بِسمِ اللّه الرَّحمنِ الرَّحِيم
ความหมาย ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ผู้ทรงกรุณาปรานี ผู้ทรงเมตตายิ่งเสมอ
คำอธิบาย
ในท่ามกลางกลุ่มชนและประชาชาติต่าง ๆถือเป็นประเพณีในการเริ่มงานที่สำคัญของตนด้วยนามของบุคคลสำคัญหรือผู้อาวุโสที่ได้รับความเคารพนับถือและเป็นที่รักในหมู่พวกเขาเพื่อที่ว่างานนั้นจะได้เกี่ยวพันกับบุคคลดังกล่าวตั้งแต่เริ่มแรก แน่นอนที่สุดประเพณีดังกล่าวนี้ วางอยู่บนพื้นฐานความเชื่อทั้งที่ถูกต้องและเป็นเท็จกล่าวคือบางกลุ่มชนเริ่มต้นงานของตนด้วยกับนามของเทวรูป สิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆตามความเชื่อของพวกเขา หรือผู้ปกครองที่ต่อต้านอัลลอฮ. (ซบ.)ในขณะที่ บางกลุ่มชนงานของพวกเขาเริ่มต้นด้วยกับพระนามของอัลลอฮฺ. (ชบ.)และด้วยกับพลังอำนาจของมวลมิตรผู้เป็นที่รักของพระองค์ (เอาลิยาอฺ)ดังเช่นในสงครามคอนดักผู้ที่ลงมือขุดสนามเพลาะเป็นคนแรกคือท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ)
ตัวอย่างการเริ่มต้นงานด้วย بِسمِ اللّه
๑. คัมภีร์ของอัลลอฮฺ (กุรอาน) เ ริ่มต้นด้วย بِسمِ اللّه الرَّحمنِ الرَّحِيم
๒. ไม่เพียงแค่กุรอานเท่านั้น แต่ทว่าคัมภีร์อื่น ๆ ของอัลลอฮฺ (ซบ)ก็เริ่มต้นด้วยبِسمِ اللّه เช่นกัน
๓. ภารกิจของศาสดาทุกท่านเริ่มต้นด้วยبِسم اللّه
๔. เมื่อเรือของท่านศาสดานุ์ (อ.) เริ่มเคลื่อนตัวในท่ามกลางพายุคลื่น ศาสดานุห์ (อ.) ได้สั่งสหายของท่านว่าจงขึ้นเรือซึ่งการเคลื่อนและหยุดของเรือนี้ด้วยพระนามของอัลลอฮฺอัล-กุรอานกล่าวว่า
بِسم اللّهِ مَجرِيهَا وَمُرسَهَا(๑)
๕.ในขณะที่ท่านศาสดาสุลัยมาน(อ.) เชิญชวนราชินีแห่งเมืองสะบาอฺให้ศรัทธาต่ออัลลฮฮฺ (ซบ.) นั้น ท่านได้ส่งจดหมายเชิญชวนไปถึงพระนางด้วยถ้อยคำ بِسم اللّهِ الرَّحمنِ الرَّحِيم(๒)
๖.ท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ็อล ฯ)เริ่มภารกิจการเผยแผ่สาส์นของท่านด้วยพระนามของอัลลอฮฺอัล-กุรอานกล่าวว่า
اِقرَأبِاسمِ رَبِّكَ
๗. ท่านอิมามอะลี (อ.)ได้กล่าวกับชายผู้หนึ่งที่เขียนبِسمِ اللّهว่า "จงเขียนให้ดี และสวยงามที่สุด
๘. การกล่าวبِسمِ اللّهในการเริ่มงานต่าง ๆ เช่นการรับประทานอาหาร การแต่งงาน การขี่พาหนะ การเริ่มออกเดินทางและงานอื่นๆได้รับการแนะนำและให้ความสำคัญไว้จนกระทั่งว่าถ้าหากสัตว์ถูกเชือดโดยไม่ได้กล่าวไม่ได้กล่าวبِسماللّهการบริโภคเนื้อสัตว์ดังกล่าวถือเปิบสิ่งต้องห้ามและนี่คือรหัสที่เผยให้เห็นว่าผู้ศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียวซึ่งเป็นผู้ที่มีทิศทางและเป้าหมายนั้นแม้แต่อาหารของพวกเขาก็จำเป็นต้องมีทิศทางและเป้าหมายเพื่อพระผู้เป็นเจ้าด้วยเช่นกัน
คำถามสองประการเกี่ยวกับبِسمِ اللّه
๑. เพราะเหตุใดในการเริ่มงานต่าง ๆ ด้วยبِسمِ اللّه. จึงได้รับการแนะนำและให้ความสำคัญไว้ ?
