บทคัดย่อ :
วัน อารอฟะฮ์ คือ วันแห่งการดุอาอ์และกลับตัวกลับใจ แม้ว่าในวันนี้ตามรายงานกล่าวว่า เป็นมุสตะฮับให้ถือศีลอด แต่ถ้าการถือศีลอดเป็นสาเหตุทำให้ร่างกายอ่อนแอ จนบุคคลนั้นไม่อาจอ่านดุอาอ์ต่างๆ ในวันนี้ได้ ดังนั้นเขาจะต้องไม่ถือศีลอด เพื่อเก็บพละกำลังไว้อ่านดุอาอ์ ฉะนั้นในวันอารอฟะฮ์ ดุอาอ์จึงมีความสำคัญยิ่งกว่าการถือศีลอดมุสตะฮับเสียด้วยซ้ำไป (1)
วันอารอฟะฮ์ปีหนึ่งมีแค่วันเดียว เหมือนค่ำคืนแห่งอานุภาพ (ลัยละตุลก็อดร์) ปีหนึ่งมีอยู่เพียงคืนเดียว ดังนั้นมวลผู้ศรัทธาไม่ควรพลาดโอกาสต่อวันสำคัญเหล่านี้ ทว่าควรให้ความสำคัญและมีความกระตือรือร้น ทั้งบอกกล่าวและชักชวนให้บุตรหลานของตนได้มีส่วนร่วมในวันเวลาดังกล่าวโดยพร้อมเพียงกัน
บทนำ :
เมื่อกล่าวถึงสถานที่ที่เหมาะสมต่อการดุอาอ์ คงไม่มีใครสามารถลืมเลือนทุ่งอารอฟาตได้อย่างแน่นอน เนื่องจากเป็นหนึ่งในสถานที่ที่ได้รับการยกย่องว่าดุอาอ์จะถูกตอบรับ บทบาทที่แท้จริงของดุอาอ์ คือการไปถึงยังความเมตตาอันกว้างไพศาลของอัลลอฮ์ท่านอิมามซอดิก (อ.) กล่าวว่า
“ดุอาอ์คือสถานแห่งการตอบรับ ประหนึ่งหมู่เมฆ คือขุมคลังแห่งสายฝน” (2)
เป็นที่ชัดเจนตามคำกล่าวของท่านอิมามที่ว่า เมฆคือขุมคลังแห่งสายฝน และดุอาอ์ก็เป็นสถานแห่งการตอบรับ กล่าวอีกนัยหนึ่งว่า การตอบรับนั้นซ่อนอยู่ในบทดุอาอ์ ประหนึ่งสายฝนที่ซ่อนอยู่ในหมู่เมฆ ดังนั้นถ้าบุคคลหนึ่งมีความคิดบริสุทธิ์ มีความจริงใจ มีความรู้และความเข้าใจ ถ้าเขาดุอาอ์เหมือนที่ผู้อื่นดุอาอ์ แน่นอนดุอาอ์ของเขาจะถูกตอบรับ ชัยชนะที่สำคัญของบรรดาศาสดา (อ.) ส่วนหนึ่งมาจากความสิริมงคลของดุอาอ์ เนื่องจากการใช้กำลังหรือการปฏิบัติ อาจทำให้ร่างกายได้รับชัยชนะ แต่ดุอาอ์และการวิงวอนทำให้จิตวิญญาณประสบความสำเร็จ ดั่งที่ท่านอิมามริฎอ (อ.) กล่าวแก่เหล่าสหายของท่านว่า
“พวกท่านจงใช้อาวุธของเหล่าบรรดาศาสดาเถิด”
มีผู้ถามท่านว่า “อาวุธของบรรดาศาสดาคืออะไร” อิมาม (อ.) ตอบว่า “คือ ดุอาอ์” (3)
อาจกล่าวได้ว่าหนึ่งในปรัชญาของการวุกูฟในทุ่งอารอฟาตของตอนบ่ายวันที่ 9 เดือนซุลฮิจญะฮ์ นั้นก็เพื่อให้ปวงบ่าวได้มีโอกาสดุอาอ์และเตาบะฮ์ ชำระล้างจิตใจตนให้สะอาดบริสุทธิ์ พร้อมกับวิงวอนต่ออัลลอฮ์(ซบ.) ให้ทรงอภัยโทษแก่ตน ให้ตนสะอาดบริสุทธิ์เหมือนแรกเกิด อารอฟะฮ์ ในความหมายหนึ่งจึงหมายถึง “การรู้จัก” ซึ่งแน่นอนว่าตรงนี้ย่อมหมายถึงการรู้จักตนเอง ถ้ามนุษย์รู้จักตนเองมากเท่าใด เขาย่อมรู้จักอัลลอฮ์เพิ่มมากเป็นทวีคูณ
