลนด์
Tuesday 24th of December 2024
0
نفر 0

อิมามมะฮฺดี (อ.)ในช่วงเร้นกาย

อิมามมะฮฺดี (อ.)ในช่วงเร้นกาย

ดุอาเพื่อการปรากฏกายของอิมามมะฮ์ดี
اللهم كن لوليك الحجه بن الحسن صلواتك عليه و على آبائه فى هذه الساعه و فى كل ساعه وليا و حافظا و قائدا و ناصرا و دليلا و عينا حتى تسكنه إرضك طوعا و تمتعه فيها طويلا


โอ้อัลลอฮฺ ขอให้พระองค์ทรงดำรงสถานะผู้เปี่ยมไมตรีจิต ผู้ปกปักษ์ ผู้ชี้นำ ผู้ช่วยเหลือ ผู้ชี้นำทาง ผู้ดูแล ต่อกัลยาณมิตรของพระองค์ หุจญะติบนิลฮะซัน (ขอพรจากพระองค์จงประสพแด่ท่านและบรรดาบรรพชนของท่าน) ทั้งในขณะนี้และทุก ๆเวลา เพื่อพระองค์จะให้เขาดำรงเหนือพื้นพิภพอย่างได้รับการภักดี และให้เขาได้รับความสะดวกโยธิน ณ แผ่นดินอย่างยาวนาน



ประโยชน์และความสิริมงคลของการมีอิมามามะฮฺดี (อ .) ในช่วงของการเร้นกายนั้นเป็นที่ชัดเจน ซึ่งรายละเอียดของสิ่งนี้ได้ถูกบันทึกอยู่ในตำราต่าง ๆมากมาย และบางครั้งเราก็ได้รับประสบการณ์นั้นด้วยกับตัวของเราเอง แน่นอนการที่จะกล่าวถึงประโยชน์และคุณค่าของการเร้นกายนั้นไม่อาจกล่าวให้จบ ให้สมบูรณ์ได้ด้วยการเขียนบทความสักสองสามหน้า แต่สิ่งที่สามารถนำเสนอได้ตรงนี้คือขณะท่านอิมาม (อ.) ปรากฏตัวนั้นเราได้รับความสิริมงคลใดบ้าง และช่วงเวลาที่อิมามได้เร้นกายไปความสิริมงคลใดได้ถูกตัดออกไปจากเรา

แต่น่าเสียดายอยู่ประการหนึ่งคือ พวกเรารู้จักอิมามและตำแหน่งของอิมามะฮฺเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ทั้งที่พวกเราต่างเป็นสรรพสิ่งถูกสร้างบนความรักและความเอ็นดูของพระผู้สร้างที่มีต่อท่านบรรดาอิมาม และด้วยบะร่อกัตของท่านริสกีได้ตกมาถึงสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย[๑] และน่าเสียดายอีกเช่นกันว่ามีชนบางกลุ่มได้ใช้บะร่อกัตนั้นมากกว่าใครอื่น ทั้งหมดแต่พวกเขากับไม่ใส่ใจทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้และปล่อยปละละเลย

การรู้จักอิมามโดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านอิมามมะฮฺดี (อ.) สำหรับผู้ที่เป็นชีอะฮฺแล้วถือเป็นความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีอีมานและเชื่อว่าภายหลังจากท่านศาสดา (ศ็อลฯ)แล้ว มีอิมามผู้นำที่บริสุทธิ์อีกสิบสองท่าน ซึ่งหนึ่งในสิบสองท่านนั้นมีอยู่ท่านหนึ่งที่ยังมีชีวิตและอยู่ในสภาพของการเร้นกายจนถึงปัจจุบัน และวันหนึ่งท่านจะปรากฏกายออกมาตามพระบัญชาและพระประสงค์ของอัลลอฮฺ (ซบ.) แก่นแท้ของการมีอยู่ของท่านอิมาม การเร้นกาย ตลอดจนการปรากฏกายของท่านเป็นที่ยอมรับของอหฺลิซซุนนะฮฺส่วนมาก ซึ่งท่านคนได้กล่าวอ้างด้วยซ้ำไปว่าเขาได้พบกับท่านอิมาม สิ่งนี้ได้แสดงให้เห็นว่าความเชื่อเรื่องมะฮฺดี (อ.) ความรักที่มีต่อท่านไม่ได้เฉพาะเจาะจงอยู่ในแวดวงของชีอะฮฺเท่านั้น

