ปรัชญาการละหมาดในอิสลาม
การละหมาดและการสรรเสริญอัลลอฮ์ (ซบ.) พระผู้เป็นเจ้าคือการสื่อสารระหว่างมนุษย์และพระเจ้า ระหว่างสิ่งถูกสร้างกับพระผู้สร้างที่ใกล้ชิดที่สุด การละหมาดมอบความอบอุ่นและความสงบเยือกเย็นให้แก่หัวใจที่ถูกทำให้อ่อนล้ากระวนกระวายและปั่นป่วน เป็นสารัตถะของการขัดเกลาด้านใน และเป็นความกระจ่างแจ้งสำหรับจิตวิญญาณมนุษย์
การละหมาดเป็นพันธะสัญญา เป็นพลังผลักดันของพฤติกรรม เป็นความเคลื่อนไหว และการประกาศความพร้อมในลักษณะที่บริสุทธิ์ใจที่สุด ห่างไกลจากการหลอกลวงและการหลงผิด เพื่อให้ห่างไกลจากความชั่วช้า ความลามกอนาจาร เป็นการยืนยันความดีงามและความสวยงามทุกประการ เป็นกำหนดการของการค้นพบตนเอง และตามมาด้วยการสร้างจิตวิญญาณขึ้นมา หรือกล่าวโดยย่อ เป็นความสัมพันธ์ที่เป็นประโยชน์อย่างต่อเนื่องกับแหล่งกำเนิดแห่งความดีงาม นั่นคืออัลลอฮ์ (ซบ.) พระผู้เป็นเจ้า
เพราะเหตุใด การละหมาดจึงถูกถือว่าเป็นข้อบังคับที่สำคัญและดีเลิศที่สุด เพราะเหตุใด การละหมาดจึงถูกกำหนดให้เป็นหลักการและพื้นฐานของความศรัทธา เพราะเหตุใด จะไม่มีสิ่งใดได้รับยอมรับหากปราศจากการละหมาด เพื่อแสวงหาคำตอบเหล่านี้ ขอให้เราวิเคราะห์และประเมินผลมิติและมุมมองต่างๆ ของการละหมาด ในการเริ่มต้นนับว่า เหมาะสมที่จะมุ่งความสนใจไปที่เป้าหมายและวัตถุประสงค์ที่อยู่เบื้องหลังการสร้างมนุษย์ ซึ่งถือเป็นแกนหลักแกนหนึ่งในโลกทัศน์ของอุดมการณ์อิสลาม
ถ้ามนุษย์เป็นสิ่งถูกสร้าง และถ้าเราเชื่อว่าอำนาจที่ทรงพลังและฉลาดล้ำเลิศเป็นผู้ทำให้เขามีชีวิต ดังนั้น จึงเป็นธรรมดาอยู่เองที่จะคิดว่าต้องมีเป้าหมายและวัตถุประสงค์บางประการอยู่เบื้องหลังการสร้างสรรค์และการปรากฏขึ้นของเขา เป้าหมายนี้อาจเรียกว่ามาตรวัด เส้นทางซึ่งนำไปสู่จุดหมายปลายทางสุดท้ายหรือพระเจ้า นั่นคือการเดินทางไปบนเส้นทางดังกล่าว ตามแผนที่ที่แน่นอนและด้วยวิธีการที่เฉพาะเจาะจง เพื่อว่าในท้ายที่สุดจะสามารถไปถึงจุดหมายปลายทางสุดท้ายที่ปรารถนาได้
ในกรณีนี้ จำเป็นจะต้องเจาะจงเส้นทางที่นำไปสู่จุดหมายปลายทางสุดท้าย คำนวณเส้นทางและระลึกถึงเป้าหมายไว้เสมอเพื่อให้ประสบความสำเร็จในผลลัพธ์ที่ต้องการ ผู้ที่เริ่มต้นการเดินทางนี้จะต้องเดินตรงไปข้างหน้า ควรต้องระลึกถึงจุดหมายปลายทางสุดท้ายไว้ในจิตใจเสมอ ต้องไม่ถูกเบี่ยงเบนความสนใจจากความเพลิดเพลินจำเริญใจระหว่างทาง หรือสูญเสียความตั้งใจให้กับกิจกรรมที่ไร้ประโยชน์ เช่นเดียวกันเพื่อดำเนินต่อไปนั้น จำเป็นจะต้องอยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้องในทิศทางที่เฉพาะเจาะจง และไม่เบี่ยงเบนออกจากทางนำที่ได้รับการอรรถาธิบายไว้โดยผู้นำของเขา(คือท่านศาสดามุฮัมหมัด (ศ็อลฯ)