ความสำคัญของดุอาอ์
ดุอาอ์เป็นเพียงสิ่งเดียวที่อัลลอฮ์(ซบ.) ทรงมอบให้เป็นกรรมสิทธิ์ของมนุษย์ ณ เบื้องพระพักตร์ของพระองค์ และมนุษย์มิได้มีกรรมสิทธิ์ในกิจการใดเลย นอกจากดุอาอ์และความนอบน้อมถ่อมตน ดังคำพรรณนาในดุอาอ์กุเมล วรรคหนึ่งกล่าวว่า
يَا سَرِيعَ الرِّضَا اغْفِرْ لِمَنْ لاَ يَمْلِكُ إِلاَّ الدُّعَاءَ
“โอ้พระผู้ทรงเร่งรีบในการอภัย โปรดอภัยให้แก่บุคคลซึ่งมิมีสิ่งใด เว้นแต่ดุอาอ์” (4)
ด้วยเหตุนี้ ยามเมื่อเผชิญหน้ากับศัตรูภายใน ไม่มีอาวุธใดจะปราบปรามได้ นอกจากคร่ำครวญ
وَ سِلاَحُهُ الْبُكَاءُ
“และอาวุธของเขาคือการร่ำไห้คร่ำครวญ”
ศัตรูภายนอกเราสามารถกำจัดได้ด้วยอาวุธ ทั้งอาวุธหนักและเบา แต่สำหรับชัยฏอนศัตรูตัวฉกาจที่แฝงอยู่ในจิตใจ มีเพียงการร่ำไห้คร่ำครวญ ณ เบื้องพระพักตร์ของพระองค์เท่านั้นที่จะสามารถกำจัดให้สิ้นซากไปได้ ด้วยเหตุนี้ บุคคลใดที่ไม่เคยร่ำไห้คร่ำครวญ เขาจึงไม่มีอาวุธประจำกาย และผู้ใดไม่มีอาวุธประจำกาย เขาจะไม่มีวันได้รับชัยชนะอย่างแน่นอน เนื่องจากมนุษย์ตราบที่เขายังมองเห็นแต่ตัวตน เขาจะมองไม่เห็นอัลลอฮ์เขาจะไม่นอบน้อมถ่อมตนต่อพระองค์ และเมื่อเขาไม่ดุอาอ์ ไม่ร่ำไห้คร่ำครวญต่อพระองค์ เขาก็จะพ่ายแพ้ต่อศัตรูทั้งภายนอกและภายใน
ถึงแม้ว่าตลอดเวลาของการดำเนินชีวิตจะมีความเหมาะสมกับการดุอาอ์เสมอ แต่ในช่วงเทศกาลฮัจญ์โดยเฉพาะการปรากฏตัว ณ สถานที่อันเฉพาะ จะมีความโชติช่วงและมีมรรคผลเป็นพิเศษมากยิ่งกว่า ในการดุอาอ์และกาวิงวอนต่อพระผู้อภิบาลแห่งสากลโลก ดุอาอ์ถือเป็นความใสบริสุทธิ์และเป็นที่ยอมรับ ณ พระองค์ ส่วนอิฮ์รอมและกะอ์บะฮ์คือความเสรีและความสะอาด ซึ่งทั้งสองมีผลต่อการกลั่นกรองให้เกิดความใสบริสุทธิ์ ดังนั้นการดุอาอ์ในพิธีฮัจญ์ และดุอาอ์ ณ มีกอตที่กำหนดไว้ ย่อมได้รับผลสะท้อนที่ดียิ่งเสมอ ฉะนั้นถ้าสังเกตทุกขั้นตอนของการปฏิบัติฮัจญ์ จะพบว่าขั้นตอนเหล่านั้นมีคำสั่งพิเศษให้ดุอาอ์ขณะปฏิบัติ ซึ่งความพิเศษที่สุดของการดุอาอ์ในพิธีฮัจญ์คือดุอาอ์อาเราะฟาต ในทุ่งอารอฟาต พร้อมกับประชาชนทั่วสารทิศที่เดินทางมาชุมนุมกัน ณ สถานที่นั้น ด้วยความรักและความนอบน้อมถ่อมตน