สิ่งเดียวที่ชีอะฮฺมีความแตกต่างกับคนอื่นในเรื่องนี้คือ ความเชื่อในการเป็นอิมามะฮฺ(สถานภาพการเป็นผู้นำ) การมีชีวิตยาวนาน การเร้นกาย ซึ่งวันหนื่งท่านจะปรากฏกายออกมาเพื่อปฏิบัติหน้าที่การเป็นอิมามของท่านและทำให้โลกนี้เปี่ยมล้นไปด้วยความยุติธรรมเหล่านี้เป็นเงื่อนไขความเชื่อของชีอะฮฺสิบสองอิมาม และในช่วงที่อิมามเร้นกายก็ได้รับประโยชน์จากอิมามในด้านตักวีนี (การกำหนดกฏเกณฑ์) และการตะวัสสุล (การขอสื่อสัมพันธ์)

ประโยชน์ของการตะวัสสุล
มีความสิริมงคลมากมายในการตะวัสสุลได้ถูกประทานให้กับท่านอิมามมะฮฺดี (อ.) ซึ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้มีเรื่องเล่าที่ถูกบันทึกไว้ในตำราต่าง ๆ อาทิเช่น นัจมุษษากิบ ของท่านมีรฺซา นูรีย์ การมีอยู่ของอิมามในช่วงของการเร้นกายนั้นเปรียบเสมือนดวงอาทิตย์ที่อยู่ หลังก้อนเมฆ[๒] เราไม่อาจมองเห็นอิมามได้ แต่ท่านนั้นเป็นรัศมีที่ฉายส่อง และเป็นบะร่อกัตที่ถูกประทานลงมา ที่ให้ทั้งแสงสว่างและความร้อนแก่โลกและประชาโลกทั้งหลาย ท่านได้วางรากฐานแนวทางในการดำเนินชีวิต ซึ่งบุคคลใดรู้จักท่านเขาจะรู้ทันที่ว่ามีเพียงม่านเท่านั้นที่เป็นอุปสรรค ขว้างกั้นระหว่างท่านกับอิมาม

การรู้จักอิมาม
ปัญหาอยู่ตรงที่ว่าเมื่ออิมามคงปรากฏอยู่อย่างปรกตินั้น เราไม่สามารถเข้าใจได้อย่างดีถึงฐานะภาพที่แท้จริงของการเป็นอิมาม และท่านนั้นมีบทบาทอย่างไรในการกำหนดกฎเกณฑ์และกฎการปฏิบัติ อีกนัยหนึ่งการมีอยู่ของอิมามมีบะร่อกัต(ความจำเริญ)ใด และเมื่อท่านไม่อยู่ บะร่อกัตใดที่ได้ถูกตัดออกไปจากสังคม ? สิ่งสำคัญเราต้องยอมรับว่าการรู้จักอิมามของพวกเรานั้นอยู่ขั้นธรรมดา เราได้ละเลยและไม่ได้ใส่ใจเท่าที่ควรหรือหากจะกล่าวไปแล้วไม่ได้เฉพาะเจาะจง อยู่แค่เรื่องการรู้จักอิมามเท่านั้น ทว่าเกี่ยวกับความรู้ด้านอื่น ๆก็เช่นกันเมื่อเราเริ่มเรียนรู้ผู้คนส่วนมากมักจะทุ่มเทไปในเรื่องของกฎการปฏิบัติมากกว่า

เพื่อว่าวันข้างหน้าเราอาจได้เป็นผู้ปกครอง หรือผู้เชี่ยวชาญสามารถวินิจฉัยปัญหาของศาสนาได้ (มุจตะฮิด)

ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสิ่งที่จำเป็นที่สุดในการเรียนรู้อิสลามนั้น ต้องเริ่มจากการสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับความเป็นเอกภาพของพระผู้เป็นเจ้า เรื่อยลงไปจนไปถึงการรู้จักอิมามและมะอาด แต่น่าเสียดายที่ว่าสิ่งเหล่านี้อ่อนแอเสียเหลือเกินในหมู่ของมุสลิมทั้งหลาย มุสลิมนั้นเชื่อว่าอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงอยู่ทุกที ถามว่าความเชื่อนี้มีอิทธิพลต่อการกระทำและความประพฤติของเรามากน้อยเพียงใด ?

มันสามารถปกป้องเราไม่ให้ทำความผิดบาปเมื่อเราอยู่ตามลำพังเพียงคนเดียวได้ ไหม ? หรือว่าเปรียบเสมือนเด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะเขาสามารถมีอิทธิพลกับเราได้ไหม ? และความเชื่อที่ว่าอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรากฏทุกๆที่นั้นมีผลกับชีวิตเราบ้างไหม ? เราเคยถามตัวเราเองบ้างไหมว่าความรู้และความเข้าใจเหล่านี้ที่บันทึกอยู่ใน ดุอาอ์และคำวิงวอนต่างๆ นั้นเราเคยสนใจและเราเคยเข้าใจบ้างหรือไม่ ?