เป้าหมายดังกล่าวคือขั้นตอนดำเนินสู่ความสมบูรณ์ที่สูงส่งและเป็นนิรันดร์ของมนุษย์ เป็นการกลับไปสู่พระผู้เป็นเจ้าและคุณสมบัติทางด้านศีลธรรม การค้นพบพลังที่มีมาแต่กำเนิดและศักยภาพภายในตนเอง รวมทั้งการใช้สิ่งเหล่านี้ไปในหนทางที่ถูกต้องเพื่อความสุขสงบของเขาเอง ของเพื่อนมนุษย์และโลกทั้งมวลเพราะฉะนั้น เราต้องชี้เฉพาะการดำรงอยู่ของพระผู้เป็นเจ้า รวมทั้งแนวทางที่พระองค์ทรงกำหนดเพื่อความสูงส่งของมนุษย์ และต้องเคลื่อนไปในทิศทางดังกล่าว โดยปราศจากการลังเลและเกียจคร้านเพื่อการปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งจะนำมนุษย์เข้าใกล้ชิดเป้าหมายดังกล่าว จงอย่าเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เป็นอันตรายและให้โทษ กำหนดความหมายให้ชีวิตซึ่งควรเป็นปรัชญาของการดำเนินชีวิต มิฉะนั้นชีวิตก็จะกลายเป็นสิ่งไร้ค่าที่ปราศจากสารัตถะ กล่าวอีกอย่างหนึ่งคือชีวิตเปรียบเสมือนชั้นเรียนหรือห้องทดลอง ซึ่งเราต้องปฏิบัติตามกฎหรือระเบียบ ซึ่งอัลลอฮ์ (ซบ.) พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงสร้างโลกและชีวิต ทรงกำหนดแก่เราเพื่อใหป้ ระสบความสำเร็จและบรรลุเป้าหมายสู่ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดที่ปรารถนา
เราต้องระบุกฎเกณฑ์เหล่านี้ แบบแผนของพระเจ้า กฎของการสรา้ งสรรค์และหลอหลอมชีวิตของเราไปตามกฎเกณฑ์เหล่านั้นเพราะฉะนั้นบุคคลหนึ่งต้องพิสูจน์ตัวเองและความปรารถนาของเขา ซึ่งถือเป็นความรับผิดชอบและความจำเป็นที่ยิ่งใหญ่ประการหนึ่งของมนุษย์ มนุษย์จะสามารถเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างจริงจังและด้วยความสำเร็จได้ ก็เมื่อหลังจากการปฏิบัติหน้าที่ภาคบังคับที่ยิ่งใหญ่นี้แล้วเท่านั้น มิฉะนั้น เขาก็จะถูกถือว่าเป็นผู้เกียจครา้นอวิชชาและล้มเหลว
ศาสนามิได้พิจารณาเป้าหมาย ทิศทาง วิถีทางและวิธีการของการเดินทางเท่านั้น แต่ยังมอบพลังที่จำเป็นและจัดหาเสบียงกรังสำหรับการเดินทางบนเส้นทางไปสู่ความสมบูรณ์ให้มนุษย์อีกด้วยแน่นอนสิ่งที่จัดเตรียมให้ที่สำคัญที่สุด ที่ผู้เดินทางจะนำติดตัวไปบนเส้นทางดังกล่าวคือการรำลึกถึงอัลลอฮ์ (ซบ.) พระผู้เป็นเจ้า