รายงานจำนวนมากมายกล่าวถึงการกระทำในวันอารอฟะฮ์ ขณะที่วุกูฟในทุ่งอารอฟาต โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วิธีการอ่านดุอาอ์ขณะวุกูฟ ซึ่งส่วนหนึ่งของดุอาอ์ในวันนั้นคือดุอาอ์อาเราะฟะฮ์ของท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.) และดุอาอ์ของท่านอิมามซัจญาด (อ.) และบางส่วนได้ให้ความสำคัญกับการดุอาอ์ให้บุคคลอื่น ซึ่งส่วนใหญ่ของบรรดาสหายของอะฮ์ลุลบัยต์(อ.) จะทุ่มเทและให้ความสำคัญต่อวันนี้เป็นอย่างมาก พวกเขาจะใช้เวลาส่วนใหญ่ดุอาอ์ให้แก่บุคคลอื่น
อะลี บุตรของอิบรอฮีม กล่าวถึงประเด็นนี้โดยเล่าจากบิดาของท่านว่า ได้เห็นอับดุลลอฮ์บินญุนดับ ในอารอฟาต ซึ่งเขาได้ยกมือดุอาอ์ต่ออัลลอฮ์เป็นเวลานาน ซึ่งนัยตาทั้งสองเอ่อล้นด้วยน้ำตา ซึ่งฉันไม่เคยเห็นบรรดาสหายคนใดดุอาอ์เช่นนี้มาก่อน เมื่อประชาชนได้เริ่มเคลื่อนย้ายไปยังมัชอะริลฮะรอม ฉันได้กล่าวแก่เขาว่า “ฉันไม่เคยเห็นบุคคลใดดุอาอ์ดีไปกว่าท่าน” อับดุลลอฮ์กล่าวว่า “ฉันขอสาบานต่ออัลลอฮ์ว่า ในเวลานั้นฉันได้ดุอาอ์ให้แก่บรรดาพี่น้องผู้ศรัทธา เนื่องจากฉันได้ยินจากท่านอิมามมูซากาซิม (อ.) กล่าวว่า บุคคลใดก็ตามได้ดุอาอ์ให้แก่พี่น้องร่วมศรัทธาของตน จะมีเสียงดังจากข้างๆ บัลลังก์ของอัลลอฮ์ว่า จงเพิ่มเป็นทวีคูณแก่เขา 100,000 เท่าในสิ่งที่เขาได้วอนขอ” ฉะนั้นไม่สมควรดอกหรือที่ฉันจะรับผลบุญของดุอาอ์หนี่งแสนเท่าที่ถูกตอบรับ ด้วยการดุอาอ์ให้แก่พี่น้องร่วมศรัทธา (5)
ความใกล้ชิดของอัลลอฮ์ยังปวงบ่าว
ฮัจญ์ คือเหตุนำไปสู่การรู้จัก ซึ่งจะไม่พบในที่อื่นใดอีกเว้นเสียแต่ทุ่งอาเราะฟาต ดังรายงานที่กล่าวว่า “อัลฮัจญ์คือการรู้จัก” (6) หมายถึงว่า วันอาเราะฟะฮ์และแผ่นดินอารอฟาต แต่ละอย่างมีความพิเศษและฐานันดรอยู่ในตัว การไปถึงยังความพิเศษทั้งสองนั้นจะทำให้ผู้แสวงบุญทั้งหลายพบกับความง่ายดาย และจะทำให้เขารับรู้ถึงทั้งสองแม้แต่ในช่วงเวลาอื่นที่มิใช่ฮัจญ์ หรือทุ่งอารอฟาต ด้วยเหตุนี้การที่เราจะเข้าใจถึงความพิเศษและความประเสริฐของวันอารอฟะฮ์และทุ่งอาเราะฟาต กล่าวคือ การเตรียมพร้อมตัวเองเพื่อดุอาอ์ในวันนั้น ดุอาอ์ซึ่งถือว่าเป็นมันสมองของอิบาดะฮ์(7) สถานแห่งการตอบรับ ประหนึ่งเมฆที่เป็นขุมคลังแห่งสายฝน” (8)