และยังมีสิ่งอื่น ๆอีกมากมาย แต่สำหรับคนที่เชื่อจริงว่า มีมลาอิกะฮฺนามว่าญิบรออีลองค์หนึ่งเป็นผู้นำเอาวะฮีย์ (วิวรณ์) จากพระผู้เป็นเจ้ามาให้ท่านศาสดา (ศ็อลฯ) มีพระผู้เป็นเจ้าผู้คอยออกคำสั่ง และดลใจบางสิ่งบางอย่างแก่ท่านศาสดา (ศ็อลฯ) สิ่งเหล่านี้ประชาชนทั่วไปก็เชื่อเราเองก็เชื่อ และเราเคยถามตัวเองบ้างไหมว่าเรามีความเชื่ออะไรที่เป็นพิเศษมากไปกว่านี้ บ้าง ? และเกี่ยวกับเรื่องอิมามซะมาน (อ.) นั้นถ้าหากเราพิจารณาหนังสือดุอาอ์ (มะฟาติหุลญะนาน) บางวรรคตอนของดุอาอ์เราจะพบว่าตัวของเรานั้นยังห่างไกลอีกมากอาทิเช่นดุอาอ์ ที่กล่าวว่า

من إراد الله بدإ بكم و من وحده قبل عنكم و من قصده توجه بكم...
บางตอนของซิยาเราะฮฺญามิอะตุลกะบีเราะฮ์ กล่าวว่า บุคคลที่ปรารถนาอัลลอฮฺ เขาได้เริ่มต้นที่ท่าน บุคคลที่ยอมรับว่าพระองค์เป็นหนึ่งเดียวเขาได้ยอมรับท่าน บุคคลที่ปรารถนาไปสู่พระองค์เขาได้หันมาหาท่าน...

หมายถึงอะไร?

หรือประโยคที่กล่าวว่า โอ้อัลลอฮฺ เราขอเริ่มด้วยสื่อของพระองค์ และโดยสื่อของพระองค์เราขอสิ้นสุด

.. بكم فتح الله و بكم يختم
พระองค์ทรงเปิด(ริเริ่มสิ่งต่างๆ)ด้วยกับพวกท่าน และทรงยุติด้วยกับพวกท่าน

ประโยคเหล่านี้เราเข้าใจว่าอย่างไร ?

.. بكم يمسك السمإ ان تقع على الارض الا باذنه و بكم ينفس الهم و يكشف الضر
โอ้อัลลอฮฺ โดยพระองค์แผ่นฟ้าได้ถูกรักษาไว้เพื่อไม่ให้ร่วงหล่นลงมายังพื้นดิน ไม่ใช่เพราะคำสั่งของเขาและโดยผ่านพระองค์ดอกหรือที่ความเศร้าโศกและความไม่สบายใจได้ถูกยกออกไป

ซึ่งประโยคเหล่านี้เราได้อ่านผ่านครั้งแล้วครั้งเล่า แต่เราเคยคิดถึงความหมายของมันบ้างไหม ความหมายด้านในของดุอาอ์นั้นหมายถึงอะไร?

...بكم ينزل الغيث وبكم يمسك السمإ ...
โดยสื่อของท่านฝนได้ตกลงมา และท้องฟ้าได้รับการปกปักษ์รักษาเอาไว้

. وبيمنه رزق الورى...
และโดยสื่อของเขาริซกี (เครื่องยังชีพ) ได้ไปถึงยังมวลสรรพสิ่ง..

. خلقكم الله إنوارا فجعلكم بعرشه محدقين حتى من علينا بكم ...
อัลลอฮฺทรงสร้างท่านมาในรูปของรัศมี (นูรฺ) ให้รายล้อมอยู่รอบ ๆ บัลลังก์ของพระองค์จนกระทั่งพระองค์ได้ทรงแสดงพระคุณเหนือพวกเราด้วยพวกท่าน

ดุอาอ์เหล่านี้หมายความอะไร ? บรรดาศาสดา และอิมามผู้บริสุทธิ์ที่เราได้รู้จักท่านว่าเป็นบุตรของใคร และถือกำเนิดเมื่อไหร่ สิ้นชีพเมื่อปีอะไร เฉพาะท่านอิมามซะมาน (อ.) เท่านั้นที่ยังมีชีวิตอยู่ส่วนอิมามท่านอื่น ๆได้เป็นชะฮีดไปหมดแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้ประโยคนี้ของดุอาอ์หมายความว่าอะไร ?

