บรรดาศาสดา แบบฉบับการรำลึกกัรบาลา และอาชูรอ
และเมื่อถูกถามว่า ทำไมทุกศาสดาต้องเกี่ยวข้องกับซิกร์อันนี้ด้วย?
คำตอบก็คือ เพราะอะฮ์ลุลบัยต์ (อ”) มีเรื่องพิเศษอยู่ประการหนึ่ง กล่าวคือเมื่อริวายะฮ์ (รายงาน) กล่าวถึง ‘อะฮ์ลุลบัยต์ (อ.)’ ส่วนมากก็จะหมายถึง ‘ปัญจตัน’ เป็นการกล่าวถึงอะฮ์ลุลบัยต์ (อ.) ในลักษณะภาพรวม ทว่าสำหรับทุกศาสดา จะมีการบ่งชี้จำเพาะไปยังบุคคลลักษณะเฉพาะบุคคลหนึ่ง ที่จะถูกดึงมาให้รู้จักเป็น ‘พิเศษ’ ทุกๆ ครั้ง
ในลักษณะใดหรือ?
คำตอบคือ เมื่อท่านศาสดาอาดัม (อ.) เข้าใกล้ต้นไม้ต้องห้าม อัลลอฮ์ (ซบ.) ก็ได้ตัดความสัมพันธ์กับท่านศาสดาอาดัม (อ) และศาสดาอาดัม (อ) ได้เฝ้าวอนขอ บางรายงานบอกว่า หลายปี คนที่เคยติดต่อกับอัลลอฮ์ (ซบ.) แต่กลับมาถูกตัดขาดหลายปี ต้องทุกข์ตรม ทุกข์ทรมานขนาดไหน?? จนกระทั่งถูกดลใจว่า ถ้าจะให้อัลลอฮ์ (ซบ.) เชื่อมสัมพันธ์อีกครั้งหนึ่ง ให้ขอด้วย ‘พระนามทั้งห้า’ อันนี้
يا حميد بحقّ محمّد و يا عالي بحقّ علي و يا فاطر بحقّ فاطمه و يا محسن بحقّ الحسن و يا قديم الاحسان بحقّ الحسين
“ยา ฮะมีดู บิฮักกี มุฮัมมัด , ,ยา อะลียู บิฮักกี อะลี ,ยา ฟาฏีรู บิฮักกี ฟาติมะฮ์, ยา มุฮ์ซินู บิฮักกี ฮะซัน , ยา เกาะดีมุลอิฮ์ซาน บิฮักกี ฮุเซน”
ความหมาย “โอ้ผู้ทรงได้รับการสรรเสริญ ด้วยสิทธิของมุฮัมมัด โอ้ผู้ทรงสูงส่ง ด้วยสิทธิของอาลี โอ้ผู้ทรงเนรมิตรสรรพสิ่ง ด้วยสิทธิของฟาติมะฮ์ โอ้ผู้ทรงประทานความดีงามอย่างล้นเหลือ ด้วยสิทธิของฮาซัน โอ้ผู้ทรงประทานความดีงามอย่างล้นเหลือมาแต่ดั้งเดิม ด้วยสิทธิของฮูเซน”
ทันที ที่ท่านศาสดาอาดัม (อ.) ขอ ‘ชะฟาอัต’ (อ้อนวอนขอ) ด้วยสิทธิของ ‘ปัญจตัน’ พระองค์อัลลอฮ์ (ซบ.) ก็ได้เชื่อมสัมพันธ์กับศาสดาอาดัม (อ.) อีกครั้งหนึ่ง และเมื่อนั้นการสนทนาจึงเกิดขึ้น ศาสดาอาดัม (อ.) เกิดความสงสัยในประการหนึ่งขึ้นมา จึงทูลถามว่า “โอ้พระผู้อภิบาล เมื่อฉันขออภัยด้วยนามอันยิ่งใหญ่ทั้งห้านามนี้ ฉันมีความสงสัยเป็นอย่างมาก ทำไมเมื่อถึงนามลำดับที่ห้า จิตใจของฉันจึงได้สั่นสะท้าน ประหนึ่งความเศร้าทั้งปวงได้เกาะกินจิตใจของฉัน?? “อัลลอฮ์ (ซบ.) จึงอธิบายให้ศาสดาอาดัม (อ.) ฟังว่า เมื่อเอ่ยชื่อของฮุเซน ทำไมจึงเป็นเช่นนี้?