ดุอาอ์ คือสื่อสำหรับการถ่ายทอดความต้องการ ซึ่งมิได้เกิดจากอารมณ์และอำนาจฝ่ายต่ำ ทว่าด้วยตัวของมันแล้วคือการตอบรับ ในดุอาอ์นั้นเขาไม่เรียกร้องจากใครอื่นนอกจากอัลลอฮ์ผู้ทรงมั่งคั่ง ผู้ทรงไพศาล นอกจากพระองค์ผู้ทรงสัมบูรณ์แท้แล้ว เขามิได้วิงวอนขอจากผู้ใดอีก และในเวลานั้นเขามิได้มีเจตนาอื่นใด นอกจากการปลดเปลื้องบรรดาสิ่งปกคลุมทั้งหลายด้วยรัศมีนิรันดร์ของพระองค์ เพื่อว่าจิตวิญญาณของเขาจะได้พันธนาการเข้ากับอำนาจและเกียรติยศของพระองค์ (9)
ความใกล้ชิดของอัลลอฮ์ (ซบ.) ที่มีต่อปวงบ่าวนั้น มีหลายระดับและหลายขั้นตอน ซึ่งภายในแต่ละระดับนั้นสามารถนำเราไปถึงยังระดับต่อไป ดังนั้นการติดตามความพิเศษเหล่านี้ในทุกระดับ จะนำเราไปสู่รายละเอียดที่ใหม่กว่า ซึ่งจะทำให้เราใส่ใจเป็นพิเศษในดุอาอ์ แน่นอนระดับขั้นบางส่วนเหล่านี้ บางส่วนจะมีความใกล้ชิดยิ่งกว่าอีกบางส่วน ซึ่งเมื่อเทียบกับโองการอัลกุรอาน จะทำให้เข้าใจได้ดังนี้ว่า
โองการที่ 186 บทบะเกาะเราะฮ์ กล่าวถึงความใกล้ชิดของอัลลอฮ์ที่มีต่อมนุษย์ และดุอาอ์ว่า
وَإِذَا سَأَلَكَ عِبَادِي عَنِّي فَإِنِّي قَرِيبٌ أُجِيبُ دَعْوَةَ الدَّاعِ إِذَا دَعَانِ فَلْيَسْتَجِيبُواْ لِي وَلْيُؤْمِنُواْ بِي لَعَلَّهُمْ يَرْشُدُونَ
“เมื่อปวงบ่าวของข้า ถามเจ้าเกี่ยวกับข้า [จงตอบเถิดว่า] ข้าอยู่ใกล้ชิดยิ่ง ข้าตอบรับคำวิงวอนขอของผู้วิงวอน เมื่อเขาวิงวอนต่อข้า ดังนั้นจงตอบรับคำเชิญชวนของข้า และศรัทธาต่อข้า เพื่อพวกเขาจะได้อยู่ในหนทางที่ถูก”
ถ้าสังเกตโองการจะเห็นว่า ความใกล้ชิดของอัลลอฮ์สมจริงเสมอ เนื่องจากคำตอบที่ปวงบ่าวได้ถามจากท่านศาสดา (ซ็อลฯ) อัลลอฮ์คือผู้ตอบโดยตรง พระองค์มิได้ตรัสแก่ศาสดาว่า เจ้าจงตอบพวกเขาเถิด ทว่าพระองค์ทรงตอบล่วงหน้าศาสดาโดยตรงว่า “ข้าอยู่ใกล้ชิดยิ่ง”
อัลลามะฮ์ เฏาะบาเฏาะบาอีย์ อธิบายความหมายของดุอาอ์ในโองการนี้ไว้ในตัฟซีรอัลมีซาน อย่างลึกซึ้งและงดงามที่สุด โดยกล่าวว่า ประการแรก ที่มาของคำพูดคือ อัลลอฮ์ซึ่งพระองค์ตรัสในฐานะของบุรุษที่หนึ่ง มิใช่บุรุษที่สาม แน่นอนว่า สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความการุณย์พิเศษที่พระองค์ทรงมีต่อประเด็นของดุอาอ์