ในทำนองเดียวกันกับที่ผลิตภัญฑ์หรือสินค้าของโรงงานหนึ่ง ๆจะมีตราหรือเครื่องหมายของโรงงานนั้น ๆปรากฏอยู่ไม่ว่าผลิตภัญฑ์ดังกล่าวจะอยู่ในรูปของชิ้น ส่วนเล็ก ๆหรือผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปก็ตามหรือดังเช่นธงชาติของทุกประเทศที่ติดอยู่ตามสถานที่สำคัญต่างๆ ตามเรือสืนค้าของประเทศนั้น ๆ และตามโต๊ะในสำนักงาน
เครี่องหมายและสัญลักษญ์เหล่านี้ถูกกำหนดขึ้นเพื่อทิศทางและเป้าหมายของโรงงานในการผลิตสินค้าหรือแนวทางและอุดมการณ์ของประเทศนั้น ๆจะได้มีถูกเบี่ยงเบนออกไปและเครี่องหมายหรือสัญลักษณ์ดังกล่าวจะได้ไม่ถูกลืมเลือนไปจากความทรงจำของประชาชน
พระนามของอัลลอฮฺ (ซบ. )และการรำลึกถึงพระองค์ก็เช่นเดียวกันถือเป็นสัญลักษณ์ของมุสลิม
ด้วยเหตุนี้ได้มีรายงานในหะดีษบทหนึ่งว่า "จงอย่าลืมبِسمِ اللّه "แม้แต่ในการเขียนกลอน สักวรรคหนึ่งก็ตาม" และในหะดีษอีกหลายบทได้ระบุถึงผลบุญของผู้ที่สอนبِسم اللّهให้กับเด็ก ๆ เป็นครั้งแรก (ทั้งนี้เนื่องจากงานดังกล่าวเป็นการปลูกฝังเครื่องหมายของมุลลิมให้กับพวกเขาตั้งแต่เยาว์วัย) (๓)
นอกจากนี้ ท่านอิมามอะลี (อ. ) ได้กล่าวถึงความสำคัญของเริ่มงาน ด้วยبِسمِ اللّهไว้ว่าبِسمِ اللّهเป็นที่มาของความจำเริญ (บะรอกะฮฺ)และการละทิ้งเป็นสาเหตุของการไม่สัมฤทธิผลในกิจการงาน"
๒. بِسمِ اللّهِا لرَّحمنِ الرَّحِيمคืออายะฮฺของอัล-กุรอานใช่หรือไม่ ?
