บทเรียนอูศูลุดดีน (รากฐานของศาสนา)
เตาฮีด (ความเป็นเอกะของพระผู้เป็นเจ้า) ตอนที่ 34
ความหมายของ “อิลาฮ์” "اله"พระผู้เป็นเจ้า และสาเหตุที่ทำให้เกิดการตั้งภาคี
ความหมายของ “อิลาฮ์” "اله"พระผู้เป็นเจ้า
“อิลาฮ์” (พระผู้เป็นเจ้า) หมายถึง สิ่งที่คู่ควรต่อการเคารพภักดีและปฏิบัติตาม (อิบาดัตและฏออัต)
คำว่า “คู่ควร” นั้นหมายถึง สิ่งนั้นมีสถานะภาพที่คู่ควรเหมาะสมที่จะเป็นพระเจ้า มีความสามารถที่จะรับการอิบาดัตและฏออัต เหมาะสมที่จะเป็นพระเจ้าหรือมี “ชะนียะฮ์” (สถานะภาพ) ในความเป็นพระเจ้า
การมี”ชะนียะฮ์” (สถานภาพ) ในความเป็นพระผู้เป็นเจ้านั้นคือ มีความคู่ควรที่จะเป็น”อิละฮ์” (พระเจ้า) ซึ่งได้ทำความเข้าใจไปแล้วในตอนที่ผ่านๆมาว่า อัลลอฮ์ (ซ.บ) เป็นทั้ง “ผู้ทรงดำรงอยู่ ผู้ทรงอำนาจ ผู้ทรงรอบรู้ ผู้ทรงสร้าง พระผู้ทรงอภิบาล ผู้มีอำนาจในการปกครองที่แท้จริง ผู้ทรงประทานปัจจัยยังชีพ ผู้ทรงมีมาแต่เดิม ผู้ทรงดำรงอยู่ตลอดไป หากจะกล่าวโดยรวม คือ พระองค์มีคุณลักษณะแห่งความสมบูรณ์ทั้งหมด
ดังนั้น จะมีผู้ใดอีกเล่าที่มีความเหมาะสมคู่ควรในการเคารพภักดีและปฏิบัติตามมากไปกว่าพระเจ้าองค์ที่มีคุณลักษณะแห่งความสมบูรณ์ทั้งหมด ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้มนุษย์เข้าใจคำว่า “ลาอิลาฮาอิลลอฮ์” (ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮ์) ได้อย่างดียิ่งขึ้น
สาเหตุของการเกิด “ชีริก” {การตั้งภาคีต่อพระผู้เป็นเจ้า}
โลกทัศน์ของมนุษย์นั้นแบ่งออกเป็นสองประเภทหลักๆดังนี้
๑. “จิตนิยม” เชื่อในพระเจ้า
๒. “วัตถุนิยม” ไม่เชื่อในพระเจ้า
จิตนิยมก็ได้พิสูจน์การมีอยู่ของพระผู้เป็นเจ้า ความเป็นพระผู้สร้างของพระผู้เป็นเจ้า ความเป็นพระผู้อภิบาลของพระผู้เป็นเจ้าและได้พิสูจน์คุณลักษณะแห่งความสมบูรณ์ต่างๆของพระผู้เป็นเจ้าไปแล้ว พระองค์ผู้ทรงรอบรู้ ผู้ทรงดำรงอยู่มาแต่เดิม และดำรงอยู่ต่อไป พระองค์เป็นผู้ทรงพลานุภาพ ผู้ทรงประทานปัจจัยยังชีพ ประทานสิ่งที่ดีที่สุดแก่มนุษย์ แต่ทำไมมนุษย์จำนวนหนึ่งยังคงปฏิเสธศาสนาและพระผู้เป็นเจ้า
สาเหตุของการปฏิเสธศาสนาและพระผู้เป็นเจ้า หลักๆ มีดังนี้