ประการที่สอง แทนที่พระองค์จะตรัสว่า “เมื่อประชาชนได้ถามเจ้า” แต่พระองค์ทรงเลือกใช้ประโยคว่า “เมื่อปวงบ่าวของข้า” บ่งบอกให้เห็นความการุณย์อันอนันต์ของพระองค์ที่มีต่อปวงบ่าว
ประการที่สาม สื่อกลางในการตอบคำวิงวอนได้ถูกตัดหายไป ซึ่งได้กล่าวตอบโดยไม่มีสื่อกลางว่า “ข้าอยู่ใกล้ชิดยิ่ง” ซึ่งมิได้ตรัสว่า “จงกล่าวเถิดว่า แท้จริงข้า” หรือตรัสว่า “พระองค์ทรงอยู่ใกล้ชิด”
ประการที่สี่ ประโยคดังกล่าวได้เริ่มต้นด้วยคำว่า “อินนะ” แสดงให้เห็นถึงการเน้นย้ำเป็นพิเศษ
ประการที่ห้า ความใกล้ชิดของอัลลอฮ์ได้อธิบายด้วยซิฟัต (ลักษณะนาม) ว่า “เกาะรีบ” มิได้อธิบายด้วยคำที่เป็นกริยา ซึ่งบ่งบอกให้เห็นถึงความใกล้ชิดแต่อย่างใด แน่นอนว่าการกล่าวเช่นนี้เน้นย้ำให้เห็นถึงความเป็นจริงและความต่อเนื่องในความใกล้ชิดของพระองค์ที่มีต่อปวงบ่าว
ประการที่หก การตอบรับดุอาอ์ พระองค์ทรงตรัสด้วยกริยาที่เป็นรูปปัจจุบันกาลที่ว่า “อุญีบุ” บ่งชี้ให้เห็นถึงความต่อเนื่องในการตอบรับดุอาอ์
ประการที่เจ็ด การตอบรับดุอาอ์พระองค์ใช้ประโยคที่เป็นเงื่อนไข (ชัรฏียะฮ์) ที่ว่า “อิซาดะอาน” กล่าวคือ เมื่อเขาวิงวอนต่อข้า ซึ่งเห็นได้ว่าเงื่อนไขดังกล่าวไม่มีประเด็นใดเพิ่มเติมบนประโยคที่กล่าวก่อนหน้านี้ “ดะอ์วะตัดดาอิ” คำวิงวอนขอของผู้วิงวอน ทว่าเสมือนเป็นสิ่งเดียวกน แน่นอนประโยชน์ของเงื่อนไขเหล่านี้บ่งบอกให้เห็นว่า การตอบรับดุอาอ์นั้นมิได้มีเงื่อนไขหรือกฎเกณฑ์แต่อย่างใด ดังเช่นโองการที่กล่าวว่า
وَقَالَ رَبُّكُمُ ادْعُونِي أَسْتَجِبْ لَكُمْ
พระผู้อภิบาลของพวกเจ้าตรัสว่า จงวิงวอนขอต่อข้า เพื่อข้าจะได้ตอบรับพวกเจ้า (10)
ดังนั้นประเด็นทั้ง 7 ประการ ที่กล่าวมานี้บ่งบอกให้เห็นถึงความกรุณาและความการุณย์พิเศษที่อัลลอฮ์(ซบ.) ทรงมีต่อดุอาอ์ พระองค์เน้นย้ำให้เห็นถึงความแน่นอนและความรวดเร็วในการตอบรับดุอาอ์ ซึ่งทั้งหมดเป็นคุณสมบัติของโองการข้างต้น (11)
อัลลอฮ์ (ซบ.) ทรงใกล้ชิดกับปวงบ่าวที่พร้อมหน้ายังพระองค์ ยิ่งกว่าบรรดาผู้ที่อยู่พร้อมหน้าทั้งหลาย เพียงแต่มนุษย์ไม่เข้าใจและรับรู้ไม่ได้ถึงความใกล้ชิดอันเฉพาะพิเศษของพระองค์
وَنَحْنُ أَقْرَبُ إِلَيْهِ مِنكُمْ وَلَكِن لَّا تُبْصِرُونَ
“เราอยู่ใกล้ชิดเขายิ่งกว่าพวกเจ้าแต่ทว่าพวกเจ้ามองไม่เห็น” (12)
