มัจญฺลิส “อาชูรอ” กับ “การเมืองระดับโลก”
ดร.ไมเคิล แบรนด์ต (Michael Brandt ) เจ้าของหนังสือ มุอามะเราะตุต –ตัฟรีก บัยนัลอัดยานิล อิลาฮียะฮ์ เจ้าหน้าที่อบรมสายลับ C.I.A กล่าวว่า : “ประเทศมุสลิมตกอยู่ภายใต้การปกครองของชาวตะวันตกมาหลายศตวรรษ ทั้งๆที่มุสลิมหลายประเทศได้รับเอกราชไปแล้วก็ตาม แต่ระบบการปกครองและเศรษฐกิจของมุสลิม โดยเฉพาะวัฒนธรรมของพวกเขายังตกอยู่ภายใต้ชาวตะวันตกและนิยมชมชอบไปตามกัน”
การที่จะบิดเบือนความเข้าใจเหล่านี้ให้สำเร็จลงได้ ก็ต้องแสดงให้มุสลิม(ทั้งชีอะฮ์/ซุนนี่)และชนต่างศาสนิกได้เห็นว่า พวกชีอะฮ์ คือกลุ่มชนญาเฮลโง่เขลาและชักนำไปสู่ความงมงาย และสิ่งนี้จะต้องผ่านขบวนการสนับสนุนทางทรัพย์สินแก่คนบางคนด้วยเช่น พวกคอเต็บ(นักบรรยาย) มัดดาฮีน(นักอ่านกลอน) เจ้าของมูลนิธิ(มุอัสสะซะฮ์)หัวหน้าของมัจลิสอาชูรอเพราะ ในหมู่คนเหล่านี้ มีพวกแสวงหาผลประโยชน์และพวกที่ชอบโอ้อวดรวมอยู่ด้วย
แผนขั้นที่สอง ต้องพยายามรวบรวมและจัดเตรียมสิ่งต่างๆ ที่จะทำให้มัรญิ๊อ์ตักลีดตกอับหมดสภาพ และต้องพยายามเผยแพร่สิ่งนั้น ด้วยคำพูดและบทความของนักเขียนที่หาผลประโยชน์
หนึ่งจากอุปสรรคต่างๆที่ควรใส่ใจและให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่งคือ
ปัญหาเรื่องษะกอฟะฮ์อาชูรอ(ประเพณีและวัฒนธรรมการจัดมัจลิสอาชูรอ) และความพร้อมที่จะญิฮาดในหนทางของอัลลอฮ์ ซึ่งษะกาฟะฮ์ชะฮีด(ประเพณีการพลีชีพ)นี้ยังดำรงอยู่กับมุสลิมมัซฮับชีอะฮ์ จากการจัดมัจลิสอาชูรอเป็นประจำในทุกๆปี
เราจำเป็นต้องใช้แผนของอังกฤษคือ “ แบ่งแยก แล้ว ปิดกั้น” กับพวกชีอะฮ์ จากนั้นเราจึงเริ่มวางแผนและจัดโปรแกรมอย่างละเอียดให้ครอบคลุมในระยะยาวด้วย ซึ่งหนึ่งในแผนที่วางไว้ คือ
– ให้การสนับสนุนกลุ่มที่ต่อต้านพวกชีอะฮ์
– พยายามโปรโมท์แพร่คำพูดที่ว่า “ ชีอะฮ์คือกาเฟ็ร “ โดยอาศัยคำฟัตวาจากอุละมาอ์ซุนนี่ และให้คนในมัซฮับนั้นๆทำญิฮาดต่อต้านชีอะฮ์
– พยายามทำให้มัรเญีอฺและอุละมาอ์ชีอะฮ์เสื่อมเสียชื่อเสียง ด้วยสื่อการเผยแพร่ต่างๆ เพื่อประชาชนจะได้เสื่อมศรัทธาและอิทธิของพวกเขาจะได้หมดไป
ทั้งหมดนี้คืองานวิจัยของเราในเรื่องราวของชีอะฮ์และนำพาเราไปสู่ผลลัพธ์ที่ว่า เราไม่อาจสู้รบปรบมือกับชีอะฮ์แบบซึ่งๆหน้าได้ ไม่ว่าจะในรูปแบบใดก็ตาม เพราะการทำให้พวกชีอะฮ์ได้รับความพ่ายแพ้นับได้ว่าเป็นเรื่องค่อนข้างยาก แต่เราควรจัดการกับพวกเขาจากทางด้านหลังม่าน ( คือใช้วิธีแบบสกปรก )