1- สาเหตุทางจิตวิทยา (มีปัญหาทางจิตวิญญาณ)
มนุษย์ตกเป็นทาสของโลกียวิสัย ใช้ชีวิตไม่ต่างกับเดรัจฉาน เช่น การกิน นอน เสพสุข ใช้ชีวิตตามฮาวานัฟซู กิเลสตัณหา ซึ่งกิเลสมีทั้งดีและไม่ดี กิเลสใฝ่ต่ำ เช่นไม่มีความรับผิดชอบ ไม่รับภาระหน้าที่ใดๆ จึงทำให้ไม่ใส่ใจปฏิบัติตามหน้าที่ทางศาสนาไม่ใช้ความคิดและสติปัญญา ปัญหาทางจิตวิญญาณที่ใฝ่ต่ำมันจะขัดขวางไม่ให้มนุษย์ได้พบและเข้าสู่สัจธรรม หรืออาจจะพบสัจธรรมแล้วแต่ไม่สามารถยอมรับได้ ทั้งๆที่บรรดาศาสดาของพระเจ้าได้นำมาซึ่งความรู้และคำสั่งสอนต่างๆ ด้วยการส่งเสริมให้ปฏิบัติสิ่งที่ดีงาม แต่เพราะเขารู้สึกว่ามันขัดกับฮาวานัฟซู(กิเลสใฝ่ต่ำ) จึงขัดกับความต้องการของเขา
2- สาเหตุจากปัญหาทางสังคม
ปัจจัยนี้มีอยู่มากมาย อาทิ การถูกบีบคั้นกดดัน การมอมเมาด้วยระบอบที่ถูกสร้างขึ้นมาด้วยความจงใจ ส่งผลทำให้มนุษย์ออกห่างจากศาสนา ไปถึงขั้นไม่มีเวลาพิจารณาใคร่ครวญเรื่องราวของศาสนา
จะเห็นได้ว่า บางยุคสมัยมีการมอมเมามนุษย์ทำให้ไร้ศีลธรรม เช่น ในยุคโรมัน ผู้ปกครองมอมเมามนุษย์ไม่ให้คิดถึงสัจธรรมของชีวิต ให้มัวเมาอยู่กับสิ่งที่ไม่ให้คุณค่าใดๆ อีกทั้งหลังจากกลับจากสงคราม บางครั้งก็ก่อสงครามกันเอง หรือมีสถานบันเทิงไว้บริการรองรับไว้
หากย้อนประวัติศาสตร์ เมืองโรมในยุคนั้นมีสถานที่หนึ่งเรียกว่า"โคลีเซียม" เป็นสถานที่ถูกสร้างขึ้นโดยการเจียรนัยภูเขาทั้งลูกเป็นอัฒจรรย์ตรงกลาง เป็นสนามคล้ายสนามฟุตบอลและมีการแข่งขันกีฬาแปลกประหลาด เช่น คนต่อสู้กับสิงโต คือ การต่อสู้จนตายกันไปข้างหนึ่ง หรือคนต่อสู้กับคน บางครั้งสิบต่อสิบ บางครั้งยี่สิบต่อยี่สิบ หรือบางครั้งสิบต่อหนึ่ง ในขณพเดียวกันประชาชนที่ไปดู ต่างส่งสียงร้องเหมือนไม่ใช่คน เพราะมีการเชียร์กันอย่างเมามัน จะเห็นว่า สภาพสังคมยุคนั้นอยู่กันอย่างป่าเถื่อนไม่มีศาสนา และเรื่องราวลักษณะนี้มีอยู่ทุกยุคทุกสมัย แม้แต่ในปัจุบัน แต่ในปัจจุบันอาจจะมาในรูปแบบใหม่ๆ บางสังคมมอมเมาด้วยยาเสพติด ดนตรี กระแสฟุตบอลและสิ่งยั่วยวนใจต่างๆ มากมาย