อัลลอฮ์ทรงใกล้ชิดกับมนุษย์ยิ่งกว่าเส้นชีวิตที่ลำคอของเขาเสียอีก “เรานั้นใกล้ชิดเขายิ่งกว่าเส้นเลือดชีวิตของเขาเสียอีก” (13)
อัลลอฮ์ทรงใกล้ชิดกับมนุษย์ยิ่งกว่าตัวของเขาเสียอีก การใคร่ครวญถึงความถูกต้องของความใกล้ชิดระดับนี้ หรือความเข้าใจความหมายที่ถูกต้องนั้น สามารถเข้าใจได้จากคำกล่าวของท่านอิมามอะลี (อ.) ที่ว่า “พระองค์ทรงอยู่ ณ ทุกสรรพสิ่ง ชนิดที่ไม่มีวันแยกแยะได้ และทรงออกจากทุกสรรพสิ่งชนิดที่ไม่มีวันใกล้ชิดได้” (14) ตอนอธิบายโองการที่กล่าวว่า “พึงรู้ไว้เถิด แท้จริงอัลลอฮ์ทรงกั้นระหว่างบุคคลกับหัวใจของเขา” (15)
บรรดาผู้แสวงบุญทั้งหลายเมื่อได้ติดตามระดับต่างๆ เหล่านี้แล้ว เขาก็จะไปถึงยังจุดสิ้นสุด ทว่าการรับรู้สิ่งเหล่านี้ เป็นคุณสมบัติของผู้เชื่อมั่นในพระเจ้า บริสุทธิ์ใจ และจริงใจต่อพระองค์
ดังนั้นไม่มีความสงสัยใดๆ ในความใกล้ชิดของอัลลอฮ์ดังนั้นผู้ที่ดุอาอ์ทุกคน เมื่อเริ่มดุอาอ์ให้กล่าว 10 ครั้งว่า “ยาอัลลอฮ์” หลังจากนั้นให้กล่าวว่า “ยาร็อบบี” และสุดท้ายให้กล่าวว่า “ร็อบบี” คำว่า “ยา” ซึ่งในภาษาอาหรับเรียกว่า คำนิดา หมายถึงการส่งเสียงร้องเรียก ซึ่งจากเสียงร้องเรียกจะเปลี่ยนเป็นเสียงกระซิบกระซาบแทน (นัจญฺวา) จาก “มะนาดาต” เปลี่ยนเป็น “มะนาญาต” เนื่องจากมนุษย์นั้นขณะกระซิบกระซาบเขาจะมีความรู้สึกว่าใกล้ชิดยิ่งกว่า และเนื่องจากเขาปรากฏอยู่ ณ เบื้องพระพักตร์ของพระองค์แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องส่งเสียงร้องเรียกอีกต่อไป
ไม่มีสิ่งขวางกั้นระหว่างพระผู้สร้างกับสิ่งถูกสร้าง
ระหว่างปวงบ่าวกับอัลลอฮ์ไม่มีสิ่งกีดขวางใดๆ ทั้งสิ้น นอกจากความเป็นบ่าว วรรคหนึ่งของดุอาอ์อบูฮัมซะฮ์ ษุมาลีย์กล่าวว่า “แท้จริงพระองค์มิได้ปิดกั้นพระองค์ให้ไกลห่างไปจากสิ่งถูกสร้าง เว้นเสียแต่ว่าพวกเขาได้ปิดกั้นตัวเองจากพระองค์ เนื่องด้วยการงานของพวกเขา” (16) แม้ว่าในโลกของวัตถุดูเหมือนว่าจะมีสิ่งกีดกั้นระหว่างพระผู้สร้างกับสิ่งถูกสร้างของพระองค์ แต่ในโลกของจิตวิญญาณแล้ว สิ่งปิดกั้นก็คือสิ่งเดียวกันกับสิ่งถูกปิดกั้น ด้วยเหตุนี้ระหว่างพระผู้สร้างกับสิ่งถูกสร้างจึงไม่มีสิ่งใดขวางกั้น นอกจากความเป็นบ่าวเท่านั้น (17)
ท่านอิมามโคมัยนี (รฎ.) ได้กล่าวถึงบรรดานักแสวงบุญทั้งหลายไว้ในหนังสือศอฮีเฟเยนูร เล่มที่ 20 หน้า 109 ว่า