ปีกอันทรงพลังของการบินนี้คือ การแสวงหาความหวังและความมั่นใจ ซึ่งเป็นผลลัพธ์ของการรำลึกถึงอัลลอฮ์ (ซบ.) พระผู้เป็นเจ้าอย่างเดียวกัน ด้านหนึ่งทำให้เราตระหนักถึงเป้าหมายของการมีความสัมพันธ์กันของตัวเราเองกับพระองค์ว่า คือความสมบูรณ์อย่างแท้จริง และในเวลาเดียวกันก็ป้องกันการเบี่ยงเบน ทำให้ผู้เดินทางตื่นตัวและรอบคอบเกี่ยวกับวิถีทางและวิธีการ อีกด้านหนึ่งมันยังมอบกำลังใจ ความสุขและความมั่นใจแก่เขา ป้องกันเขาให้พ้นจากความไขว้เขวและความผิดหวัง เมื่อเผชิญกับสถานการณ์รุนแรงและเป็นผลร้าย
สังคมอสิลามในแต่ละกล่มุ แต่ละปัจเจกบุคคล สามารถดำเนินไปข้างหน้า ด้วยความมั่นคงบนเส้นทางเดินที่อิสลามกำหนดไว้และถูกประกาศออกมาโดยบรรดาศาสดาสายนี้ โดยไม่มีการหยุดการเดินทางหรือกลับมาจากกลางทาง เพียงถ้าพวกเขาไม่ลืมเลือนการรำลึกถึงอัลลอฮ์ (ซบ.) พระผู้เป็นเจ้า เพราะฉะนั้น ด้วยการพินิจพิจารณานี้ซึ่งศาสนาพยายามอย่างดีที่สุด ด้วยการแนะนำวิถีทางและวิธีการต่างๆ เพื่อให้การรำลึกถึงอัลลอฮ์ (ซบ.) พระผู้เป็นเจ้ายังคงมีชีวิตชีวาอยู่ในหัวใจของผู้ศรัทธาตลอดเวลา
พฤติกรรมเพียงหนึ่งเดียว ซึ่งเต็มไปด้วยแรงบันดาลใจของการรำลึกถึงอัลลอฮ์ (ซบ.) พระผู้เป็นเจ้า และทำให้มนุษย์สามารถแช่ตัวเองลงไปในมันอย่างเต็มที่ ทำให้เขาตระหนักและค้นพบตนเอง การ กระทำที่เป็นเสมือนป้ายบอกเส้นทางที่เที่ยงตรงสำหรับผู้ที่เดินข้ามเส้นทางของพระผู้เป็นเจ้า และป้องกันเขาจากความยุ่งยากสับสน และยืนอยู่บนเส้นทางของความประมาทนั้น ไม่มีสิ่งใดนอกจากการละหมาด
เนื่องจากความหมกมุ่น ทำให้มนุษย์ไม่สามารถมีโอกาสที่จะคิดหรือใคร่ครวญเกี่ยวกับตัวเขาเองถึงเป้าหมายของชีวิต และเกี่ยวกับระยะเวลา ชั่วครู่ ชั่วโมงและวัน บ่อยครั้งมากที่กลางวันผ่านไปสู่กลางคืน วันใหม่เริ่มต้น สัปดาห์และเดือนผ่านไปโดยมนุษย์ไม่มีโอกาสที่จะตระหนักเกี่ยวกับระยะเวลา ความหมายของเวลานั้นและการสูญเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์
การละหมาดคือหวูดเตือนให้ตื่นตัว เตือนในชั่วโมงต่างๆของกลางวันและกลางคืน ซึ่งเตือนกำหนดการสำหรับมนุษย์ และต้องการพันธะสัญญาในการปฏิบัติ เพื่อว่าจะมอบความหมายให้กลางวันและกลางคืน ทำให้เขาสามารถอธิบายช่วงเวลาที่ผ่านไปได้เมื่อมนุษย์จมดิ่งลงไปในกิจการทางโลกียวิสัย โดยไม่ได้ให้ความสนใจตอ่ ช่วงเวลาทีผ่านไปและอายุที่ค่อยๆ คืบคลานเข้ามาโดยไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อย การละหมาดกระตุ้นเตือนและทำให้เขาเข้าใจว่าวันเวลาได้ผ่านไป และวันใหม่กำลังเริ่มขึ้น
เขาจะต้องทำหน้าที่โดยยอมรับความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่กว่าด้วยการปฏิบัติภารกิจที่สำคัญ เพราะส่วนหนึ่งของชีวิตได้ถูกใช้ไปแล้ว เพราะฉะนั้นเขาต้องพยายามให้หนักขึ้น และควรจะดำเนิน ก้าวที่ยิ่งใหญ่ไปข้างหน้าเพราะเป้าหมายนั้นสูงส่ง ตราบเท่าที่มีโอกาสเขาต้องพยายามให้ประสบความสำเร็จก่อนที่จะสายเกินไป