.. فجعلكم فى بيوت إذن الله إن ترفع و يذكر فيه اسمه ..
พระองค์ทรงให้ท่านพำนักในบ้านหลังหนึ่ง .ซึ่งพระองค์ทรงมีบัญชาให้ทำการยกฐานันดรและทำการรำลึกถึงนามเหล่านั้นในนั้น

ความหมายของประโยคคืออะไร มีความหมายอะไรซ่อนอยู่ผู้มีปัญญาน้อยนิดอย่างเราคงไม่สามารถเข้าใจได้อย่าง ถ่องแท้ เพียงแต่รู้ว่ามีสิ่งหนึ่งที่นอกเหนือไปจากสิ่งที่เราเข้าใจกันซ่อนอยู่ แน่นอนทารกที่อยู่ในครรภ์ของมารดาได้ทำการสรรเสริญอัลลอฮฺ (ซบ.) ซึ่งแตกต่างไปจากทารกทั่ว ๆไปที่เรารู้จักกัน หรือในบางครั้งทารกได้คลอดออกจากครรภ์ของมารดาออกมาอยู่ในท่าสุญูด แน่นอนทารกเหล่านี้ย่อมแตกต่างไปจากทารกคนอื่น ๆ ริวายะฮฺกล่าวว่ามีอะอิมมะฮฺ (อ.) บางท่านรวมทั้งท่านหญิงฟาฏิมะฮฺขณะที่อยู่ในครรภ์ของมารดาได้พูดคุยกับมารดาของตนและเป็นกำลังใจให้กับมารดา คำอธิบายโองการหนึ่งที่อัลลอฮฺ (ซบ.) ตรัสกับมลาอิกะฮฺว่า

(... إ نبـونى بإسمآء هـولا ء
จงแจ้งฉันถึงนามชื่อเหล่านั้น[๓]

ริวายะฮฺกล่าวว่า ฮาอุลาอิ บ่งบอกถึงรัศมี (นูรฺ) ของอหฺลุลบัยตฺ (ฮ.) ที่อยู่ในโลกนั้น ซึ่งถือว่าเป็นเกียรติยศสำหรับท่านศาสดาอาดัม (อ.) ที่มีต่อเหล่าบรรดามลาอิกะฮฺทั้งหลายเนื่องจากท่านได้เรียนรู้ถึงนามต่าง ๆเหล่านั้น อัลลอฮฺ (ซบ.) ตรัสว่า

و علم آدم الا سمآء كلها
และพระองค์ได้สอนนามเหล่านั้นทั้งหมดแก่อาดัม[๔]

อัลลามะฮฺฏ่อบาฏ่อบาอีย์ กล่าวว่า บรรดาท่านเหล่านั้นเป็นนามต่าง ๆที่พระองค์ได้สอนแก่อาดัม(อ.)[๕] พวกเขาได้ถูกสร้างก่อนที่พระองค์อัลลอฮฺ (ซบ.) จะสร้างอาดัม (อ.) ท่านศาสดา (ศ็อลฯ) กล่าวว่า

كنت نبيا و آدم بين المإ و الطين
ฉันเป็นนบีตั้งแต่อาดัมยังอยู่ระหว่างน้ำกับดิน[๖]

คำพูดเหล่านี้หมายถึงอะไร? แน่นอนเป็นการพิสูจน์ให้เห็นถึงการมีอยู่ของรัศมีหนึ่งแห่งอหฺลุลบัยตฺ (อ.) และมนุษย์นั้นพยายามอย่างยิ่งที่จะนำความรู้ของตัวเองเทียบกับรัศมีเหล่านั้น มีคำพูดหนึ่งกล่าวว่า อัลลอฮฺทรงสร้างพวกท่านในสภาพของรัศมี (นูรฺ)[๗] (خلقكم الله إنوارا) รัศมีในที่นี้หมายถึงอะไร ? เป็นรัศมีเหมือนกับแสงตะเกียง พระอาทิตย์ ดวงจันทร์ หรือว่าดวงดาวที่เราได้เห็นกัน หรือว่าเป็นอย่างอื่นที่เราไม่เคยพบเห็นมาก่อน ? แน่นอนรัศมีนั้นเป็นสิ่งอื่นที่เราไม่เคยเห็นมาก่อนเนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงตรัสว่า ฉันคือรัศมีแห่งฟากฟ้าและแผ่นดิน[๘]

الله نور السمـو ت والا رض
รัศมีดังกล่าวไม่สามารถสัมผัสได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้า เพราะอาตมันของอัลลอฮฺ (ซบ.) ไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตา พระองค์เป็นรัศมี (นูรฺ) ที่มีอยู่รัศมีเดียวแต่ครอบคลุมเหนือรัศมีทั้งหลาย (นูรุนอะลานูริน)

อย่างไรก็ตาม มีความสัจจริงหนึ่งอยู่ที่ไม่อาจปฏิเสธได้นั้นคือ การมีอยู่ของ ๆสิ่งหนึ่งในสภาพของรัศมีอันเป็นแสงเรืองรอง ที่แสงทั้งหมดบนจักรวาลนี้ ตลอดจนแสงของเส้นทางช้างเผือกและดวงอาทิตย์เมื่อเทียบกับแสงนั้นมันเป็นเพียงความมืดมิดอันไม่อาจเปรียบเทียบได้ ขณะที่บรรดาอหฺลุลบัยตฺ (อ.) นั้นเป็นรัศมีแห่งการมีอยู่ของสิ่งทั้งมวล ซึ่งการดำรงอยู่ของสรรพสิ่งทั้งหมดมีความสัมพันธ์อย่างแนบแน่นกับรัศมีดังกล่าว เป็นรัศมีที่ถูกสร้างมาก่อนแผ่นฟ้าและแผ่นดินทั้งหลาย พระองค์ได้สร้างรัศมีแห่งอหฺลุลบัยตฺ (อ.) ไว้รายรอบบัลลังก์ของพระองค์ก่อนสรรพสิ่งอื่นใดทั้งหมด