โศกนาฏกรรมแห่งกัรบาลา จึงถูกกล่าวและอธิบายแก่ศาสดาอาดัม (อ.) ในครั้งนั้น !! ศาสดานุฮ (อ.) เมื่อเรือใกล้จะจม ท่านได้ถูกดล ให้เขียนนามทั้งห้า เพื่อให้รอดพ้น เมื่อเขียนนามแต่ละนาม และตะวัซซุล (ขอความช่วยเหลือ) กับแต่ละชื่อนั้น เมื่อเขียนถึงชื่อ อิมามฮุเซน (อ.) ซึ่งเป็นนามลำดับที่ห้า เลือดได้ไหลออกมาที่ชื่อนั้น ศาสดานุฮ์ (อ.) จึงถามพระองค์อัลลอฮ์ (ซบ.)โศกนาฏกรรมแห่งกัรบาลา จึงถูกเล่าให้ศาสดานุฮ์ (อ) ฟัง !!เป้าหมายของเรา คือทุกครั้งที่รำลึกถึงอะฮ์ลุลบัยต์ (อ.) จะมี ‘ลักษณะเฉพาะ’ ชี้ไปยังบุคคลนี้เสมอ และเกิดขึ้นกับทุกศาสดา !!
ยุคสมัยก่อนหน้านี้ บุคคลที่ได้รับเตาฟิก (ทางนำ) คือบรรดาอัมบิยาอ์ เอาศิยาอ์ และเอาลิยาอ์เท่านั้น ในประชาชาติของศาสดาอื่นๆ คือคนกลุ่มนี้เท่านั้น เพราะ ไม่มีใคร เข้าถึง ซิกรอันนี้ ซึ่งเป็นซิกร์อันยิ่งใหญ่อย่างมากดังนั้น เราจะต้องขอบคุณแล้วขอบคุณเล่าว่า อัลลอฮ์ (ซบ.) ทรงโปรดปรานเรามากสักเพียงไหน
ความสำคัญของการรำลึก คือ อะฮ์ลุลบัยต์ (อ.) และที่จะต้องจำเพาะ เจาะจง คือ การรำลึกไปยังท่านอิมามฮุเซน (อ.)สำหรับทุกๆ ศาสดา การหลั่งน้ำตาเป็นหนึ่งในวิธีการรำลึก บางศาสดา เหตุการณ์ชนิดนี้เกิดขึ้นหลายต่อหลายครั้ง ทว่าการรำลึกของศาสดานั้นจะต้องเข้มข้นกว่าผู้อื่น ดังนั้นจึงมีริวายัต (รายงาน) อีกหมวดหมู่หนึ่งที่ชี้ถึงการรำลึก โดยจะต้อง ‘หลั่งเลือด’นั่นคือเรื่องราวของท่านศาสดามูซา (อ.) เมื่อเดินทางถึงกัรบาลา ร้องเท้าของท่านขาดและหลุด ท่านได้เหยียบ ‘หนาม’ ทันที สิ่งเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้น ถ้ามันเกิดขึ้นแสดงว่า ต้องมีเหตุผล !!
