วาระสุดท้ายของบุตรีศาสดา
..เธอได้ส่งคนไปเรียก"อุมมุ รอฟิอ์"หญิงรับใช้ในบ้านท่านนบีมาช่วยรินน้ำเพื่อเธอจะได้อาบน้ำตามศาสนบัญญัติเป็นคราสุดท้าย (เนื่องจากท่านหญิงฟาฎิมะฮ์ล้มป่วยไร้เรี่ยวแรงจากเหตุการณ์คืนวิปโยคที่เศาะฮาบะฮ์กลุ่มหนึ่งคุกคามเธอ)
เธอเลือกสวมอาภรณ์ที่ใหม่และสวยงามทั้งที่ก่อนหน้านี้เธอสวมอาภรณ์สีดำเพื่อไว้อาลัยการจากไปของบิดาสุดที่รัก รอซูลุลลอฮ์ มาโดยตลอด ประหนึ่งเธอกำลังจะหลุดพ้นจากห้วงแห่งความเศร้าและกำลังจะได้พบบิดาผู้เป็นที่รักในอีกไม่นาน
เธอได้กล่าวแก่อุมมุ รอฟิอ์ว่า "ช่วยปูที่นอนให้ฉันกลางห้องทีจ่ะ"
แล้วเธอก็นอนอย่างสงบโดยผินหน้าไปยังทิศกิบละฮ์ .. เพื่อเฝ้ารอวาระสุดท้าย
เวลาผ่านไป..เวลาผ่านไป
เธอค่อยๆหลับตาลงจากโลกนี้ และค่อยๆลืมตาขึ้นอีกมิติหนึ่ง..ไช่แล้ว เธอลืมตาขึ้นเพื่อได้จับจ้องใบหน้าบิดาผู้เป็นที่รักที่รอคอยการมาของเธออย่างถวิลหา
..แล้วเสียงสะอื้นไห้ก็ดังขึ้นจากบ้านหลังเล็กๆของอิมามอลี..
อลีสุดอาลัย
เปลวเทียนแห่งความทุกข์ระทม ได้ดับลงแล้วในบ้านอิมามอลี เหลือเพียงราชสีห์ผู้เดียวดาย และลูกๆที่สะอื้นไห้ปริ่มใจจะขาด
ก่อนเธอจะจากไป เธอขอให้อิมามอลีทำการฝังศพในยามราตรี และไม่ให้ใครล่วงรู้ถึงสุสานของเธอ..และอิมามอลีได้ปฏิบัติตามที่เธอประสงค์..
จวบจนทุกวันนี้ก็ไม่มีใครทราบว่า สุสานของเธออยู่ที่ใด?
..ในบ้านของเธอ...หรือสุสานบากีอ์..หรือสถานที่อื่น..
แต่ที่ทราบแน่นอนคือ ..ค่ำคืนแห่งความอาดูรนั้น อิมามอลีนั่งใกล้สุสานภรรยาสุดที่รัก..อย่างรวดร้าว
ความมืดมิดยามราตรีได้กลืนนครมะดีนะฮ์ บรรดามุสลิมและเหล่าศอฮาบะฮ์ล้วนกำลังนอนหลับอย่างสงบ
..มีเพียงความเงียบสงัดยามราตรีเท่านั้นที่ตั้งใจฟังเสียงรำพึงรำพันของอิมามอลี
อิมามอลีบัดนี้คือรูปจำแลงของความเดียวดาย .. เดียวดายในนครมะดีนะฮ์ .. เดียวดายในบ้าน
ไร้แล้วซึ่งนบี ..ไร้แล้วซึ่งฟาฏิมะฮ์
บัดนี้ท่านอิมามอลีนั่งลงใกล้สุสานภรรยา..ดุจภูผาแห่งความโศกสลดเคียงข้างทะเลที่ไร้เกลียวคลื่น
ราตรีแห่งมะดีนะฮ์ยังสดับรับฟังถ้อยคำที่ฉ่ำด้วยความอาดูร ...ถ้อยคำที่อิมามอลีเอ่ยเอื้อนด้วยใจที่ช้ำระบม
ใต้ธรณีมะดีนะฮ์สว่างไสวและปรีดา ส่วนบนธรณีเล่า..มีแต่ความอัปโชคและการบิดพริ้วของผู้คน
..สุสานตื่นขึ้น แต่บ้านเรือนยังหลับใหล..