อีกประเด็นหนึ่ง เรื่องการมีอยู่ของบรรดาศาสดาทั้งหลาย (อ.) และอะอิมมะฮฺผู้บริสุทธิ์ (อ.) เราเชื่อว่าบรรดาท่านเหล่านั้นมีชีวิตอยู่ตลอดเวลา ทั้งนี้ เมื่อเราจะเข้าฮะร็อมของ อะอิมมะฮฺ (อ.) เราจะอ่านในบทซิยาเราะฮ์ว่า

إعلم ان ... يرون مقامى و يسمعون كلامى و يردون سلامى
ฉันคำนึงเสมอว่า....พวกท่านนั้นเห็นสถานที่ยืนของฉัน ได้ยินคำพูดของฉัน และตอบสลามของฉัน [๙]

กุรอานกล่าวว่า พวกเขายังไม่ตายยังมีชีวิตอยู่ และได้รับปัจจัยยังชีพ ณ พระผู้อภิบาลของพวกเขา[๑๐]

إحيآء عند ربهم يرزقون
เพียงแต่ว่าเราไม่สามารถสัมผัสพวกเขาโดยผ่านร่างกายได้เท่านั้น แต่สามารถใช้พลังจิตวิญญาณที่เข็มแข็งสัมผัสกับพวกเขาได้เท่านั้นเอง ความสื่อสารที่สามารถเข้าถึงพวกเขาเป็นการสัมพันธ์ทางจิตวิญญาณเท่านั้น ซึ่งเป็นจิญญาณที่อยู่ในระดับชั้นที่ต่ำกว่ารัศมี (นูรฺ) เพราะเป็นเพียงสิ่งหนึ่งที่ได้สัมพันธ์กับเรือนร่างเท่านั้น การปรากฏของท่านที่คู่กับเรือนร่าง หรือการเร้นหายไปจากเรือนร่างไม่ได้มีความแตกต่างกัน เพราะเราสามารถติดต่อกับท่านได้โดยผ่านการตะวัสสุล ดังนั้นการตะวัสสุลในความหมายก็คือ การสร้างความสัมพันธ์อย่างหนึ่ง

แน่นอนในตัวเราเองก็มีจิตวิญญาณและภายหลังจากเราได้ตายไปจิตวิญญาณของเราก็ ยังคงดำอยู่ เพียงแต่ว่าการดำรงอยู่ของจิตวิญญาณของเรากับพวกเขามีความแตกต่างกันเล็ก น้อยอัล-กุรอานกล่าวถึงจิตวิญญาณของพวกเขาว่า พวกเขาได้รับปัจจัย ณ พระผู้อภิบาลของพวกเขา ส่วนจิตวิญญาณของเรานั้นเมื่อเดินทางไปยังโลกนั้นแล้วไม่อาจรับรู้ได้เลยว่า จะเป็นอย่างไร และมีสภาพการเป็นอยู่อย่างไร?

จากสิ่งที่กล่าวมาทำให้เข้าใจได้ว่าเรามีตำแหน่งที่เป็นรัศมีอยู่ตำแหน่ง หนึ่ง ซึ่งอยู่เหนือการจินตนาการของเรา แม้ว่าเราจะพยายามใช้สมองที่เล็กเพียงนิดเดียวคิดอย่างไรก็ตามเราไม่อาจเข้า ใจได้อย่างเด็ดขาด ดังนั้นเป็นการดีให้เราพูดว่ารัศมีของอัลลอฮฺ (ซบ.) ได้สร้างรัศมีอื่นอีกมากมายให้รายรอบอยู่เหนือบัลลังก์ของพระองค์ก่อนการ สร้างโลกและจักรวาล ซึ่งการมีอยู่ของสรรพสิ่งอื่นได้เกิดขึ้นเพราะรัศมีของพวกเขา ดังที่ริวายะฮฺทั้งสุนีย์และชีอะฮฺได้รายงานว่า ท่านศาสดากับท่านอะมีรุลมุอ์มินีนเป็นนูรฺ (รัศมี) เดียวกันพระองค์อัลลอฮฺได้สร้างนูรฺนี้ก่อนสร้างท้องฟ้าและแผ่นดิน และนูรฺนี้เองได้ถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนที่ไขสันหลังของอับดุลมุฏ็อลลิบ หนึ่งในสองนูรฺนั้นได้ตกไปอยู่ในไขสันหลังของอับดุลลอฮฺ ทำให้เกิดท่านศาสดา และอีกนูรฺหนึ่งได้ตกไปอยู่ที่ไขสันหลังของอบูฏอลิบทำให้เกิดท่านอิมามอะลี [๑๑]

อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงสร้างสวรรค์จากรัศมีของท่านศาสดา (ศ็อลฯ) แม้กระทั่งจารึกสูงสุด (เลาฮินมะห์ฟูซ) ซึ่งริวายะฮฺกล่าวว่า การกำหนดทั้งหมดของอัลลอฮฺ (ซบ.) ได้บันทึกอยู่ในนั้น คำตัดสินของพระองค์ได้ถูกบันทึก ณ จารึกดังกล่าว จารึกนี้สร้างจากรัศมี (นูรฺ) ของอหฺลุลบัยตฺ (อ.) อัล-กุรอานเมือกล่าวถึง รูหุลอามีน ซึ่งบางตัฟซีรฺกล่าวว่า บุคคลที่มีอำนาจยิ่งใหญ่ (หมายถึงญิบรออีล) ได้สอนเขา[๑๒] (علمه شديد القوى) ผู้เป็นผู้ส่งสาส์นที่มีเกียรติ ร่อซูลอามีนที่อยู่ ณ บัลลังก์ของอัลลอฮฺ (ซบ.) สถานที่ของเขาอยู่ ณ อัลลอฮฺ และรูหุลอามีนนี้เองที่มีเกียรติและมีความยิ่งใหญ่ ริวายะฮฺกล่าวว่า ท่านศาสดา (ศ็อลฯ) ได้เห็นแก่นการสร้างที่แท้จริงของเขาหลายต่อหลายครั้ง ริวายะฮฺกล่าวว่า

... و روح القدس فى جنان الصاقوره ذاق من حدائقنا الباكوره
เรามีตำแหน่งและสวนต่าง ๆที่เต็มไปด้วยผลไม้ ซึ่งรูหุลอามีนได้อยู่ในสวนนั้นและนูรฺได้ฉายส่องครอบคลุมผลไม้[๑๓]

รูหุลอามีนผู้มีความยิ่งใหญ่ นูรฺของเขาได้ครอบคลุมอยู่เหนือผลไม้แห่งครอบครัวของท่านศาสดา (ศ็อลฯ) แน่นอนเราจะไม่กล่าวถึงกระแสรายงานของหะดีษเพราะหะดีษลักษณะเช่นนี้มีอยู่ มากในริวายะฮฺของเรา แต่สิ่งที่เราต้องการกล่าวถึงคือ มีอยู่สิ่งหนึ่งที่อยู่ในอีกมิติหนึ่งที่อยู่เหนือความเข้าใจของเรา อัล-กุรอานกล่าวว่า

الم ذ لك الـكتـب لا ريب فيه هدى للمتقين الذين يومنون بالغيب
อลีฟ ลาม มีม (พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงยิ่งใหญ่ ผู้ทรงอุบัติคัมภีร์ด้วยพยัญชนะธรรมดา) คัมภีร์นี้ไม่มีความสงสัยใด ๆในนั้น เป็นคำแนะนำสำหรับบรรดาผู้ยำเกรงคือบรรดาผู้ศรัทธาต่อสิ่งเร้นลับ (หมายถึงสิ่งทั้งหลายที่อยู่เหนือความรู้สึก หรือควมรู้สึกธรรมดาไม่อาจสัมผัสได้)[๑๔]

นักอรรถาธิบายอัล-กุรอานบางท่านอธิบายว่า โองการดังกล่าวหมายถึงการมีอยู่ของท่านอิมามซะมาน (อ.) แก่นของความแตกต่างระหว่างผู้ศรัทธากับผู้ปฏิเสธคือ ผู้ศรัทธาจะไม่ยึดติดกับการมองเห็น หรือความรู้สึกเพียงอย่างเดียว สมมติว่ายึดถือความรู้สึกเพียงอย่างเดียวแน่นอนเราต้องปฏิเสธแม้แต่เรื่อง ของพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งปัญหาของพวกบนีอิสรออีลก็คือสิ่งนี้ พวกเขาพูดว่า โปรดแสดงพระเจ้าให้พวกเราได้เห็น[๑๕] พวกเราจะไม่ศรัทธาต่อท่านอย่างแน่นอน นอกเสียจากว่าท่านจะเปิดเผยพระเจ้าให้เราได้เห็น[๑๖] พวกเขาไม่ได้มีความเชื่อต่อสิ่งที่เร้นลับ พวกเขาคิดว่าสิ่งใดก็ตามที่มนุษย์ไม่สามารถมองเห็นได้ก็ไม่ควรเชื่อถือสิ่งนั้น และทฤษฎีนี้ได้กลายเป็นความเชื่อของสังคมในยุคปัจจุบัน ฉะนั้นเราสามารถหลีกเลี่ยงทฤษฎีดังกล่าวได้โดยในขั้นแรกการมีความเชื่อต่อสิ่งที่เร้นลับ และรับรู้ไว้ว่ามีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่เราไม่รู้จักและสัมผัสไม่ได้ แต่ถ้าเราไม่เชื่อสิ่งเหล่านี้เท่ากับว่าเรายังไม่ได้เข้ามาสู่เขตแดนของการมีความศรัทธาเลยแม้แต่นิดเดียว