ในด้านหนึ่ง การที่จะลืมเลือนเป้าหมายและทิศทางภายใต้แรง กดดันของชีวิตประจำวันหรือเรื่องวัตถุที่เกี่ยวพันอยู่นั้น เป็นเรื่องธรรมดาและชัดเจน ความเป็นไปได้ที่จะตรวจสอบภารกิจภาคบังคับที่มอบให้มนุษย์ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ต้องการในแต่ละวัน ยากลำบากกว่าและเกือบเป็นไปไม่ได้ นอกจากนั้นแล้ว เวลาที่ไม่เพียงพอต่อการตรวจสอบแนวความคิดอิสลามที่ต้องการและที่เป็นอุดมคติ ซึ่งการมอบความสูงส่งและความสำเร็จให้แก่ชีวิตของมนุษย์ไม่เคยปรากฏ และโอกาสดังกล่าวไม่เคยเกิดขึ้น ในตัวของการละหมาดเองบรรจุบทสรุปใจความสำคัญของหลักการแห่งสำนักคิดนี้ทั้งหมด เนื่องจากคำกล่าว การคำนวณและเคลื่อนไหวที่ได้รับการจัดตั้งที่มีความกลมกลืนที่สุดซึ่งปรากฏอยู่ในการละหมาดทำให้เป็นการถูกต้องที่จะกล่าวว่าการละหมาดเป็นปรากฏการณ์ทั้งหมดของอิสลาม หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่ง เราอาจเปรียบเทียบการละหมาดกับเพลงชาติ ถึงแมว้ ่าจะมีความแตกต่างในความหมายและตัวแปรบางประการก็ตาม เพื่อทำให้กฎเกณฑ์และอุดมคติได้รับการจดจำ และรำลึกถึงจากประชาชนอย่างถาวร และทำให้ความรักต่ออุดมคติของชาติของประชาชนดำรงอยู่ การประพันธ์เพลงชาติ บรรจุใจความสำคัญของอุดมคติดังกล่าว และทำให้เพลงชาติเป็นการร้องที่จำเป็นต้องทำ การร้องเพลงชาติซ้ำๆ กลายเป็นวิธีการทำให้ประชาชนยังคงจดจำอุดมคติดังกล่าว เช่นเดียวกับเป็นเครื่องเตือนใจสำหรับพวกเขาว่า พวกเขาคือประชาชนของประเทศนั้น และเป็นผู้ปกป้องอุดมคติที่ถูกประพันธ์อยู่ในนั้น มิฉะนั้นการลืมเลือนกฎเกณฑ์และอุดมคติดังกล่าว จะหมายความว่าพวกเขาได้เบี่ยงเบนไปจากมัน มิได้มอบหมายให้แก่กฎเกณฑ์และอุดมคติเหล่านั้นในชีวิตของพวกเขาอีกต่อไป
เพราะฉะนั้นการกระทำซ้ำนี้ทำให้พวกเขาพร้อม เหมาะสำหรับภารกิจและการรับใช้ประเทศชาติของพวกเขา สอนระเบียบวิธีที่สัมพันธ์กันให้พวกเขา มอบหมายความรับผิดชอบและหน้าที่ให้พวกเขา ทำให้กฎเกณฑ์ต่างๆ มีชีวิตอยู่ในจิตใจของพวกเขา ช่วยเหลือภาระหน้าที่ของพวกเขา เอาใจใส่เรื่องความกล้าหาญและพลังในการ กระทำการเพื่อให้พวกเขาปฏิบัติหน้าที่เป็นผลสำเร็จ