๒.๑ ) ตามทัศนะของอะหฺลุลบัยตฺ (อ ) ของท่านศาสดามุฮัมมัด(ศ็อล ฯ)(๔)
ซึ่งมีช่วงชีวิตอยูก่อนหน้านี้ ถ้าบรรดาผู้นำสำนักคิดทางนิติศาสตร์(มัซฮับ) ต่าง ๆ ประมาณ๑๐๐ปี และเป็นผู้พลีชีพในหนทางของอัลลอฮฺ (ซบ. )อีกทั้งเป็นกลุ่มชนที่กุรอานได้กล่าวถึงความบริสุทธิ์จากบาป ความผิดพลาดและความหลงลืม (อิศมัต) ของพวกเขาไว้อย่างชัดเจน บุคคลเหล่านี้ถือว่าبِسمِ اللّهِ الرَّحمن الرَّحِيمเป็นอายะฮฺหนึ่งของอัล-กุรอาน
๒.๒) ฟัครุรฺ-รอซี ได้นำเสนอหลักฐานไว้ ๑๖ประการในตำราตัฟซีร(อรรถาธิบายอัลกุรอาน)ของเขาที่ยืนยันให้เห็นว่าبِسم اللّهِ الرَّحمنِ الرَّحِيمเป็นส่วนหนึ่งของซูเราะฮ์
๒.๓) อาลูซี(๕)เป็นอีกหนึ่งบุคคลที่มีทัศนะดังกล่าว
๒.๔) ในมุสนัดอะหฺมัดได้บันทึกไว้เช่นเดียวกันว่าبِسمِ اللّهเป็นส่วนหนึ่งของซูเราะฮฺ(๖)
๒.๕) บุคคลที่ไม่ถือว่าبِسمِ اللّهเป็นส่วนหนึ่งของซูเราะฮฺ และทิ้งการอ่านبِسمِ اللّهในนมาซนั้นได้รับการต่อต้านอย่างรุนแรง ตัวอย่างเช่นวันหนึ่งในขณะที่มุอาวิยะฮฺกำลังนำนมาซและไม่ได้อ่าน
بِسمِ الله
ประชาชนได้ทักท้องเขาว่า
اَسرَقتَ الصَّلاَةَ اَو نَسِيتَท่านได้ขโมยนมาซหรือว่าหลงลืม(๗)
๒.๖) ท่านอิมามมุฮัมมัด อัลบากิรฺ (อ.)ได้กล่าวถึงบุคคลที่ไม่ได้อ่านبِسمِ اللّهในนมาซหรือบุคคลที่ไม่ถือว่าبِسمِ اللّهเป็นส่วนหนึ่งของซูเราะฮฺว่า "พวกเขาได้ขโมยอายะฮฺที่ประเสริฐที่สุดไปจากคัมภีร์ของอัลลอฮฺ"سَرَقُوااَكرَمَ آيَة فَى كِتَابِ اللّه(๘)
๒.๗) บรรดาอิมามผู้บริสุทธิ์ (มะอฺศูม) จากครอบครัวของท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ็อล ฯ) ได้ยืนกรานให้อ่านبِسمِ اللّهในนมาซด้วยเสียงดัง (ทั้งนี้เพื่อเป็นการทวนกระแสของสิ่งแป ลกปลอมที่เกิดขึ้นในศาสนา)
(๒.๘) ในสุนันบัยฮะกี ได้บันทึกหะดีษบทหนึ่งไว้ซี่งมีข้อความตอนหนึ่งว่า "ทำไมบางคนจึงไม่ถือว่าبِسمِ اللّهเป็นส่วนหนึ่งของซูเราะฮฺ(๙)
๒.๙) ชะฮีดมุเฎาะฮะรี (๑๐ )ได้กล่าวไว้ในตัฟซีรซูเราะฮฺฟาติฮะฮฺว่า "อิบนุอับบาส, อาศิม, กะซาอีย์, อิบนุอุมัร, อิบนุชุบัยร์. อะฏออฺฏอวูส และซุยูฏีย์. และชุย ฎีย์ เป็นกลุ่มบุคคลที่ถือว่าبِسمِ الله. คือส่วนหนึ่งของชูเราะฮ."