ขณะที่มีริวายะฮฺและโองการมากมายกล่าวถึง บรรดาอหฺลุลบัยตฺ (อ.) ซึ่งโองการและริวายะฮฺเหล่านั้นได้กล่าวว่า บรรดาอหฺลุลบัยตฺนั้นมีฐานันดรสูงส่ง ซึ่งเราไม่สามารถเข้าใจได้และถ้าเข้าใจ เราก็ไม่อาจเข้าถึงหรือเป็นเจ้าของฐานันดรนั้นได้อย่างเด็ดขาด ตำแหน่งของอิมามและการมีอยู่ของอิมามมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อระบบการกำหนด กฎเกณฑ์และการสร้างของอัลลอฮฺ (ซบ.) เพียงแต่ว่าความเข้าใจของเราเกี่ยวกับเรื่องนี้นั้นมีน้อยมาก

อย่างไรก็ตามมีบางคนประสงค์ที่จะเข้าใจเรื่องราวเกี่ยวกับศาสดาอีซา (อ.) และอะอิมมะฮฺ (อ.) ก็ประสบปัญหาเรื่องความสุดโต่งทางความเชื่อ

วันหนึ่งท่านศาสดา (ศ็อลฯ) ได้ชี้ไปที่ท่านอิมามอะลี (อ.) และกล่าวว่า หากฉันไม่กลัวว่ามุสลิมจะเข้าใจอะลีผิดเหมือนกับที่พวกยะฮูดีเข้าใจท่านศาสดาอีซา (อ.) ผิดแล้วละก็ ฉันจะพูดถึงความประเสริฐของอะลีให้พวกท่านฟังจนกระทั่งประชาชนจะนำฝุ่นใต้ฝ่าเท้าของเขาไปเป็นโอสถรักษาโรค ฉันเกรงว่าประชาชานจะคิดว่าอะลีนั้นเป็นพระเจ้า เพราะผู้คนไม่รู้จักพระเจ้าดีพอ เมื่อเห็นใครมีศักดิ์และสิทธิสูงก็คิดว่าเขาต้องเป็นพระเจ้าแน่นอน

อย่างไรก็ตาม การรู้จักอิมามในความคิดของคนทั่วไปเช่นในหมู่พวกเรา ซึ่งมีทั้งประชาชนทั่วไปและคนโง่เขลา การไปถึงยังตำแหน่งการรู้จักนั้นยังต้องพึ่งพิงขั้นตอนอื่น ๆอีกมากมาย และทุกคนก็รู้จักไปตามพื้นฐานการแสวงหาของแต่ละคน แน่นอนถ้าเขาเดินไปบนแนวทางที่ถูกต้อง เขาย่อมต้องรู้จักอิมามอย่างแน่นอน เราเคยคิดบ้างไหมว่าการตะวัสสุลผ่านท่านศาสดา (ศ็อลฯ) และบรรดาอหฺลุลบัยตฺ (อ.) เป็นที่ยอมรับกันในหมู่ประชาชนทั่วไป แม้กระทั่งในหมู่ของอหฺลิซซุนนะฮฺเองก็ตาม

มีประชาชนมากมายได้กล่าวประโยค السلام عليك يا إباصالح المهدى إدركنى (ขอความสันติพึงประสบแด่ท่านโอ้อบาซอลิห์ อัลมะฮฺดีย์ โปรดช่วยเหลือพวกเรา ) และได้เห็นผลลัพธ์ของมันขณะที่เขาได้เดินหลงทางกลางทะเลทรายเขาได้พบหนทางของเขา, เมื่อเขาเผชิญกับภยันตรายเขาได้รับการช่วยเหลือ, เขาได้ยินเสียงเหล่านี้ และตอบอย่างไร ? เจ้าของเสียงได้แยกแยะเสียงอย่างไร มันมาจากไหน และพวกเขาต้องการอะไร ?

คำถามเหล่านี้เองที่ท่านศาสดา (ศ็อลฯ) ได้กล่าวว่า ถ้าหากฉันได้ตอบคำถามของพวกเขา ฉันเกรงว่าพวกเขาจะคิดเหมือนกับพวกนัศรอนีทั้งหลายที่คิดกับท่านศาสดาอีซา (อ.)