การนับถือศาสนาไม่ใช่เรื่องง่าย บางคนอยู่ในสังคมที่มีศาสนาแล้วยังเป็นคนชั่ว ดังนั้น พึงตระหนัก มนุษย์สามารถทำเข้าใจศาสนาได้ ต้องใช้ความสงบ เวลา และสมาธิจึงจะปลอดภัย ทว่าพวกศัตรูของศาสนารู้สิ่งเหล่านี้ รู้ว่าศาสนาทำให้มนุษย์รอดพ้นได้ พวกเขาจึงได้ทำลาย ทำให้เกิดความวุ่นวาย ก่อความขัดแย้งต่างๆด้วยการมอมเมาประชาชนในรูปแบบต่างๆนานา บางครั้งทำให้ประชาชนยากจน เพื่อที่จะให้ประชาชนหมดเวลาไปกับการทำมาหากินเพียงอย่างเดียว ทำให้ไม่มีเวลาคิดเรื่องราวของศาสนาหรือบางประเทศสกัดกั้นในเรื่องค่าใช้จ่าย ด้วยการใช้ทุนนิยม ระบบนี้เป็นระบบที่กดขี่ประชาชน เช่น ทำให้น้ำมันแพง ค่าไฟแพง ค่าบ้านแพง ค่าครองชีพสูงขึ้น เมื่อคนไม่สามารถหาปัจจัยสิ่งเหล่านี้ได้ก็ต้องยิ่งดิ้นรนขวนขวาย ปากกัดตีนถีบส่งผลทำให้ไม่มีเวลาพิจารณาเรื่องราวของศาสนา
ตัวอย่าง ระบอบบคอมมิวนิสต์ ที่บางประเทศนำระบอบการปกครองเข้ามาใช้ ระบอบนี้เป็นระบอบที่ไม่มีศาสนาปฏิเสธศาสนา บอกว่าศาสนาทำให้เสียเวลาในการทำมาหากิน พวกเขาสั่งปิดมัสยิด สั่งปิดวัด สั่งปิดโบสถ์และที่เลวร้ายไปกว่านั้นเป็นเพราะระบบศาสนาเอง
ตัวอย่าง :
ในยุคหนึ่ง เรียกยุค “เรเนอซอง” ชาวยุโรปจำนวนมากปฏิเสธศาสนา ยุคนั้นเกิดลัทธิ “เอนตี้ไครส์” ต่อต้านพระเยซูต่อต้านพระเจ้า ต่อต้านศาสนา
จะเห็นได้ว่า ในยุคนั้น มนุษย์หันหลังให้กับศาสนาเป็นเวลานานเป็นอย่างมาก เพราะบรรดานักการศาสนารวมหัวกับกษัตริย์ปล้นสะดม กดขี่ขูดรีดประชาชน บางครั้งคำสอนของศาสนาถูกตีความอย่างผิดๆจากนักบวช และขัดแย้งต่อต้านวิทยาศาสตร์ กล่าวคือ ด้านคริสตจักรที่มีอำนาจทางศาสนา กระทำการไปถึงขั้นสั่งฆ่านักวิทยาศาสตร์ที่เชื่อว่าโลกกลม
ในยุคเรเนอซอง พระชาวคริสต์และพระราชาอยู่กันอย่างสบาย แต่ในทางตรงกันข้ามประชาชนจำนวนมากอยู่อย่างยากลำบาก สภาพสังคมต่ำช้าเลวทราม ส่งผลทำให้ประชาชนเกลียจชังศาสนา ซึ่งความจริงแล้ว ก่อนหน้านั้นชาวยุโรปจำนวนมากมีศาสนา และสิ่งที่ยืนยันศาสนาในยุคนั้น คือ สงคราม"ครูเสด”
คำว่า “ครูเสด" แปลว่า ไม้กางเขน ซึ่งหมายถึง ศาสนาคริสต์ แต่หลังจากที่สงครามสิ้นสุดลง เกิดกระแสต่อต้านศาสนามาจนถึงทุกวันนี้ ภาวะสังคมเป็นตัวผลักดันให้มนุษย์ออกจาศาสนา สังคม เศรษฐกิจ ระบบการปกครองในยุคปัจจุบันก็เช่นกันทำให้มนุษย์เป็นเครื่องจักร (ทุนสามานย์) ค่าใช้จ่ายในชีวิตสูงขึ้น ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตแพงขึ้น ทำให้สมาธิในการขบคิดเรื่องราวของศาสนาอ่อนแอลง