กล่าวโดยย่อ การละหมาดก็เป็นเช่นเพลงชาติ คือเป็นการสรุปใจความสำคัญ ทั้งหมดของอุดมการณ์อิสลามซึ่งระบุวิถีทางของมุสลิมไว้อย่างแจ่มชัด และแสดงความรับผิดชอบ หน้าที่ หนทางและผลลัพธ์ไว้ให้เห็นอย่างชัดเจน การละหมาดย้ำเตือนมุสลิมในตอนเริ่มต้นของวัน กลางวัน ยามเย็น และทำให้เขาเข้าใจกฎเกณฑ์ทิศทาง เป้าหมายและผลลัพธ์ด้วยลิ้นของเขาเอง กระตุ้นเขาให้กระทำการด้วยการมอบความเข้มแข็งทางจิวิญญาณให้เขาการละหมาดชี้นำผู้ศรัทธาทีละขั้นทีละตอน ให้ไปถึงความสมบูรณ์สูงสุด ประกอบด้วยความศรัทธาและการกระทำ ทำให้สิ่งที่มีค่าออกมาจากตัวเขา นั่นคือมุสลิมที่สมบูรณ์ตามอุดมคติ เนื่องจากคุณลักษณะเหล่านี้นี่เอง ที่ท่านศาสดา (ศ็อลฯ) เรียกการละหมาดว่า บันไดสำหรับผู้ศรัทธา ซึ่งนำเขาขึ้นสูงสู่ฟากฟ้า
มนุษย์มีเส้นทางที่ยากลำบากและยาวไกลอยู่เบื้องหน้า เส้นทางที่จะนำเขาไปสู่ความอุดมสมบูรณ์และความรุ่งโรจน์ที่แท้จริง การเดินทางไปบนเส้นทางแห่งความสมบูรณ์นี้ คือเป้าหมายในขั้นเริ่มต้นของการสร้างสรรค์และการดำรงอยู่ของมนุษย์ แต่สิ่งที่เขาเผชิญหน้าอยู่ ไม่เพียงเส้นทางเดินเท่านั้น แต่เขายังต้องหลีกเลี่ยงอุปสรรคและทางแคบ ความเบี่ยงเบนและเส้นทางที่อันตราย ซึ่งมีอยู่มากมายใกล้เส้นทางหลักสายตรง บางครั้งเส้นทางเหล่านี้ช่างยั่วยวนและดึงดูดใจเสียจนผู้เดินทางมีความสับสนอย่างง่ายดาย และเลือกเส้นทางเดินที่ผิดด้วยความพลาดพลั้ง
ดังนั้น เพื่อหลีกเลี่ยงกับดักเหล่านี้ ผู้เดินทางจะต้องเข้มงวดต่อกำหนดการดั้งเดิม นั่นคือการสืบเสาะเส้นทางที่ถูกต้องให้แน่ใจแล้วเดินหนา้ ไปสู่ทิศทางที่ถูกต้องที่ยึดมั่นนั้น และจุดหมาปลายทางที่สูงส่ง (การดำเนินไปสู่พระผู้เป็นเจ้า) ด้วยการปฏิบัติตามแผนที่ที่กำหนดซึ่งแสดงเส้นทางและเป้าหมาย การละหมาดเป็นการให้ความสนใจต่อพระผู้เป็นเจ้าและรายละเอียดแผนที่ซึ่งแสดงเส้นทางหลักอย่างมั่นคง เป็นช่องทางที่เตรียมการติดต่อและการเชื่อมโยงอย่างมั่นคงกับพระผู้เป็นเจ้า ผู้ทรงเดชานุภาพ เพราะบรรจุสรุปใจความสำคัญของแนวความคิดอิสลามที่สมบูรณ์ไว้ ในพิธีกรรมของมัน
ดังนั้น จากการอธิบายข้างต้นจึงเป็นที่ชัดเจนว่า มีเหตุผลอะไรที่อยู่เบื้องหลังการกำหนดละหมาด 5 เวลาต่อวันและมีความสำคัญเพียงใด เปรียบเทียบได้กับความต้องการอาหารของร่างกายมนุษย์ในช่วงระยะเวลาระหว่างวัน 24 ชั่วโมง นอกจากความจริงที่ว่า การละหมาดบรรจุการสรุปใจความสำคัญของเป้าหมายและอุดมคติของอิสลามทั้งหมด และโดยที่การอ่านอัลกุรอานคือสิ่งที่จำเป็นต้องกระทำระหว่างพิธีกรรม ดังนั้นโดยปกติการละหมาดก็จะทำให้ผู้ปฏิบัติมีความคุ้นเคยกับบางส่วนของข้อความคัมภีร์อัลกุรอาน และกระตุ้นให้เขาใคร่ครวญและคิดเกี่ยวกับความหมายของโองการ ซึ่งจะค่อยๆ กลายเป็นนิสัย การเคลื่อนไหวต่างๆ ที่ถูกกำหนดไว้ในการละหมาดมีความสมบูรณ์และสะท้อนอิสลามทั้งหมดในรูปแบบที่ย่อส่วนลงมา
