ไทยแลนด์
Monday 25th of November 2024
0
نفر 0

ผู้ป่วยแห่งกัรบาลาอฺ (ตอนที่1)

ผู้ป่วยแห่งกัรบาลาอฺ (ตอนที่1) ค่ำคืนที่ 25 ของเดือนมุฮัรรอมุลฮะรอม ซึ่งตรงกับวันแห่งการเป็นชะฮีด (ชะฮาดัต) ของท่านอิมามอะลี บิน ฮุเซ็น ซัยนุลอาบิดีน (อ) ท่านคือ ผู้ที่รอดจากการเป็นชะฮีดที่กัรบาลาอฺ ท่านคือ ผู้พิทักษ์และปกป้องสาส์นเลือด
ผู้ป่วยแห่งกัรบาลาอฺ (ตอนที่1)

ผู้ป่วยแห่งกัรบาลาอฺ (ตอนที่1)

ค่ำคืนที่ 25 ของเดือนมุฮัรรอมุลฮะรอม ซึ่งตรงกับวันแห่งการเป็นชะฮีด (ชะฮาดัต) ของท่านอิมามอะลี บิน ฮุเซ็น ซัยนุลอาบิดีน (อ) ท่านคือ ผู้ที่รอดจากการเป็นชะฮีดที่กัรบาลาอฺ

ท่านคือ ผู้พิทักษ์และปกป้องสาส์นเลือดอันยิ่งใหญ่แห่งกัรบาลาอฺ

ท่านคือ อิมามที่ทำให้อิสลามบริสุทธิ์

ท่านทำให้การปฏิวัติที่กัรบาลาอฺนั้นประสบความสำเร็จ

ท่านไม่ได้ทำให้เรื่องที่กัรบาลาอฺจบลง ณ แผ่นดินกัรบาลาอฺ

ท่านคือ ผู้รักษาสาส์นเลือดและสาส์นแห่งหยดน้ำตาของบรรดาอัศฮาบและลูกหลานและท่านคือ ผู้ที่ต้องอยู่หลังจากเหตุการณ์อันเลวร้ายที่สุดเหตุการณ์หนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์อิสลาม เพื่อสืบทอดสาส์นและแสดงบทบาทอันยิ่งใหญ่ในการพิทักษ์ศาสนา อันบริสุทธิ์ให้คงอยู่จนถึงวันนี้

 

สถานการณ์ในวันที่อิมามซัยนุลอาบีดีน ขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นอิมาม

 

เราจะรู้จักท่านอิมามซัยนุลอาบีดีน(อ) ได้อย่างดีก็ต่อเมื่อเรารู้จักและเข้าใจสถานการณ์ในวันนั้น ในเวลานั้น และสถานการณ์ที่ท่านอิมามขึ้นดำรง ตำแหน่งอิมามัต ซึ่งพวกเราทุกคนก็รู้เป็นอย่างดีว่าท่านอิมามซัยนุลอาบีดีน(อ)    รับตำแหน่งอิมามัตในวันอาชูรอ ท่านดำรงตำแหน่งอิมามอย่างสมบูรณ์แบบหลังจากที่ท่านอิมามฮุเซ็น(อ)ได้ถูกบั่นศีรษะลง นี่คือสถานการณ์ของการดำรง ตำแหน่งอิมามัตของท่านในวันแรก นอกจากนั้นเราก็จะต้องรู้ถึงสถานการณ์ทั่วไปในแผ่นดินอิสลามในวันนั้นด้วย เนื่องจากว่า เราจะรู้ถึงความยิ่งใหญ่

 

รู้ในบทบาทที่สำคัญของท่านอิมามซัยนุลอาบีดีน(อ)ได้นั้น หากปราศจากความเข้าใจสถานการณ์ในวันนั้นแล้ว เราก็จะไม่มีวันรู้จักท่านอิมามซัยนุลอาบีดีน(อ)ได้อย่างสมบูรณ์

 

ท่านมิได้เป็นอิมามแห่งบทดุอาอฺ ดั่งที่พวกเราทุกคนเข้าใจ ซึ่งบทดุอาอฺและอิบาดัตเป็นเพียงหนึ่งในวิธีการต่างๆ ที่ท่าน อิมาม(อ)ได้นำมาใช้ในการพิทักษ์อิสลามอันบริสุทธิ์ให้คงอยู่สืบไป