ด้วยเหตุนี้เราจึงต้องกำหนดนโยบายว่า
-จำเป็นต้องทำให้อะกีดะฮ์ชีอะฮ์อ่อนแอและเสียหาย
-จำเป็นต้องทำให้มุสลิมถือว่า ค่านิยมในการพลีชีพเป็นชะฮีดในหนทางของอัลลอฮ์นั้นเป็นเรื่องคูรอฟะฮ์ (ไร้สาระบ้าคลั่ง)และตะค็อลลุ๊ฟ (ล้าหลัง)
ที่ประเทศอิหร่าน กษัตริย์ชาฮ์สมุนรับใช้อเมริกาถูกโค่นล้มลงโดยอิหม่ามโคมัยนี และพวกอังกฤษต้องพบกับความล้มเหลวต่อคำฟัตวาของอยาตุลเลาะฮ์ชีรอซี่
ที่ประเทศอิรัก ซัดดัม ฮุสเซนไม่สามารถใช้กำลังบังคับเฮาซะฮ์ในเมืองนะญัฟให้ยอมจำนนต่อเขาได้ ทำให้ซัดดัมต้องใช้วิธีกักบริเวณสัยยิดคูอี้และมัรเญีอฺอื่นๆอยู่หลายสิบปี
ที่เลบานอน อยาตุลเลาะฮ์ มูซาศ็อดร์ได้บีบให้กองทัพอังกฤษ ฝรั่งเศสและอิสราเอลจำต้องถอยร่นออกไป และกองกำลังฮิซบุลเลาะฮ์นำโดยสัยยิดฮาซันนัซรุลเลาะฮ์ ได้สร้างความเจ็บปวดและความสูญเสียให้กับกองทัพอิสราเอล
ที่บาห์เรน ทั้งๆชีอะฮ์ที่นั่นมีอิทธิพลไม่มากนัก แต่พวกเขาก็สามารถบีบบังคับให้รัฐบาลต้องยอมดำเนินตามสัญญาในรูปสงครามเย็น
หลังจากที่เราได้รวบรวมข้อมูลเรื่องชีอะฮ์จากแหล่งต่างๆในโลก และหลังจากได้ทำการวิจัยแล้ว เราได้รับคำตอบสำคัญมาแล้ว ที่ทำให้เราบรรลุสู่เป้าหมายได้
พวกเรารู้แล้วว่า แท้จริงเพาเวอร์และอำนาจของมัซฮับชีอะฮ์ตกอยู่ในมือของมัรเญีอฺตักลีดและอุลามาอฺชีอะฮ์ เพราะคนกลุ่มนี้ทำหน้าที่พิทักษ์ดูแลมัซฮับชีอะฮ์
มัรเญีอฺชีอะฮ์ ตลอดหน้าประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาในอดีต พวกเขาไม่เคยปฏิบัติตามฮากิมกาเฟ็ร(ผู้ปกครองไร้ศรัทธา)หรือผู้ปกครองอธรรมคนใดทั้งสิ้น และไม่เคยให้การสนับสนุน
แผนขั้นที่หนึ่ง คือส่งนักวิจัยกับสายลับไปสืบหาข้อมูลดังนี้
1- มีชีอะฮ์อยู่ที่ประเทศใดในโลก และพวกชีอะฮ์มีอิทธิพลอยู่ที่ใดบ้าง
2- เราจะใช้วิธีการใด ทำให้พวกชีอะฮ์ขัดแย้งกันเอง
3- เราจะใช้วิธีการใด ทำให้ซุนนี่กับชีอะฮ์ขัดแย้งกัน จากนั้นเราจึงค่อยฉกฉวยความขัดแย้งนั้นให้เป็นประโยชน์สำหรับเรา
เช่นเดียวกัน มันได้พาเราไปสู่ผลลัพธ์ที่ว่า ชีอะฮ์เป็นชนกลุ่มเดียวที่สามารถก่อเอฟเฟ็ค(effect ปฏิกิริยาความสำเร็จ)ได้มากที่สุดกว่ามุสลิมกลุ่มใดในโลก
ด้วยเหตุนี้ในที่ประชุมจึงมีมติว่า จำเป็นต้องทำการวิจัยแนวทางชีอะฮ์ให้ละเอียดมากขึ้น จากนั้นจึงค่อยวางแผนจัดการทีหลัง เราได้ทุ่มเทงบประมาณเพื่องานนี้ไป 40 ล้าน $ โดยจัดลำดับงานวิจัยเป็น 3 ขั้นตอนคือ