ในระบบสังคม อิสลามรวมเป็นหนึ่งเดียวกับร่างกาย จิตใจและ จิตวิญญาณของมนุษย์ ทำให้สิ่งเหล่านี้ทำงานเพื่อสร้างความเจริญรุ่งเรืองและความสุขแก่มนุษย์ สิ่งเดียวกันนี้บรรลุผลอย่างชัดเจนเมื่อเขาปฏิบัติละหมาด เพราะร่างกาย จิตใจและจิตวิญญาณทั้งสามนี้ ทำหน้าที่โดยมีส่วนเกี่ยวข้องกันดังต่อไปนี้
ร่างกาย : มือ เท้าและลิ้น ทั้งหมดอยู่ในการเคลื่อนไหวโดยที่การละหมาดต้องใช้อิริยาบททั้งสามคือการยืน การก้มโค้งและการหมอบกราบ
จิตใจ : คิดเกี่ยวกับรายละเอียดและคำกล่าวของการละหมาดซึ่งโดยปกติเป็นเครื่องชี้วัดเกี่ยวกับเป้าหมาย วัตถุประสงค์และเป็นเสมือนขั้นตอนโดยสรุปที่สมบูรณ์เกี่ยวกับวิธีคิดในอุดมการณ์อิสลาม
จิตวิญญาณ : การรำลึกถึงอัลลอฮ์ พระผู้เป็นเจ้าและการได้โบยบินทางจิตวิญญาณไปสู่ความเรียบง่ายที่ละเอียดอ่อนซึ่งสูงส่งกว่า ด้วยการตัดขาดการผจญทางโลกของหัวใจให้กลายเป็นสิ่งที่ไม่มีแก่นสารและเป็นเพียงเรื่องสนุกสนานไร้สาระ พยายามให้การมีสติประสบความสำเร็จ ด้วยการให้ความสนใจ ทำนุบำรุงเมล็ดพันธุ์แห่งคุณธรรมและความยำเกรงพระเจ้าในจิตวิญญาณของมนุษย์ไว้
เป็นความจริงที่ได้รับการยอมรับว่า การสวดวิงวอนของแต่ละศาสนาและแต่ละอุดมการณ์ สะท้อนบทสรุปของแนวความคิดแห่งสำนักคิดนั้น ซึ่งเป็นจริงเช่นกันกับการละหมาดในอิสลาม นั่นคือการละหมาดผสมผสานจิตวิญญาณและร่างกาย เนื้อหาและความหมายโลกนี้และปรโลกในคำกล่าว ในบริบทและในการเคลื่อนไหว ซึ่งเป็นความพิเศษของการละหมาดในอิสลาม ด้วยการปฏิบัติละหมาดอย่างสมบูรณ์ มนุษย์สามารถใช้ประโยชน์จากพลังงานทั้งหมดของเขาเองเพื่อประสบความสำเร็จขั้นสูงส่ง นั่นคือในท้ายที่สุดนี้เขาได้รับมอบแหล่งทรัพยากรทั้งทางกายภาพและทางจิตวิญญาณ
ผู้ศรัทธาปฏิบัติละหมาด แสวงหาหนทางของพระผู้เป็นเจ้าด้วยพลังความเข้มข้นทั้งทางกายภาพและทางจิตภาพเพื่อความสำเร็จในการพิชิตแรงผลักดันของความชั่วร้าย การฉ้อฉลและการทำให้เสื่อมทั้งหมด ทำให้ตัวเขาเองบริสุทธิ์จากอิทธิพลของความชั่วร้ายทั้งมวล โองการบางโองการของคัมภีร์อัลกุรอานระบุว่า การตั้งมั่นของการละหมาดคือสัญญาณของความมีศาสนา ขณะที่โองการอื่นๆ อีกหลายโองการ ให้การย้ำเตือนทางสังคมของการปฏิบัติละหมาด ดังนั้นดูเหมือนว่าการตั้งมั่นของการละหมาดลงลึกมากกว่าการปฏิบัติละหมาดธรรมดา