๒.๑๐) กุรฎุบียืได้ รายงานจากท่านอิมามญะอฺฟัรฺ อัซ-ซอดิก (อ.) ซึ่งท่านอิมาม (อ. ) กล่าวว่าبِسمِ اللّه " คือมงกุฎของชูเราะฮฺ" ยกเว้นซูเราะฮฺเตาบะฮฺ (ซูเราะฮฺบะรออะฮฺ)เท่านั้นที่ไม่มีبِسمِ اللّهทั้งนี้ตามคำอธิบายของท่านอิมามอะลี (อ. )เนื่องจากبِسمِ اللّهเป็นถ้อยคำที่ยังความปลอดภัยและความเมตตา ส่วนการ "บะรออะฮฺ"ซึ่งเป็นการประกาศความ
เกลียดชัง และความ เป็น ศัตรูต่อผู้ปฏิเสธและผู้ตั้งภาคีนั้น ไม่มีความเหมาะสม และสอดคล้องกับความเมตตา (๑๑ )
บทเรียนและประเด็นสำคัญจากอายะฮฺนี้
๑. بِسمِ اللّهคือเครื่องหมายบ่งชี้ถึง " สีของอัลลอฮฺ" (ศิบเฆาะตุลลอฮฺ) (๑๒ ) และเป็นเครื่องกำหนดทิศทางความศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียว(เตาฮีด)ของมนุษย์
๒ . คีอรหัสของการยอมรับความเป็นเอกะของอัลลอฮฺ(ซบ. )ส่วนนามของบุคคลอื่นที่นอกเหนือจากอัลลอฮฺ (ซบ. ) ถือเป็นรหัสของการปฏิเสธและการกล่าวพระนามของอัลลอฮฺ (ซบ.) ควบคู่กับนามของบุคคลอื่นถือเป็นสัญลักษณ์ของการตั้งภาคี (๑๓)
ความหมายของอายะฮฺ سَبِّحِ اسمَ رَبِّكَ ได้ชี้ให้เห็นถึงประเด็นดังกล่าวนี้ว่าพระนามของอัลลอฮ
(ซบ.) จำเป็นต้องสะอาดบริสุทธิ์ด้วยเช่นกัน
๓.بِسمِ اللّه คือรหัสของความเป็นนิรันดร์ เพราะสิ่งใดก็ตามที่ไม่มี "สีของอัลลอฮฺ" ล้วนมลายสิ้น (๑๔ )
๔.بِسمِ اللّه คือรหัสที่เผยให้เห็นว่า เนื้อหาของซูเราะฮฺได้ถูกประทานลงมาจากผู้เป็นต้นกำเนิดของสัจธรรมและความเมตตา
๕.بِسمِ اللّهคือรหัสของความรักและความไว้วางใจในพระองค์
๖.بِسمِ اللّهคือเครื่องหมายของการถอนตัวออกจากความยโสโอหัง และการแสดงความไร้ความสามารถของ พระองค์
๗.بِسمِ اللّهคือก้าวแรกของความเป็นบ่าว
๘.بِسمِ اللّهคือรหัสของการขับไล่ชัยฎอน (มารร้าย) บุคคลใดก็ตามที่อยู่กับอัลลอฮฺ (ซบ. )ชัยฎอนจะไม่มีอิทธิพลใด ๆ ต่อผู้นั้นได้
๙.بِسمِ اللّهคือหลักประกันและที่มาของความบริสุทธิ์ใน กิจการงานต่างๆ
๑๐.การกล่าวبِسمِ اللّهประหนึ่งให้ความหมายว่า "โอ้อัลลอฮฺข้าพระองค์ไม่เคยลืมเลือนพระองค์"
๑๑. การกล่าวبِسمِ اللّهประหนึ่งให้ความหมายว่า "โอ้อัลลอฮฺแรงบันดาลใจและเป้าหมายของข้าพระองค์คือพระองค์ มิใช่ประชาชน มิใช่ผู้ปกครองที่อธรรม มิใช่ความศิวิไลซ์ของโลกนี้ และมิใช่อารมณ์ใฝ่ต่ำ"