1- รวบรวมข้อมูลข่าวสารและสำรวจสิ่งที่จำเป็นต่างๆเกี่ยวกับชีอะฮ์
2- กำหนดเป้าหมายในระยะสั้น เช่นการโฆษณาโจมตีชีอะฮ์ และสร้างความขัดแย้งขึ้นระหว่างชีอะฮ์กับมัซฮับอื่นๆในอิสลาม
3- กำหนดเป้าหมายในระยะยาวนั่นคือ ถอนรากถอนโคนชีอะฮ์
ดังนั้น ในปีค.ศ. 2010 เราตั้งเป้าหมายและคาดหวังเอาไว้ว่า จะต้องสร้างความอ่อนแอให้กับมัรญิ๊อฺชีอะฮ์ จนบรรดามัรญิ๊อฺชีอะฮ์จะโดนประณาม ถูกบดขยี้ด้วยน้ำมือของพวกชีอะฮ์เอง โดยที่อุละมาอ์มัซฮับอื่นยังคงอยู่อย่างปกติ
แผนขั้นสุดท้าย คือ หลังจากพวกชีอะฮ์หมดสภาพหมดความนับถือในสังคมแล้ว เราจึงค่อยจัดการกับพวกเขาทีหลัง
การปฏิวัติอิสลามแห่งอิหร่าน มิใช่ได้ชัยชนะมาจากความล้มเหลวในการปกครองของกษัตริย์ชาฮ์ แต่ว่ามันยังมีปัจจัยอื่นๆอีกเช่น ชาวอิหร่านมีผู้นำศาสนาที่เข้มแข็งอย่างอยาตุลลาฮ์โคมัยนี่ และได้นำ ثَقاَفَةُ شَهاَدَةٍ (วิถีวัฒนธรรมแห่งการพลีชีพ)มาใช้ ซึ่งรากเหง้านี้มีที่มาจากการเป็นชะฮีดของอิม่ามฮูเซนเมื่อ1,400 ปีที่ผ่านมา ขบวนการชะฮีดนี้ เริ่มแพร่หลายและขยายความลึกซึ้งออกไปเรื่อยๆทุกปีในช่วงเดือนมุฮัรรอม ในงานรำลึกถึงโศกนาฏกรรมของอิม่ามฮูเซน
ในปีคริสต์ศักราชที่ 1978 ชาวอิหร่านทำการปฏิวัติอิสลามสำเร็จ ทำให้อเมริกาผู้กดขี่ประสบความเสียหายขาดทุน ทีแรกเราคาดคิดว่า การปฏิวัติอิสลามเข้ามาเพื่อตอบสนองพวกเคร่งศาสนากับพวกผู้นำศาสนา ซึ่งคงไม่มีผลกระทบอะไรกับเรา แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความเข้าใจและวัฒนธรรมแห่งการปฏิวัติอิสลามเริ่มขยายตัวกว้างขึ้นเรื่อยๆต่อประเทศต่างๆโดยเฉพาะที่อิรัก ปากีสถาน เลบานอน คูเวตและประเทศอื่นๆ เขากล่าวในที่ประชุมต่อหน้าเจ้าหน้าที่ระดับหัวหน้าC.I.A และสายลับอังกฤษว่า เราผิดพลาดมากๆต่อการวิจัยที่ผ่านมา หลังจากที่เราได้ประกอบธุรกิจอยู่ในประเทศมุสลิมมาอย่างยาวนาน ทำให้เราสรุปผลได้ดังนี้ :ฉะนั้นหากท่านเป็นชีอะฮ์ที่มีความรักต่ออิม่ามมะฮ์ดี(อ) จงนำข่าวนี้ไปบอกชีอะฮ์ทุกคนให้รับรู้ถึงแผนชั่วของศัตรูอิสลามและอย่าตกเป็นเหยื่อของมาร
โอ้ชีอะฮ์ทั้งหลาย พวกท่านพอใจหรือที่จะให้เขาลบชื่อของอิม่ามฮูเซน ? ท่านพอใจหรือที่จะให้เขา ทำลายศาสนาอิสลามที่แท้จริง.
บทความโดย เชค อับดุลญะวาด สว่างวรรณ