เป็นเกร็ดความรู้สำหรับเราว่า ถ้าสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นกับเรา เราจะต้องพิจาณาก่อนว่าเราทำอะไรผิด ซึ่ง อุละมาอ์ (นักการศาสนา) สาย ‘อัคลาค’ (จริยศาสตร์) สอนไว้ แต่ถ้าตรวจดูแล้ว ไม่น่าจะมีอะไรผิด ก็คงมีเหตุผลอื่นซึ่งเราอาจจะรู้ได้ภายหลัง เช่น วันหนึ่ง พวกเรานักเรียนศาสนาได้เข้าหา ท่าน ‘อะยาตุลเลาะฮ์ บะฮ์ญัต’ ผู้เป็น ‘วลียุลเลาะฮ์’ วันหนึ่งรองเท้าท่านหายไป ท่านมีอาการตกใจ เป็นอย่างมาก เราสงสัยว่าทำไมท่านมีอาการเช่นนี้ จึงไปถามอาจารย์ จึงได้รับคำตอบว่า บุคคลแบบนี้ ได้รับความคุ้มครองจากอัลลอฮ์ (ซบ.) รองเท้าข้างหนึ่งก็ไม่หายไป ท่านจึงแสดงอาการตกใจเช่นนี้
ท่านศาสดามูซา (อ.) จึงถามอัลลอฮ์ (ซบ.) ว่า ทำไมจึงเกิดเหตุเช่นนี้ ?? พระองค์จึงอธิบายว่า “วันหนึ่งลูกหลานของมุฮัมมัด (ซล.) จะถูกหลั่งเลือดที่นี่ ฉันต้องการเอาเลือดของเจ้า เพื่อวันหนึ่งเลือดของเจ้าจะได้ร่วมกับเลือดของฮุเซน”
ศาสดาอาดัม (อ.) ก็เช่นนี้ หกล้มหัวกระแทกพื้นจนเลือดไหลออกมา ณ แผ่นดินกัรบาลา และได้รับคำตอบว่า ให้สัตยาบันร่วมกันหลั่งเลือดไปกับเลือดของฮูเซน ศาสดาอิบรอฮีม (อ.) และศาสดาอื่นๆ ก็เป็นเช่นนี้ ทุกๆ ศาสดาได้รับคำตอบเดียวกัน คือ
فـسال دمك موافـقة لدمه หมายถึง “เลือดของเจ้า (ศาสดา) ถูกหลั่งออกมาเพื่อสัตยาบันกับเลือดของเขา (ฮุเซน)”
เราบางครั้งไม่สามารถเข้าใจได้ว่า เรื่องของอะฮ์ลุลบัยต์ (อ.) เป็นเรื่องที่อะลัม (โลก) ทุกสรรพสิ่งจะต้องรำลึกถึงเรื่องนี้ และบรรดามัคลูก (สิ่งถูกสร้าง) ทั้งหมดเช่นกัน วันหนึ่งศาสดาชุอัยบ์ (อ.) ต้อนฝูงแกะไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง และฝูงแกะนั้นไม่ยอมดื่มน้ำ ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่กินดื่ม ศาสดาชุอัยบ์ (อ.) จึงยกมือดุอาอ์ (ขอพร) แล้วอัลลอฮ์ (ซบ.) จึงให้ฝูงแกะเหล่านั้นพูดว่า โอ้ชุอัยบ์เอ๋ย! เราจะดื่มได้อย่างไร ในเมื่อแผ่นดินนี้ ลูกหลานของศาสดาจะต้องถูกหลั่งเลือด โดยไม่ได้ดื่มน้ำ นี่คือตัวอย่าง ของ ‘ซิกรุลลิลอาละมีน’
ทำไม ศาสดา และวะศีย์จำนวนมากได้ทำการพลี? ประวัติศาสตร์ยืนยันในเรื่องนี้ เช่น บนีอิสราเอล ได้ฆ่าศาสดาเป็นจำนวนมาก ศาสดาจำนวนมากได้พลี และนี่คือเหตุผลว่าทำไมวีรกรรมแห่งกัรบาลา จึงถูกเลือกให้ทุกๆ ศาสดาต้องรับรู้ เหตุเพราะ จะไม่มีการพลีใดๆ ที่จะสูงสุดเทียมเท่าแบบฉบับแห่ง ‘อาชูรอ’ อีกแล้วนั่นคือ ปรมัตถ์แห่งการพลี !! ภายหลังจากนี้ จะไม่มีการพลีใดที่ยิ่งใหญ่กว่าอีกแล้ว !!