 

การดำรงตำแหน่งอิมามหลังจากเหตุการณ์ในวันอาชูรอ หลังจากเหตุการณ์ในแผ่นดินกัรบาลาอฺ ถือเป็นภารกิจที่หนักหน่วงและยิ่งใหญ่ เป็นอย่างมาก ในวันที่ประชาชาติอิสลามตกอยู่ในสภาวะที่ขวัญกระเจิง บนีอุมัยยะฮฺ(ลน.)ได้ไปถึงจุดสูงสุดของอำนาจที่สามารถจะก่อทุกอาชญากรรมอย่างเปิดเผย โดยที่ไม่ต้องเกรงกลัวสายตาของประชาชาติอิสลามอีกต่อไป จะไม่มีอาชญากรรมใดๆที่ยิ่งใหญ่และโหดร้ายเท่ากับการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ลูกหลานของท่านรอซูลุลลอฮฺ(ศ)ต่อหน้าประชาชาติอิสลาม ถึงแม้จะมีอาชญากรรมอื่นๆที่ได้ก่อไปแล้วอย่างมากมาย แต่ในยุคนั้นมีการฝ่าฝืนบทบัญญัติของศาสนาในทุกรูปแบบ แต่ทว่าทั้งหมดเหล่านี้นั้น การก่ออาชญากรรมที่กัรบาลาอฺก็ยังถือเป็นอาชญากรรมที่ยิ่งใหญ่และท้าทายความศรัทธาของประชาชาติอิสลามในยุคนั้นเป็นอย่างมาก เหตุผลหนึ่งที่บนีอุมัยยะฮฺกล้าสร้างและกล้าทำอาชญากรรม ก็เพราะว่าในวันนั้นพวกเขาได้ไปถึงจุดสูงสุดในอำนาจ ซึ่งไม่มีความเกรงกลัวอะไรใดๆอีกต่อไป และเมื่ออาชญากรรมอันนั้นได้ถูกสร้างขึ้น ก็ได้สร้างความหวาดกลัวให้กับมวลมุสลิมทั่วอาณาจักรอิสลาม เพราะถ้าอาชญากรรมในรูปลักษณะนี้สามารถทำได้กับวงศ์วานของท่านรอซูลุลลอฮฺ(ศ)แล้ว ก็จะไม่มีใครสามารถรอดจากคมดาบของบนีอุมัยยะฮฺได้อย่างแน่นอน

 

ท่านอิมาม(อ)รอดชีวิตได้ เนื่องจากพระประสงค์พิเศษของอัลลอฮฺ(ซบ)

 

การที่เราเรียกว่า “วงศ์วาน” นั้น คือวงศ์วานโดยตรงของท่านรอซูลุลลอฮฺ (ศ) ที่สืบเชื้อสายมาจากท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ   อัซซะฮฺรอ (ซ) เหตุการณ์ในกัรบาลาอฺ ลูกหลานของท่านหญิงฟาฏิมะฮฺเกือบจะไม่มีใครหลงเหลืออยู่ ถ้าเอกองค์อัลลอฮ (ซบ) ไม่มีอิรอดัตพิเศษ (ความประสงค์พิเศษ) แล้ว ท่านอิมามซัยนุลอาบีดีน (อ)ก็ไม่รอดเช่นกัน แต่เพราะมี ‘อิรอดัต คอส’ ท่านอิมามซัยนุลอาบีดีน(อ)จึงมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อสืบสานอุดมการณ์แห่งกัรบาลาอฺ เนื่องจากไม่มีใครที่จะสามารถสืบสานเหตุการณ์กัรบาลาอฺได้นอกจากอิมามมะอฺศูมเพียงเท่านั้น

 

ในวันนั้นมุสลิมจำนวนมาก หรือ เราแทบจะกล่าวได้ว่าเกือบทั้งหมด พร้อมที่จะละทิ้งดีนของท่านนบีมุฮัมมัด(ศ) พวกเขาพร้อมที่จะนับถือศาสนาอิสลามฉบับใหม่ที่บนีอุมัยยะฮฺได้สร้างขึ้นมา ด้วยเหตุผลสองประการดังนี้

 