๑๒.بسمِ اللّهหมายถึง "การขอความช่วยเหลือของข้าพระองค์เฉพาะจากพระองค์เท่านั้น"และอาจกล่าวได้ว่า ความหมายของคำกล่าวที่ว่า "อัล-กุรอานทั้งหมดรวมอยู่ในซูเราะฮฺฟาติหะ. และซูเราะฮฺฟาติหะรวมอยู่ใน บิสมิลลาฮฺและบิสมิลลาฮฺรวมอยู่ในอักษรบานั้น หมายถึงการสร้างสรรค์การชี้นำและการย้อนกลับคืนของสรรพสิ่งที่ถูกสร้างทั้งหลายนั้น ล้วนเกิดขึ้นด้วยกับการแสวงหาความช่วยเหลือจากพระองค์ทั้งสิ้น. (๑๕)
(แต่อย่างไรก็ตามอัลลอฮฺ (ซบ. ) เท่านั้นที่ทรงรู้ความแท้จริงของมัน)
๑๓.بِسمِ اللّهคือรหัสที่เผยให้เห็นว่าการเริ่มงานต่าง ๆ นั้น ต้องการกำลังใจ ความหวังและความเมตตาซึ่งที่มาและบ่อเกิดของพลังอำนาจ ความหวังและความเมตตาทั้งมวลคืออัลลอฮฺ (ซบ )
ด้วยเหตุนี้ اَلرَّحمن(ผู้ทรงกรุณาปรานีเสมอ)และاَلرَّحِيم(ผู้ทรงเมตตายิ่ง)จึงนำมาใช้หลังคำว่าاَللّه
๑๔. มนุษย์ก็เช่นเดียวกันจะต้องสร้างกำลังใจและความหวังโดยการรำลึกถึงอัลลอฮ. (ซบ.) ด้วยกับพระนามที่สมบูรณ์ และครอบคลุมที่สุด (๑๖)ควบคู่กับคุณลักษณะแห่งความเมตตาและความกรุณาปรานีของพระองค์ (๑๗)
ด้วยการกล่าวว่า بِسمِ اللّه الرَّحمنِ الرَّحِيم
การเริ่มงานด้วยกับถ้อยคำที่หมายถึงความเมตตานั้นแสดงให้เห็นว่ารากฐานของทุกกิจการงานวางอยู่บนความเมตตากรุณาและเป็นเครี่องหมายที่ชี้ให้เห็นว่าการแสวงหาความช่วยเหลือจากผู้เป็นต้นกำเนิดของความเมตตานั้นเหมาะสมและคู่ควรยิ่ง
อ้างอิง
๑. ซูเราะฮฺ ฮูด อายะฮฺที่ ๔๑
๒. ซูเราะฮฺ อัล-นัมลิอายะฮฺที่๓๐
๓.ตับซีร อัลบุรฮาน เล่มที่ ๑หน้าที่ ๔๓
๔.บุคคลกลุ่มหนึ่งจากครอบครัวและสายตระกูลของท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ)ที่ได้รับการเลือกสรรจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ให้เป็นผู้นำประชาชาติมุสลิมหลังจากท่านศาสดา (ศ็อลฯ) บุคคลเหล่านี้ได้แก่ ท่านอิมามอะลี (อ.) ท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ (อ.)ท่านอิมามฮะซัน (อ.) ท่านอิมามฮุเซน (อ.)และผู้สืบสายตระกูลของท่านอิมามฮุเซนอีก ๙ ท่าน
๕.อาลูซีเป็นนักปราชญ์ท่านหนึ่งของอะหฺลิซซุนนะฮฺ และเป็นผู้เขียนตับซีร รูฮุ้ล-มะอานี