ลมเอื่อยๆยามราตรีพัดพาถ้อยคำของอิมามอลี ณ สุสานภรรยาสุดที่รัก .. ไปยังบ้านและสุสานศาสดาที่เงียบสงัด
"ขอความสันติจงมีแด่ท่าน จากฉัน และจากบุตรสาวของท่าน ซึ่งบัดนี้ถลาลงเคียงข้างท่าน และเข้าพบท่านอีกในไม่ช้า"
"โอ้รอซูลุลลอฮ์ ความอดทนของฉันและความเข้มแข็งของฉันพร่องลงแล้ว..เนื่องด้วยการจากไปของแก้วตาดวงใจของท่าน ..ทว่า...ยังมีความอดทนหลงเหลืออยู่แม้ต้องผ่านการสูญเสียท่านไปอย่างเจ็บช้ำ"
"ฉันเคยนำร่างของท่านลงสู่หลุมฝังศพ (ก่อนหน้านี้)ท่านสิ้นลมบริเวณระหว่างลำคอและอกของฉัน ..อินนาลิลลาฮิวะอินนาอิลัยฮิรอญิอูน.."
"ผู้ที่ท่านฝากฝังไว้กับฉันได้ถูกพรากไปจากฉันแล้ว ...ทว่า...ความระทมของฉันจะยังคงอยู่ชั่วนิรันดร์ ส่วนยามราตรีก็มิอาจข่มตาหลับลงได้ ตราบจนวันที่พระองค์จะลิขิตให้ฉันได้ก้าวสู่บ้านหลังเดียวกับที่ท่านพำนักอยู่"
"อีกไม่นาน บุตรสาวของท่านจะสาธยายให้ท่านทราบว่า กลุ่มชนของท่านขานรับเป็นเสียงเดียวกับเหล่าผู้ที่รังแกเธอ ขอท่านจงถามเธอในทุกเรื่องที่เกิดขึ้น"
"..และทั้งหมดก็เกิดขึ้น ทั้งที่วันเวลาของท่านเพิ่งจะผ่านพ้นไปไม่นาน และความทรงจำเกี่ยวกับท่านยังไม่จางหายไป"
"ขอความสันติจงประสบแด่ท่านทั้งสอง การสลามอำลาจากผู้ที่มิได้แค้นเคือง และมิได้อ่อนเปลี้ย"
...และท่านนิ่งเงียบชั่วครู่ ประหนึ่งว่าความเหนื่อยล้าทั้งชีวิตกำลังถาโถมเข้าใส่หัวใจท่านอย่างไม่ปราณี..
ประหนึ่งแต่ละถ้อยคำที่ผุดขึ้นจากเบื้องลึกของวิญญาณของท่านกำลังทิ่มแทงความรู้สึกให้เจ็บปวดแทบขาดใจ
ท่านยืนอยู่เดียวดาย...ต่อไปนี้จะเป็นอย่างไร จะกลับบ้านหรือ? .. แล้วจะทิ้งฟาฏิมะฮ์ให้อยู่ลำพังได้อย่างไร?
จะกลับบ้านตัวคนเดียวได้อย่างไร?...
มะดีนะฮ์ในยามนี้เปรียบเสมือนอสูรกายที่พรางตัวในความมืดยามราตรี ... ที่กำลังรอขย้ำท่านอิมามอลีด้วยเล่ห์กลและความไร้ยางอายอย่างใจจดใจจ่อ
ต่อไปนี้ ท่านจะวางตัวอย่างไร?..ลูกๆของท่านเล่า?..แล้วข้อเท็จจริงเล่า? อีกทั้งประชาชนที่จ้องมอง?
....ยามที่ต้องจากลาสุสานภรรยาสุดที่รัก ท่านกล่าวประหนึ่งอธิบายให้ภรรยาทราบถึงเหตุผลว่า "หากฉันต้องจากเธอไป มิไช่เพราะเหนื่อยล้าจากการอยู่เคียงข้างเธอ และหากฉันจะอยู่ที่นี่ต่อไป ก็มิไช่เพราะฉันมีอคติต่อมรรคผลที่พระองค์จะทรงตอบแทนผู้อดทน"
จากหนังสือ ฟาฏิมะฮ์คือ..ฟาฏิมะฮ์
ดร.อลี
แปลและเรียบเรียงโดย กัมบัร
source : alhassanain