ไทยแลนด์
Monday 25th of November 2024
0
نفر 0

นะบูวะห์ (ตอนที่ 1)

นะบูวะห์ (ตอนที่ 1)



นะบูวะห์(ตอนที่ 1)

สภาวะความเป็นศาสดา

 

    หลักฐานทางสติปัญญาถึงความจำเป็นที่จะต้องมีศาสดา

 

ความศรัทธาในความเป็นเอกะของพระผู้เป็นเจ้า(เตาฮีด)ที่นำไปสู่เรื่องของความจำเป็นที่จะต้องมีศาสดา(นบูวัต) คือหัวข้อของเรื่อง “ฮิกมะฮฺ” “วิทยะปัญญา” เรื่องของ “อัลอาดิล” เรื่องของความยุติธรรมของพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งความยุติธรรมกับความมีวิทยะปัญญาของพระผู้เป็นเจ้ามีความสัมพันธ์กันอย่างแนบแน่น ในที่นี้ หมายความว่า ที่ใดที่มีความยุติธรรมที่นั้นก็จะมีวิทยะปัญญาด้วย เป็นไปไม่ได้ที่ความยุติธรรมของพระผู้เป็นเจ้าเกิดขึ้นโดยที่ไม่ควบคู่กับความมีวิทยะปัญญา ซึ่งได้ทำความเข้าใจไปแล้วในเรื่องความยุติธรรมของพระผู้เป็นเจ้า

 

การสร้างมนุษย์และสรรพสิ่งต่างๆนั้น มีฮิกมะฮฺ หรือปรัชญาของเป้าหมายอยู่ เนื่องจากพระองค์เป็นผู้ทรง “ฮากีม” ผู้ทรงวิทยะปัญญา ดังนั้นทุกสิ่งทุกอย่างที่พระองค์ทรงสร้างย่อมมีวิทยะปัญญามีปรัชญาของเป้าหมายอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็น สิ่งที่เล็กที่สุด เช่น อะตอม อิเล็กตรอน โปรตอน หรือแม้กระทั่งแมลงตัวเล็กๆ รวมไปถึงมนุษย์เองเช่นกันที่ถูกสร้างมาอย่างมีฮิกมะฮฺมีปรัชญาของเป้าหมายที่สูงส่ง และเพื่อให้ความยุติธรรมของพระองค์เกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์ จึงหมายถึงการให้สิทธิตามที่ควรจะได้รับ และสิทธิหนึ่งของมนุษย์ คือ การพัฒนาไปสู่ความสมบูรณ์ การพัฒนาขัดเกลาไปสู่ความใกล้ชิดกับอัลลอฮฺ(ซบ) แต่เพื่อการนี้ ลำพังสติปัญญาของมนุษย์ไม่เพียงพอที่จะนำมนุษย์ไปสู่ความสมบูรณ์และความผาสุกได้อย่างแท้จริง มนุษย์จำเป็นจะต้องมีความรู้และการชี้นำที่ถูกต้อง

 

ด้วยเหตุนี้ พระผู้เป็นเจ้าจึงประทานหนทางหนึ่ง เพื่อนำมนุษย์ไปสู่ความสมบูรณ์ตามเป้าหมายและฮิกมะฮ์ของพระองค์ในการสร้างมนุษย์ แต่ทว่าความรู้ แนวทางหรือระบอบและขั้นตอนในการไปสู่ความสมบูรณ์นั้น จำเป็นที่จะต้องรู้เป้าหมายหรือคำบัญชาต่างๆ และการรับรู้สิ่งต่างๆเหล่านี้ได้ จึงจำเป็นจะต้องมีตัวแทนหรือผู้สื่อสาร หรือศาสดาของพระองค์ มาสั่งสอนชี้นำ เพราะมนุษย์ไม่สามารถคิดค้นขึ้นมาเองได้ ความรู้ความสามารถของมนุษย์มีกรอบจำกัด ยืนยันว่าความรู้ความสามารถของมนุษย์มีข้อจำกัด คือ ระบอบต่างๆในการดำเนินชีวิตของมนุษย์ที่คิดค้นและกำหนดเองจะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ

 

เหตุผลของการเปลี่ยนแปลงก็เพื่อแสวงหาสิ่งที่ดีกว่า จนปัจจุบันยังไม่พบระบอบระเบียบที่จะตอบโจทย์ให้แก่มนุษย์ แม้แต่เรื่องของอาหาร เช่นในสมัยหนึ่ง ทางการแพทย์กล่าวว่า อาหารที่ดีสำหรับเด็กทารกคือนมผง ซึ่งดีกว่านมแม่ แต่ปัจจุบันกลับออกมาบอกว่า นมที่ดีที่สุดสำหรับทารกนั้นคือนมแม่

 

เช่นกันในเรื่องของระบอบการปกครอง ยุคหนึ่งส่วนใหญ่มีการปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช ต่อมามีการเปลี่ยนแปลง ล้มระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช แทนที่ด้วยระบอบคอมมิวนิสต์หรือประชาธิปไตย กระทั่งปัจจุบัน ระบอบคอมมิวนิสต์ ล่มสลายไปแล้ว เหลือระบอบประชาธิปไตย แต่ถึงอย่างไรก็ยังไม่มีผู้ใด รับประกันว่าระบอบนี้ จะเป็นระบอบสุดท้าย ที่จะอำนวยประโยชน์ให้มนุษย์ตลอดไป เพราะในปัจจุบันก็เริ่มเห็นแล้วว่ามนุษย์ขัดแย้ง เข่นฆ่ากันด้วยระบอบประชาธิปไตย และยังประท้วงไม่พอใจระบอบประชาธิปไตยอีกด้วย

 

ความจริงดังกล่าวนี้ ยืนยันว่า มนุษย์ยังหาข้อสรุปสุดท้ายที่สมบูรณ์ในทุกๆเรื่องไม่ได้เลย หรือในเรื่องระบบกฎเกณฑ์ที่มนุษย์กำหนดขึ้นมาเองนั้น ก็จะเป็นประโยชน์แก่กลุ่มชนนั้นๆเท่านั้น เพราะบางครั้งกลับสร้างความไม่พอใจ หรือไปละเมิดสิทธิของอีกกลุ่มชนหนึ่ง ทำให้ ไม่เป็นที่ยอมรับในทุกกลุ่มชน เหล่านี้จึงยืนยันถึงความรู้อันจำกัดของมนุษย์ ที่ไม่สามารถสร้างกฏเกณท์หรือระบอบที่เหมาะสมสำหรับตนเองได้อย่างแท้จริง

ดังนั้น ผู้ที่สามารถสร้างระบบระเบียบที่สมบูรณ์ สามารถนำมนุษย์ไปสู่ความสมบูรณ์ได้นั้น คือ ผู้ที่สร้างมนุษย์ขึ้นและแน่นอนว่าพระองค์ย่อมรู้ถึงธาตูแท้และกลไกของความเป็นมนุษย์ได้ดีที่สุด

 

    มนุษย์กับระบบกฎเกณฑ์ของพระผู้เป็นเจ้า

 

ประเด็นสำคัญ คือ มนุษย์จะสามารถรับรู้ถึงระบบกฎเกณฑ์ของพระผู้เป็นเจ้าได้อย่างไร ในขณะที่มนุษย์ไม่สามารถที่จะสื่อสารกับพระองค์โดยตรงได้ เพราะพระองค์อยู่เหนือกฎเกณฑ์ของสสารและวัตถุธาตุทั้งหมด

 

ดังนั้น เพื่อให้เป้าหมายในการสร้างไปสู่ความสมบูรณ์ของมัน จึง จำเป็นที่จะต้องมีผู้นำความรู้จากพระผู้เป็นเจ้า มาให้แก่มนุษย์ ก็คือศาสดานั่นเอง ซึ่งแน่นอนว่าบรรดาศาสดาต้องมีความรู้ที่เหนือกว่าผู้คนโดยทั่วๆไป และต้องมีคุณลักษณะพิเศษเฉพาะที่สามารถจะรับความรู้จากพระองค์ได้ สิ่งนั้นก็คือจิตวิญญาณที่สูงส่งของบรรดาศาสดานั้นเอง