ไม่เป็นการเพียงพอสำหรับผู้ศรัทธา ที่เพียงแต่ปฏิบัติละหมาดแต่เขาต้องรับผิดชอบต่อความมานะบากบั่นที่จะบรรลุเป้าหมายและวัตถุประสงค์ รวมทั้งดำเนินตามแนวทางที่การละหมาดแนะนำเขา รวมทั้งการสนับสนุนผู้อื่นให้ร่วมไปกับเขาในทิศทางดังกล่าวกล่าวอีกอย่างหนึ่งคือ ดูเหมือนการปฏิบัติละหมาดหมายความว่าผู้หนึ่งต้องบากบั่นอย่างมากที่สุด เพื่อการประสบความสำเร็จในการแสวงหาพระผู้เป็นเจ้าและสภาพแวดล้อมแห่งการเคารพภักดีพระองค์สำหรับตนเองและผู้อื่น การผลักดันสังคมให้เคลื่อนไปข้างหน้าโดยรวม ในทิศทางของการละหมาด
ดังนั้น ผู้ศรัทธาหรือสังคมของผู้ศรัทธา จะเผาทำลายรากเหง้าของการเบี่ยงเบน บาปและการฉ้อฉลภายในตัวพวกเขาเอง และภายในสภาพแวดล้อมทางสังคมของพวกเขา ด้วยการตั้งมั่นอยู่ในการละหมาด และในเวลาเดียวกันก็ลบล้างความคิดที่ผิด แรงผลักดันทั้งภายนอกและภายในของความชั่วร้าย ไม่ว่าจะเป็นปัจเจกหรือองค์รวม แน่นอนการละหมาดป้องกันปัจเจกและสังคมจากการกระทำที่ไม่เป็นที่ต้องการและน่าละอาย
ระหว่างการต่อสู้ที่สำคัญของชีวิต เมื่อพลังความชั่วร้ายมีเครื่องมือประกอบพร้อม เพื่อการทำลายแรงจูงใจและสิ่งกระตุ้นของคุณงามความดีและความมีคุณธรรมภายในทุกคนและทุกสถานที่ ป้อมปราการที่สำคัญที่สุดที่สิ่งเหล่านี้ทำลายประกอบด้วยการตัดสินใจและความแข็งแกร่งทางจิตวิญญาณของมนุษย์ อันเป็นป้อมปราการที่เป็นขุมทรัพย์ของมรดกแห่งความสูงส่ง และเก็บสะสมการการศึกษาและความรู้ที่มีค่าไว้ เพราะเมื่อใดก็ตามที่อุปสรรคแห่งศักดิ์ศรีนี้ถูกกำจัดออกไป การเข้าครอบงำและทำลายบุคลิกภาพของมนุษย์ของมันก็จะเป็นไปได้ เพราะฉะนั้นผู้ที่ประกาศสาส์นที่บริสุทธิ์และทันสมัยสำหรับยุคสมัยของพวกเขา จึงถูกโจมตีอย่างรุนแรงมากมายกว่าผู้อื่น และต้องการการป้องกันป้อมปราการที่ไม่อาจต่อต้านได้นี้ค่อนข้างจะมากกว่าผู้อื่นอยู่มาก
ด้วยการบันดาลใจและการรำลึกถึงพระผู้เป็นเจ้าซ้ำๆ ของการละหมาดของอิสลามได้เชื่อมโยงมนุษย์ผู้มีขีดจำกัดและอ่อนแอ เข้ากับพลังอำนาจที่ไร้ขีดจำกัดและสมบูรณ์ และทำให้เขาพึ่งพาแหล่งกำเนิดดังกล่าว ด้วยการเชื่อมโยงมนุษย์เข้ากับพลังอำนาจสมบูรณ์และผู้บริหารจัดการจักรวาลทั้งมวลดังกล่าว ทำให้เขาได้รับการประทานพลังอำนาจที่ไม่จำกัดและสถาพร ซึ่งถือได้ว่าเป็นการรักษาเยียวยาความอ่อนแอของมนุษย์ที่ดีเลิศที่สุด และเป็นโอสถที่มีประสิทธิผล ชักนำไปสู่การตัดสินใจและเจตนาที่แรงกล้า
ณ ธรณีประตูแห่งการกลับมามีชีวิตใหม่ที่ยิ่งใหญ่ของอิสลามและเผชิญหน้ากับการต่อต้านของผู้ปฏิเสธอย่างเต็มที่ ด้วยความรู้สึกถึงหน้าที่และภาระความรับผิดชอบที่หนักหน่วงที่สุดบนบ่าท่านศาสดาแห่งอิสลาม (ซ็อลฯ) ได้รับการแนะนำจากพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงเดชานุภาพ ให้ละหมาดยามคำคืน (ละหมาดชับบ์) และสรรเสริญพระองค์ดังต่อไปนี้