พวกเราจะสลามท่านศาสดาทุกวันในนามซต่าง ๆ อัสลามุอะลัยกะอัยยุฮันนะบี.. (ขอความสันติพึงประสบแด่ท่าน โอ้ท่านศาสดา) สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงคำพูดที่เอื้อนเอ่ยออกจากปากโดยไม่มีผู้รับฟังอย่างนั้นหรือ ?

เงื่อนไขของนมาซกล่าวว่าเมื่อลืมปฏิบัติบางอย่างที่ไม่ใช่รุกุ่นของนมาซ เมื่อทำนมาซเสร็จแล้วให้ทำสัจญ์ดะฮฺสะฮฺวีย์ เพื่อเป็นการต่อเติมสิ่งที่ได้หลงลืมไป ขณะที่ในสัจญ์ดะฮฺสะฮฺวีย์นั้นเราได้กล่าวสลามแก่ท่านศาสดา (ศ็อลฯ) สิ่งที่ได้ถูกกำหนดให้ปฏิบัติไม่ได้มีเจตนาหรือมีเป้าหมายดอกหรือ ?

สิ่งสำคัญที่ต้องกล่าวคือมีหลายอย่างเกี่ยวกับบุคคลเหล่านี้ที่เรายังไม่รู้ และไม่เข้าใจจำเป็นต้องเรียนรู้และศึกษาต่อไป แน่นอนเราไม่อาจศึกษารายละเอียดของทุกคนจากตำราทั้งหมดได้ แต่ถ้าเราได้พิจารณาจากริวายะฮฺจะพบว่าไม่มีสิ่งใดเป็นที่สงสัยต่อไปอีก

การมีอยู่ของอิมามไม่ใช่เพียงแค่ทำหน้าที่อธิบายอหฺกามเท่านั้นเพราะคำพูด ของท่านเป็นหุจญัติ (เหตุผล) หรือเป็นวาญิบสำหรับบรรดาผู้นำองค์กรต่าง ๆต้องปฏิบัติตามเท่านั้น สิ่งนี้เป็นเพียงรูปลักษณ์ภายนอกและเป็นพื้นฐานเบื้องต้นของอีมาน



เชิงอรรถ
[๑] มะฟาติหุลญะนาน ดุอาอ์อะดีละฮฺ
[๒] มีซานุลฮิกมะฮฺ เรย์ชะฮ์รีย์ เล่มที่ ๑ หน้าที่ ๓๔๘ หะดีษที่ ๑๒๒๐
[๓] บะก่อเราะฮฺ / 31
[๔] บะก่อเราะฮฺ / ๓๑ ความรู้ในนามต่าง ๆเหล่านั้น หมายถึงความรู้เกี่ยวกับความลับในการสร้าง และการให้นามแก่สรรพสิ่งเหล่านั้น ทั้งหมดเหล่านี้พระองค์ได้สอนแก่อาดัม (อ.)
[๕] อัล-มีซาน อัลลามะฮฺฏ่อบาฏ่อบาอีย์ ตอนอธิบายโองการที่ ๓๑ บะก่อเราะฮฺ
[๖] บิฮารุลอันวารฺ เล่มที่ ๑๖ หน้าที่ ๔๐๒ หะดีษที่ ๑
[๗] มะฟาตีหุลญะนาน วรรคหนึ่งของซิยารัต ญามิอะฮ์กะบีเราะฮ์
[๘] นูรฺ /35
[๙] มะฟาตีหุลญะนาน ตอนอนญาติเข้าหะรัม
[๑๐] อาลิอิมรอน /๑๖๙
[๑๑] กันดูซีย์ ,ยะนาบีอุลมะวัดดะฮฺ เล่มที่ 1/2 หน้าที่ ๓๐๔
[๑๒] ซูเราะฮฺ นัจม์ / ๕
[๑๓] บิฮารุลอันวารฺ เล่มที่ ๗๕ หน้าที่ ๓๗๗ หะดีษที่ ๓
[๑๔] บะก่อเราะฮฺ / ๑-๓
[๑๕] นิซาอ์ / ๑๕๓
[๑๖] บะก่อเราะฮฺ / ๕๕



ขอขอบคุณเว็บไซต์ อัชชีอะฮฺ

0
0% (نفر 0)
 
نظر شما در مورد این مطلب ؟
 
امتیاز شما به این مطلب ؟
اشتراک گذاری در شبکه های اجتماعی:

latest article

...
...
ในประโยคคำปฏิญาณ (อัชฮะดุ อันลา ...
...
พระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน ...
ความสมบูรณ์ของศาสนาอิสลาม
...
หยดหนึ่งจากดุอาอบูฮัมซะฮ์
อิมามมะฮฺดี (อ.)ในช่วงเร้นกาย
...

 
user comment