“บรรดาปากกา คำพูด และนักเขียนทั้งหลายไร้ความสามารถในการพรรณนาถึงการขอบคุณในความโปรดปรานอันอเนกอนันต์ของพระองค์ที่มีต่อประชาโลก พระผู้สร้างผู้ทรงปรากฏรัศมีอันเรืองรองของพระองค์ทั่วทั้งจักรวาล ทำให้โลกแห่งความเร้นลับและเปิดเผย ถูกประดับประดาด้วยความโปรดปรานของพระองค์ สิ่งเหล่านี้ได้มาถึงเราได้ด้วยความสิริมงคลของตัวแทนผู้ถูกเลือกสรรของพระองค์ “อัลลอฮ์คือรัศมีแห่งฟากฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน” (18) พระองค์ทรงประทานคัมภีร์แห่งฟากฟ้าแก่ผู้เป็น เซาะฟียุลลอฮ์ จนถึง เคาะลีลุลลอฮ์ และจากเคาะลีลุลลอฮื จนถึงฮะบีบุลลอฮ์ พระองค์ทรงสั่งสอนแนวทางไปถึงยังความสมบูรณ์ และการบรรลุสู่ความสมบูรณ์แท้จริง ทรงสอนการจาริกจิตวิญญาณเพื่อไปสู่พระองค์ ดังที่กล่าวว่า “จงออกจากเคหะสถานของตนเพื่ออพยพไปสู่อัลลอฮ์”
ในหนังสือ ชัรฮ์ 40 ฮะดีซ ท่านอิมามกล่าวถึงประเด็นนี้ว่า “เงื่อนไขของการบังเกิดการจาริกทางจิตวิญญาณ คือการอพยพออกจากบ้านที่มืดมิดแห่งจิตใจ ออกจากอัตตาตัวตน และออกจากความเห็นแก่ตัว ดังเช่นการเดินทางด้วยความรู้สึกจริง จนกระทั่งมนุษย์ไปถึงสถานภาพอันแท้จริงของตน แม้ว่าเขาเพียงแค่คิดว่าจะเดินทาง ก็ให้พูดว่า ฉันเดินทาง แน่นอนการเดินทางจะไม่เกิดสมจริง (การเดินทางตามหลักชัรอีย์) นอกเสียจากว่าเขาได้ออกจากบ้านแบกสัมภาระของเขาไปด้วย ทำนองเดียวกัน การเดินทางของผู้จาริกทางจิตวิญญาณไปยังอัลลอฮ์หรือการอพยพของความรู้สึกจะไม่มีวันเกิดสมจริง เว้นเสียแต่ว่าเขาได้เดินทางออกจากบ้านที่มืดมิดของจิตใจ”
หนังสือเล่มดังกล่าวหน้า 333-334 ท่านอิมามกล่าวถึงประเด็นดังกล่าวว่า “ตราบที่มนุษย์ยังหลงอยู่ในอำนาจใฝ่ต่ำ เขาก็จะยังคงอยู่ในบ้านแห่งความมืดมิดแห่งจิตวิญญาณตลอดไป ไม่มีการเดินทางไปสู่พระองค์ ทว่าเป็นผู้พำนักอยู่ในแผ่นดินตลอดกาล เนื่องจากก้าวแรกของการเดินทางไปสู่อัลลอฮ์คือละทิ้งความลุ่มหลงแห่งจิตใจ”
ดังนั้น มนุษย์ถ้าคาดหวังว่าจะปลดปล่อยตนเองจากสิ่งขวางกั้น เขาต้องเดินทางออกจากตัวเอง ต้องหลีกห่างจากความต้องการของตนเอง เพื่อจะได้ปรากฏสมจริงตามนัยของโองการที่ว่า “ผู้ที่ออกจากบ้านของเขาไป ในฐานะผู้อพยพไปยังอัลลอฮ์” (19) บุคคลใดไม่เดินทางออกจากตัวเอง เป็นไปได้ที่ความตายอาจพรากเขาให้พ้นจากนรกไปสู่สวรรค์ แต่เขาจะไม่มีวันไปถึงญันนะตุลลิกออ์เด็ดขาด และบุคคลใดถูกช่วยเหลือให้รอดพ้นจากอัตตาตัวตนวิถีอันเร้นลับของพระเจ้าก็จะเปิดขึ้นสำหรับเขา