และหากมีวีรกรรมใดๆ หลังจากนี้ ที่เหมือนกับอาชูรอ นั่นก็คือการเลียนแบบ และจะไม่สำเร็จเหมือนอาชูรอเมื่อใดที่มนุษย์ ได้เรียนรู้วีรกรรมแห่งกัรบาลาอย่างสมบูรณ์แบบ ความสำเร็จก็จะเกิดขึ้น บนีอุมัยยะฮ์ สร้างรัฐขึ้นมา กว่าจะเข้มแข็งได้ ใช้เวลากว่า 80 ปี แต่ วีรกรรมกัรบาลา ได้ทำให้หลังจากนั้นไม่กี่เดือนอาณาจักรอุมัยยะฮ์ก็สั่นสะเทือน และล่มสลายลงในเวลาต่อมา
บรรดาศาสดาที่ได้รับพลังแห่งการพลี เพราะเขาได้เรียนรู้แบบฉบับแห่งกัรบาลา ก่อนแล้ว พวกเรามีบุญ เพราะก่อนหน้านี้ บุคคลระดับอัมบิยาอ์ เอาลิยาอ์ และเอาศิยาอ์เท่านั้น ที่จะได้รู้ และในยุคของศาสดามุฮัมมัด (ซล.) ก็เพียงบุคคลเฉพาะเท่านั้น ท่านนบีมุฮัมมัด (ซล.) ไว้ทุกข์ ท่านอิมามอะลี (อ) ไว้ทุกข์ ท่านหญิงฟาติมะฮ์ (อ) ไว้ทุกข์ ท่านอิมามฮะซัน (อ) ไว้ทุกข์ไว้อาลัย ก่อนเหตุการณ์จะเกิดขึ้น ท่านอิมามฮะซัน (อ.) เป็นเจ้า ของ คำพูดที่ได้กล่าวว่า
لايَومَ كَيَومِكَ يااباعَبدِاللّه “ไม่มีวันใด จะเหมือนกับวันของเจ้า โอ้อะบาอับดิลละฮ์”
อิมามฮะซัน (อ.) ถูกวางยาพิษ จนตับออกมากลายเป็นเลือด ซึ่งท่านอิมามฮะซัน (อ.) ไม่ต้องการให้ท่านหญิงซัยนับ (อ.) ได้เห็น แต่อิมามฮุเซน (อ.) ได้เห็น สภาพของพี่ชายในยามที่เจ็บปวด อิมามฮะซัน (อ.) จึงบอกว่า ไม่ต้องร้องไห้ เพราะไม่มีวันไหนที่จะโศกเศร้าและเจ็บปวดเหมือนกับวันของเจ้าแล้ว “ไม่มีวันใด จะเหมือนกับวันของเจ้า โอ้อะบาอับดิลละฮ์” เจ้าของโวหารอันนี้ ก็คืออิมามฮะซัน (อ.) ทุกมะอ์ศูม (อ.) รู้ถึงรายละเอียดอันนี้ ท่านหญิงฟาติมะฮ์ (อ.) ก็รู้ทุกรายละเอียด จึงได้มีคำสั่งเสียต่างๆ เช่น ท่านหญิง (อ.) ได้สั่งเสียกับท่านหญิงซัยนับ (อ.) ว่า “เมื่อฮุเซนมาขอเสื้อตัวนี้ ฝากจูบไปที่คอของฮุเซนนลูกของฉันด้วย”
ท่านศาสดามุฮัมมัด (ซล.) ก็รู้รายละเอียด ถึงขั้นว่า วันหนึ่งศาสดาจูบแก้มข้างขวา ข้างซ้าย ก็ยังดูเป็นธรรมดา จูบไปที่คอ ก็ยังดูธรรมดา ศาสดาจูบหน้า อก ก็ยัง ธรรมดา ศาสดาจูบไปที่ไหล่ ท้อง เท้า หลัง และทุกส่วน ยังร่างของอะบาอับดิลละฮ์ แล้วในวัน ‘อาชูรอ’ รอยจูบของนบีมุฮัมมัด (ซล.) ก็ได้ถูกพิสูจน์ !! อะอิมมะฮ์ (อ.) (บรรดาอิมาม) ได้อธิบายว่า ทำไมศาสดาจึงจูบแบบนั้น?? ทุกรอยจูบ คือ รอยของธนู…หอก… และ …ดาบ… ศาสดาจูบที่สีข้าง และรอยจูบอันนั้น ก็คือ …รอยบดขยี้ของม้า… ทุกรอยจูบ…ถูกเฉลยที่…กัรบาลา !! ถูกเฉลยในวัน…อาชูรอ !!
จากหนังสือ ปรมัตถ์แห่งการพลี สดุดีอาชูรอ โดยฮุจญตุลอิสลาม ซัยยิดสุไลมาน ฮุซัยนี