یا أَیُّهَا الْمُزَّمِّلُ، قُمِ اللَّیْلَ إِلاَّ قَلیلاً، نِصْفَهُ أَوِ انْقُصْ مِنْهُ قَلیلاً، أَوْ زِدْ عَلَیْهِ وَ رَتِّلِ الْقُرْآنَ تَرْتیلاً، إِنَّا سَنُلْقی عَلَیْك قَوْلاً ثَقیلاً
"โอ้ ผู้คลุมกายอยู่เอ๋ย ! จงยืนขึ้น (ละหมาด) เวลากลางคืน เว้นแต่เพียงเล็กน้อย (ไม่ใช่ตลอดคืน) ครึ่งหนึ่งของเวลากลางคืน หรือน้อยกว่านั้นเพียงเล็กน้อย หรือมากกว่านั้น และจงอ่านอัลกุรอานช้าๆ เป็นจังหวะ (ชัดถ้อยชัดคำ) แท้จริงเราจะประทานวจนะ(วะฮีย์) อันหนักหน่วงแก่เจ้า" (อัลกุรอานบทที่ 73 โองการที่ 1-5)
บัดนี้ เราจะพิจารณาหัวข้อของการละหมาด โดยไม่ลงลึกไปสู่การแปลความหรืออรรถาธิบายอย่างกว้างขวาง จะพยายามนำผู้อ่านเขา้ ใกล้สู่เป้าหมายการละหมาดสักขั้นตอนหนึ่ง การละหมาดเริ่มต้นด้วยนามของพระผู้เป็นเจ้า และด้วยการรำลึกถึงเกียรติคุณแห่งพระนามนั้น ขอบข่ายอันไร้ขีดจำกัดของสารัตถะของพระองค์ และการมีอำนาจเหนือกว่าและยิ่งใหญ่กว่าของพระองค์จากจุดสูงสุดแห่งความคิดของมนุษย์
اَللهُ اكْبَرُ
“อัลลอฮ์ผู้ทรงยิ่งใหญ่ที่สุด”
ผู้ศรัทธาเริ่มการสรรเสริญของเขาด้วยประโยคข้างต้น และด้วยการกระทำอย่างงดงามที่เริ่มด้วยบทอัลฟาติฮะฮ์ที่สมบูรณ์และสวยงาม อัลลอฮ์ทรงยิ่งใหญ่ที่สุด ทรงยิ่งใหญ่กว่าที่สิ่งใดจะสามารถถูกจำกัดอยู่ในความบริสุทธิ์และคุณลักษณะของพระองค์ ยิ่งใหญ่กว่าที่จะเปรียบเทียบกับผู้อ้างตัวเองว่าเป็นพระเจ้า และเทพเจ้าตลอดประวัติศาสตร์ และยิ่งใหญ่กว่าพลังอำนาจ รวมทั้งธรรมชาติที่สำแดงและปรากฏอยู่ซึ่งมนุษย์อาจเกรงกลัวหรือถูกโน้มน้าวชักชวนไปสู่ และยิ่งใหญ่กว่าผู้ใดก็ตามที่สามารถกล้าท้าทายกฎการสร้างสรรค์ของพระองค์ หากบ่าวของพระองค์พร้อมที่จะตระหนักในขนบแห่งพระเจ้าเหล่านี้ สอดคล้องกับการเลือกวิถีทางของพวกเขา และมานะบากบั่นในทิศทางดังกล่าว ดังนั้น ด้วยการเตือนว่า อัลลอฮ์ทรงยิ่งใหญ่ที่สุด เขาจะได้รับพลังที่ยิ่งใหญ่มากภายในการดำรงอยู่ของเขา และทำให้มีความหวังอย่างเต็มเปี่ยมด้วยการรับรองอย่างสมบูรณ์ เขารู้ว่าความพยายามทั้งหมดของเขาประสบความสำเร็จ และในภายหลังการสิ้นสุดจะเป็นสิ่งที่ดี การรับรองนี้ทำให้เขามีความหวัง และพึงพอใจเกี่ยวกับเส้นทางที่เขาเลือก เพื่อมองไปข้างหน้าสำหรับอนาคตที่สดใส ภายหลังประกาศประโยคนี้ผู้ปฏิบัติละหมาดได้เข้าสู่พิธีกรรมการละหมาดโดยพฤตินัย เขาต้องอ่านโองการแห่งการสรรเสริญ (บทอัลฟาติฮะฮ์) หลังจากนั้นจึงอ่านอัลกุรอานบทที่สมบูรณ์อีกบทหนึ่งในขณะยืนตรง
ที่มา : จากหนังสือความล้ำลึกของการละหมาด
แปลและเรียบเรียงโดย : ฟารีด เด่นยิ่งโยชน์
source : alhassanain