ฉะนั้นในช่วงเทศกาลฮัจญ์ ขั้นตอนต่างๆ ในการปฏิบัติฮัจญ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งขั้นตอนในทุ่งอาเราะฟาต ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีที่สุดหรือโอกาสทองก็ว่าได้ ที่เขาจะได้ปลดปล่อยตนเองให้หลุดพ้นจากอัตตาตัวตน และอพยพออกจากบ้านของอำนาจใฝ่ต่ำ อัลกุรอานกล่าวอธิบายถึงการอพยพด้านในด้านของสถานที่ว่า เป็นการอพยพออกจากความตกต่ำและความน่ารังเกียจทั้งหลาย “จงหลบหลีกให้ห่างไกลจากสิ่งสกปรกโครก (20) บุคคลที่หนีออกจากความต่ำทรามและความสกปรกโสโครก เขาก็จะรอดพ้นจากความคับแคบทางธรรมชาติ และเมื่อความตายย่างกรายมาถึงเขา อัลลอฮ์ทรงสัญญาว่า พระองค์จะเป็นผู้ตอบแทนรางวัลแก่เขา (21)
สรุป
มนุษย์สามารถดุอาอ์ได้ทุกที่ เนื่องจากไม่ว่าเขาจะหันหน้าไปทางทิศใดก็จะพบอัลลอฮ์ ณ ที่นั่น แต่อิสลามสอนให้รู้ว่าหน้าที่ประการหนึ่งของมนุษย์ คือการแสวงหาสิ่งที่ดีกว่า เมื่ออิสลามสอนว่าบนโลกนี้มีสถานที่มากมายที่ดีสุด เหมาะสมต่อการวิงวอนขอดุอาอ์และอิบาดะฮ์ซึ่งหนึ่งในนั้นคือแผ่นดินอารอฟาต และเมื่ออยู่ ณ แผ่นดินที่ดีที่สุดแล้ว เราก็ควรทำสิ่งที่ดีที่สุดด้วย นั่นคือการดุอาอ์ให้พี่น้องผู้ศรัทธา การวิงวอนขออภัยโทษให้แก่พวกเขาและแก่ตัวเอง
เชิงอรรถ :
(1) บิฮารุลอันวาร, เล่ม 94, หน้า 123-124
(2) อุซูลกาฟีย์, เล่ม 2, หน้า 471
(3) อ้างแล้วเล่มเดิม หน้า 468
(4) มะฟาตีฮุลญินาน, ดุอาอ์โกเมล
(5) อุซูลกาฟีย์, เล่ม 2, หน้า 508, เล่ม 4, หน้า 465
(6) ฮัจญ์ะตุลบัยฎอ, เล่ม 2, หน้า 204
(7) บิฮารุลอันวาร, เล่ม 90, หน้า 300
(8) อุซูลกาฟีย์, เล่ม 2, หน้า 471
(9) วรรคหนึ่งจากดุอาอ์ชะอ์บานียะฮ์
(10) บทฆอฟิร 60
(11) ตัฟซีรมีซาน, เล่ม 2, หน้า 30-31 คัดลอกในเชิงสรุปความ
(12) บทวากิอะฮ์ 85
(13) บทก็อฟ 16
(14) บิฮารุลอันวาร, เล่ม 4, หน้า 27
(15) บทอันฟาล 24
(16) มะฟาตีฮ์ลญินาน, ดุอาอ์ อบูฮัมซะฮ์ ษุมาลีย์
(17) บิฮารุลอันวาร เล่ม 3, หน้า 327
(18) บทนูร 35
(19) บทนิซาอ์ 100
(20) บทมุดัษษิร 5
(21) บทอันอาม 45
บทความโดย เชคมุฮัมมัดชรีฟ เกตุสมบูรณ์
source : alhassanain