 

ทั้งนี้นอกจากบรรดาศาสดาจะนำความรู้ส่งต่อยังมนุษย์แล้ว บรรดาศาสดายังมาเพื่อเป็นแบบอย่างในการพัฒนาไปสู่ความใกล้ชิดกับพระองค์ด้วย ซึ่งตามหลักจิตวิทยาได้พิสูจน์แล้วว่าการมีแบบอย่างให้ประจักษ์นั้นมีผลในการพัฒนามนุษย์ได้เป็นอย่างมาก ซึ่งจะอธิบายรายละเอียดพอสังเขปดังนี้

 

มนุษย์ถูกสร้างมาให้ใช้ชีวิตร่วมกับบุคคลอื่นๆในสังคม และการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันในสังคมนั้นจำเป็นจะต้องมีกฎเกณฑ์ เนื่องจากมนุษย์ถูกสร้างมาในลักษณะที่จะต้องขวนขวายแสวงหาสิ่งที่ให้ประโยชน์กับตัวเองอยู่เสมอ ด้วยกับเหตุนี้บางครั้งมนุษย์อาจจะไปละเมิดหรือเบียดเบียนทรัพย์สินหรือสิทธิของบุคคลอื่นในสังคม

 

ฉะนั้น เพื่อที่จะขจัดความขัดแย้งและสร้างความสมดุลให้เกิดขึ้นในสังคมนั้น มนุษย์จำต้องมีกฎเกณฑ์ ระบอบ ระเบียบที่สามารถนำมนุษย์ไปสู่ความสมบูรณ์และความผาสุกได้ รวมทั้งควบคุมความต้องการต่างๆของมนุษย์ ทั้งความต้องการตามธรรมชาติของความเป็นมนุษย์ และด้านในของมนุษย์ ความต้องการทางด้านกายภาพและด้านจิตวิญญาณ ความต้องการที่เชื่อมโยงทั้งโลกนี้และโลกหน้า ความต้องการที่เป็นปัจเจกและสังคม ซึ่งกฎเกณฑ์ทั้งหลาย จะต้องสามารถที่จะขจัดความขัดแย้งในสังคมได้ เช่นนี้แล้วมีเพียงพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้นที่สามารถวางกฎเกณฑ์ กฎระเบียบที่ถูกต้องสมบูรณ์ ในฐานะเป็นพระผู้สร้างมนุษย์ขึ้นมา

 

ดังนั้น เพื่อจะให้มนุษย์มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกฎเกณฑ์ระเบียบเหล่านี้ จึงมีผู้สื่อสารหรือตัวแทนพิเศษเฉพาะคือ ศาสดา เพราะมนุษย์ไม่สามารถที่จะรับรู้คำตรัส “วะฮี” ของพระผู้เป็นเจ้าได้โดยตรง พระองค์จึงแต่งตั้งศาสดาจำนวนหนึ่งขึ้นมาเพื่อที่จะแจ้งข่าวจากพระองค์และทำการเผยแพร่ในหมู่บรรดามนุษย์

 

ขอขอบคุณสถาบันศึกษาศาสนาอัลมะฮ์ดี

 

0
0% (نفر 0)
 
نظر شما در مورد این مطلب ؟
 
امتیاز شما به این مطلب ؟
اشتراک گذاری در شبکه های اجتماعی:

latest article

...
...
ทำไมอิสลามห้ามดื่มสุรา
บทเรียนจากตัฟซีรเนะฮ์มูเนะฮ์ ...
อิมามฮะซัน อัสการีย์(อ) ...
อิมามอะลี ...
"ฝน"ในอัลกุรอาน
ชีวประวัติท่านฮัมซะฮ์ บิน ...
หลักปฏิบัติในอิสลาม ...
สิทธิมนุษยชนในอิสลาม

 
user comment