1. กลัวในคมดาบของบนีอุมัยยะฮฺ ซึ่งได้พิสูจน์มาแล้วว่า แม้แต่ลูกหลานของนบีก็ไม่อาจรอดพ้นจากคมดาบอันนี้

2. หลงใหลในถุงเงินและถุงทองของบนีอุมัยยะฮฺ ที่พร้อมจะมอบให้กับทุกคนที่ยอมสวามิภักดิ์ต่อการปกครองของพวกเขา ยอมรับศาสนาใหม่ที่บนี อุมัยยะฮฺได้เขียนและได้บัญญัติขึ้นใหม่ โดยที่พวกเขาได้บิดเบือนและเปลี่ยนแปลงหลักคำสอนอันบริสุทธิ์ของท่านศาสดา (ศ) ซึ่งเราเกือบจะไม่ต้องเอ่ยรายละเอียดใดๆอีกแล้ว เพียงแค่เรื่องเดียวก็สามารถพิสูจน์ได้หมดทุกเรื่อง

 

พวกเราในวันนี้ ซึ่งห่างไกลจากคำสั่งสอนของท่านนบีโดยตรงนับพันๆปี ยังรู้ ยังยอมรับ ยังเข้าใจ ยังเชื่อในความประเสริฐของบรรดาอะฮฺลุลบัยตฺ(อ) ยังเชื่อในความประเสริฐของท่านอิมามอะลี อิบนิ อบี ฏอเล็บ แต่ในวันนั้นบนีอุมัยยะฮฺ(ลน.) สามารถเปลี่ยนแปลงคำสั่งของศาสนา ไปถึงขั้นที่ว่า ผู้ประเสริฐสุด ทั้งๆที่อัลกุรอานและฮะดิษยกย่องสรรเสริญพวกเขาแล้วนั้น กลับกลายเป็นผู้ถูกสาปแช่ง และเป็นการสาปแช่งในนามของศาสนา

 

เราขอยกเป็นกรณีตัวอย่างเพื่อให้พี่น้องจะได้มั่นใจว่า การบิดเบือนทางศาสนานั้นมีอยู่จริงและไปถึงขั้นที่สามารถให้มันกลายเป็นอากีดะฮฺ(หลักความเชื่อ)หนึ่งของศาสนา เป็นหนึ่งในอากีดะฮฺที่สำคัญของอัลอิสลาม แต่เป็นอิสลามของบนีอุมัยยะฮฺ และสำหรับเรื่องนี้เรื่องเดียว ก็มีเรื่องราวและรายละเอียดต่างๆอย่างมากมาย

 

ความเป็นมาของมัสยิด ลิอาน

 

การสาปแช่งอะฮฺลุลบัยตฺ โดยเฉพาะท่านอิมามอะลี(อ) ถือว่าในยุคนั้น ก็สามารถที่จะเรียกได้ ว่า เป็นรูกุนหนึ่งของศาสนา เป็นรูกุนหนึ่งของการทำนมาซ และเป็นรุกุนหนึ่งของการนมาซวันศุกร์ จนถึงขั้นที่ว่าประชาชนถูกมอมเมาด้วยสิ่งต่างๆเหล่านี้ และกลายเป็นอากีดะฮฺที่หนักแน่นถึงขั้นที่ว่า ในการนมาซวันศุกร์ครั้งหนึ่ง อิมามวันศุกร์ในกรุงดามัสกัส ขึ้นอ่านคุตบะฮฺ แล้วลืมทำการสาปแช่งท่านอิมามอะลี(อ)ในคุตบะฮฺ เมื่ออิมามออกจากมัสยิดก็ถูกห้อมล้อมโดยผู้คน อิมามก็พยายามจะเดินหนีแต่ก็ถูกห้อมล้อมหนักขึ้นไปอีก จนกระทั่งอิมามได้ถามว่า พวกท่านมาล้อมฉันทำไม? ประชาชนที่มาห้อมล้อมและพร้อมที่จะทำร้ายก็ตอบว่า ในคุตบะฮฺวันศุกร์ ท่านได้ละทิ้งสิ่งสำคัญอันหนึ่ง อิมามได้ถามว่า ฉันละทิ้งอะไรหรือ ? ฉันได้ปฏิบัติตามรุกุนของการอ่าน คุตบะฮ์วันศุกร์ครบหมดแล้ว พวกเขาก็ตอบว่า ท่านลืมสาปแช่งอะลี(อ) (สิ่งนี้ถือเป็นอาชญากรรมที่ยิ่งใหญ่ที่เราไม่อาจให้อภัยได้) จากนั้น พวกเขาถามว่า ท่านเป็นพวกของอาลาวีย์ไปแล้วหรือ (พวกอาลาวีย์ หมายถึง พวกอะลี หรือเป็นชีอะฮฺของอะลี) ? ด้วยความตกใจในข้อหานี้ อิมามจึงตอบไปว่า ฉันผิดไปแล้วฉันขอสาปแช่งตรงนี้ได้ไหม ? และอิมามก็ได้ทำการสาปแช่งท่านอิมามอะลี(อ) ในจุดที่เขายืนอยู่ และแล้วในที่สุดก็เป็นที่พอใจสำหรับพวกเขา แต่สิ่งที่น่ารันทดใจยิ่งไปกว่านั้น คือ สถานที่ที่เขายืนสาปแช่งในวันนั้น ได้มีการสร้างมัสยิดหลังหนึ่งขึ้นมา และได้ตั้งชื่อมัสยิดแห่งนั้น ว่า มัสยิดุลลิอาน(มัสยิดแห่งการสาปแช่ง )