3- ความอ่อนแอทางด้านสติปัญญา ความคิดและวิชาการ
ผู้นับถือศาสนาไม่สามารถอธิบายเรื่องราวของศาสนาได้อย่างชัดเจน เพราะไม่เข้าใจศาสนา สติปัญญามีไม่เพียงพอ เชื่อว่าโลกนี้พระเจ้าสร้างขึ้นมา แต่เมื่อเจอโจทย์ สมมุติว่า เมื่อถูกถามว่า ใครสร้างพระเจ้า บางครั้งกลับให้คำตอบไม่ได้
แน่นอนว่า หากไม่มีคำสั่งสอนจากพระผู้เป็นเจ้าที่ศาสดานำมา มนุษย์ไม่มีวันรอดพ้นปลอดภัย เพราะจากประสบการณ์ที่ผ่านมา ทุกยุคทุกสมัยมีการคิดค้น มีการสร้างระบบการปกครองต่างๆขึ้นมา แต่สุดท้ายก็พบกับความล้มเหลว ระบบต่างๆที่มนุษย์คิดค้นขึ้นมาเองเหล่านั้นไม่สามารถตอบโจทย์ต่างๆของมนุษย์ได้อย่างแท้จริง
หลายครั้งหลายคราวหลายระบบต้องพบกับความล้มเหลว เมื่อมนุษย์พบว่ามันล้มเหลว จึงคิดได้ว่า ต้องมีคำสอน ต้องมีระบบที่สามารถตอบทุกโจทย์ของมนุษย์ได้อย่างถูกต้องและแท้จริงในทุกๆเรื่องของชีวิต และมันไม่ใช่เป็นคำสอนหรือระบบของมนุษย์ที่คิดขึ้นมาเอง เพราะถ้ามนุษย์คิดเองทำเองได้มันก็ต้องเกิดขึ้นมานานแล้ว จากประสบการณ์ของมนุษย์เอง ก็ยืนยันว่ามนุษย์ไม่มีความสามารถที่จะทำได้ ถึงแม้ในด้านหนึ่งมนุษย์สามารถสร้างพีระมิด สร้างกำแพงเมืองจีน สร้างสวนลอยแห่งบาบิโลน สร้างขีปนาวุธ สร้างดาวเทียม สร้างพลังงานนิวเคลียร์ได้ แต่ในด้านของศาสนาด้านทางจิตวิญญาณนั้น แน่นอนว่า มนุษย์ไม่สามารถคิดค้นระบบระเบียบ การปกครองเพื่อความผาสุก ที่สามารถตอบโจทย์ของมนุษยชาติได้ ในทุกๆเรื่องเพราะสติปัญญาของมนุษย์ไปไม่ถึงนั่นเอง
ปัญหาทางด้านสติปัญญาของมนุษย์มีอยู่หลายรูปแบบ บางครั้งเมื่อเกิดเหตุการณ์ทางธรรมชาติ เช่น ฟ้าร้อง ก็อธิบายว่าเสียงที่เกิดขึ้นเป็นเสียงเทพยดาฟ้าดิน เพราะไม่สามารถอธิบายเหตุการณ์หรือสาเหตุทางธรรมชาติได้อย่างถูกต้อง ถือเป็นความอ่อนแอที่ไม่สามารถเข้าใจสัจธรรมของโลกได้
4- ตกอยู่ในทฤษฎีจอมปลอมต่างๆ