๖. มุสนัดอะหฺมัด เล่มที่ ๓หน้าที่ ๑๗๗ เล่มที่ ๔ หน้าที่ ๘๕
๗.มุสตัดร็อก ฮากิม เล่มที่ ๑หน้าที่ ๒๓๓
๘. ตัฟซีร อัลบุรฮาน เล่มที่ ๑หน้าที่ ๔๒ หะดีษที่ ๑๕
๙.สุนันบัยฮะกี เล่มที่ ๒หน้าที่ ๕๐
๑๐. ชะฮีดมุเฏาะฮะรีเป็นนักปราชญ์ร่วมสมัยผู้ยิ่งใหญ่ท่านหนึ่งทีมีความเชี่ยวชาญในศาสตร์ต่างๆ มากมายเช่น ปรัชญา ตรรกวิทยา ฯลฯ ท่านได้ถูกลอบสังหารโดยศัตรูของอิสลามในวันที่ ๑ พ.ค.ค.ศ. ๑๙๗๙
๑๑. มัจมะอุ้ล-บะยาน เล่มที่ ๕หน้าที่ ๒ และฟัครุร-รอซี เล่มที่ ๑๕ หน้าที่ ๒๑๖
๑๒.โดยปรกติแล้วจิตวิญญาณและธรรมชาติของมนุษย์จะปรับเปลี่ยนไปตามความเชื่อในแนวทางของศาสนา และแนวความคิดของตนเอง ประหนึ่งถูกย้อมด้วยสีสันของสิ่งเหล่านี้ผู้ศรัทธาในอัลลอฮฺ (ซบ.) จะได้รับการย้อมด้วยสีสันของพระองค์ ซึ่งหมายถึงแนวทางอันบริสุทธิ์ของอิสลามกล่าวคือ อิสลามจะชำระขัดเกลาจิตใจสติปัญญาและความคิดของผู้ศรัทธาให้สะอาดบริสุทธิ์จากมลทิน ความมืดมนและสีสันของความเท็จทั้งมวล
๑๓.แม้กระทั่งการเริ่มต้นด้วยพระนามของอัลลอฮฺ (ซบ.) ควบคู่กับนามของท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) ก็ถือว่าไม่อนุญาตเช่นกัน (อิษบาตุ้ล-ฮุดา เล่มที่ ๗ หน้าที่ ๔๘๒)
๑๔.كُلُّ شَىءٍ هَالِكٌ اِلاِّ وَجهَهُ ทุกสรรพสิ่งพินาศสิ้น ยกเว้นแก่นแท้ (ซาต) อันบริสุทธิ์ของพระองค์ (อัล-เการะศ็อด ๘๘)
๑๕.เนื่องจากตามทัศนะนักวิชาการบางส่วน ความหมายหนึ่งของอักษร บาอฺในบิสมิลลาฮฺคือ "อิสติอานะฮฺ" (การแสวงหาความช่วยเหลีอ) ดังนั้นبِسمِاللّهالرَّحمنِالرَّحِيمจึงหมายถึง "ข้าพระองค์ขอความช่วยเหลือด้วยกับพระนามของอัลลอฮฺผู้ทรงกรุณาปรานีเสมอ ผู้ทรงเมตตายิ่ง"
๑๖. พระนามของอัลลอฮฺ (ซบ.) ได้ถูกกล่าวไว้ในอัล- กุรอาน ๑๐๐ พระนามซึ่งอัลลอฮฺเป็นพระนามที่สมบูรณ์และครอบคลุมทีสุด
๑๗. اَلرَّحمنเป็นนามที่ใช้เฉพาะกับอัลลอฮฺ (ซบ.) เท่านั้น ซึ่ง หมายถึงผู้ที่ความเมตตาของเขาแผ่กว้าง ไม่มีขอบเขตจำกัดและครอบคลุมทุกสรรพสิ่งในขณะทีผู้อื่นนอกเหนือจากพระองค์นั้น ความเมตตาของเขาอยู่ในขอบเขตจำกัดหรือไม่ก็เป็นผู้ไร้ดวามเมตตาหรือมิเช่นนั้นก็เป็นผู้คาดหวังรางวัลตอบแทนโลกนี้หรือโลกหน้าจากการแสดงความเมตตาของตน