 

นี่คือหนึ่งตัวอย่างของสภาวะในวันนั้น ถ้าเราจะเรียกว่า สภาวะในอาณาจักรอิสลามในวันนั้นตกอยู่ในสภาพนี้ก็ว่าได้      ดังนั้นเมื่อเราบอกว่า ศาสนาได้ถูกบิดเบือนโดยบนีอุมัยยะฮฺ ก็ไม่ต้องคลางแคลงสงสัยใดๆอีก ทุกตำราในประวัติศาสตร์ก็ได้ยืนยัน แม้แต่ตำราของอะฮฺลิลซุนนะฮฺเองก็บ่งชี้ว่า มีการสาปแช่งนานถึง 60-70 ปี อันเป็นการการสาปแช่งอย่างเมามัน แต่จริงๆแล้วอีกหลายๆเมืองก็ยังคงมีการสาปแช่งเป็นเวลานับร้อยปี ทำให้การสาปแช่งท่าน อิมามอะลี (อ) กลายเป็นซิกรฺ และดุอาอฺที่สำคัญหลังนมาซประจำวันและนมาซวันศุกร์โดยปริยาย

 

สภาวะเหล่านี้เกิดขึ้นในเมืองชาม(ดามัสกัส) ในแผ่นดินและอาณาจักรโดยตรง ส่วนสภาวะอื่นๆที่เกิดขึ้นในแผ่นดินอื่นๆนั้น แม้แต่ในเมืองมะดีนะฮฺเองก็ตกอยู่ในสภาวะเช่นนี้ คนที่ไม่เห็นด้วยก็จะต้องปิดปากเงียบเพราะกลัวใน คมดาบ ส่วนคนที่หลงใหลในถุงเงินถุงทองก็ประกาศอย่างชัดเจนว่าอยู่ฝ่ายบนีอุมัยยะฮฺ

 

 

ปาฐกถา เนื่องวันคล้าย วันชะฮาดัตของท่านอิมาม ซัจญาด(อ)    เมื่อวันเสาร์ ที่ 7 พฤศจิกายน 2558   ณ มัสยิด รูฮุลลอฮฺ นครศรีธรรมราช   (บรรยายโดย ฮุจญตุลอิสลามวัลมุสลีมีน ซัยยิด สุไลมาน ฮูซัยนี)


source : alhassanain
0
0% (نفر 0)
 
نظر شما در مورد این مطلب ؟
 
امتیاز شما به این مطلب ؟
اشتراک گذاری در شبکه های اجتماعی:

latest article

อะฮฺลุลบัยตฺ (อ.) ในอัล-กุรอาน
อัลกุรอาน คัมภีร์แห่งทางนำ
...
คุณลักษณะของมนุษย์ผู้สมบูรณ์
...
การเป็นศาสดาคนสุดท้ายของโลก
ความโลภคือรากของความชั่วร้าย
...
...
ทำไมอิสลามห้ามดื่มสุรา

 
user comment