เมื่อถูกถามว่ามนุษย์เกิดมาได้อย่างไร คำถามนี้ ในอดีตมนุษย์ไม่สามารถให้คำตอบได้ ด้วยความสงสัยการมาของมนุษย์ ชาลส์ ดาร์วิน จึงตั้งทฤษฎีขึ้นมาว่ามนุษย์น่าจะเกิดมาจากลิง ทฤษฎีนี้ คนที่มีสติปัญญาไม่เพียงพอ ก็จะเชื่อได้อย่างง่ายดาย เพียงชาลส์ดาร์วินบอกว่า มนุษย์กับลิงมีความคล้ายคลึงกันมาก กิน เดิน รูปร่าง เหมือนกัน จะเห็นได้ว่า เป็นเรื่องน่าแปลกมากที่มนุษย์กลับไม่ได้คบคิดว่า ถ้าเขามาจากลิงจริง ทำไมไม่มีการวิวัฒนาการต่ออีก ทำไมไม่ขบคิดในปัจจุบัน ลิงยังมีอีกมากมาย ที่ออกมาจากป่า ทำไมไม่พัฒนามาเป็นคนอีก อีกทั้งในปัจจุบันทำไมไม่เห็นคนที่อยู่ในช่วงระหว่างการวิวัฒนาการครึ่งลิงครึ่งคนกลายเป็นคนเต็มตัวสักคน
5- ความเชื่อใน”คุรอฟะห์”ต่างๆ (ความเชื่อคร่ำครึ ไม่มีที่มาที่ไป)
ตัวอย่าง ในยุคกรีซโบราณ เชื่อมีเทพเจ้าจูปีเตอร์ โพซัยดอน ในโรมันก็มีเทพเจ้าอีกลักษณะหนึ่ง ในภูมิภาคแถบชมพู่ทวีปก็มีเทพเจ้าอีกรูปแบบหนึ่ง เช่น พระนารายณ์ พระโพสพ พระแม่ธรณี พระแม่คงคา แม้แต่มุสลิมเองก็มีความเชื่อที่ว่าโลกนี้อยู่บนเขาของวัวที่ยืนอยู่บนหลังของปลาวาฬ
6- สัมผัสนิยม
สัมผัสนิยม เป็นความอ่อนแอทางด้านสติปัญญาที่เชื่อว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่นั้นต้องสัมผัสได้ด้วยสัมผัสทั้งห้าเท่านั้น เป็นความเชื่อที่ไม่ถูกต้องซึ่งได้พิสูจน์ไปแล้วว่ามันมีสิ่งมีอยู่ที่อยู่เหนือการสัมผัสทั้งห้า และส่วนมากคือเรื่องราวของศาสนา เป็นเรื่องที่เหนือสัมผัสทั้งห้า เนื่องจากความคิดแบบสัมผัสนิยมจึงทำให้มนุษย์ไม่สามารถไปถึงเรื่องราวของศาสนาได้ มีสิ่งมีอยู่มากมายที่ไม่สามารถสัมผัสได้ด้วยสัมผัสทั้งห้าแต่เป็นสิ่งที่มีอยู่จริง เช่น คลื่นทางอิเล็คทรอนิคต่างๆ คลื่นโทรศัพท์ จับไม่ได้มองไม่เห็น และสิ่งมีอยู่ที่ไม่ใช่วัตถุ ซึ่งไม่สามารถสัมผัสได้ด้วยสัมผัสทั้งห้า เช่น ความรู้สึกต่างๆ ความรัก ความชอบ ความโกรธ และตัวอย่างที่ดีที่สุด คือ ความรู้ ซึ่งสามารถพิสูจน์ถึงความเข้มข้น ความมากความน้อยของมันได้ คนที่จำอัลกุรอานทั้งเล่ม กับคนที่ไม่ได้จำอัลกุรอานมีศีรษะเท่ากัน บางครั้งคนที่จำทั้งเล่มศีรษะเล็กกว่าด้วย ความรู้คือสิ่งที่จับต้องไม่ได้ มองไม่เห็น แต่มนุษย์ก็ยอมรับว่าความรู้ว่ามีอยู่จริง
ขอขอบคุณสถาบันศึกษาศาสนาอัลมะฮ์ดี