บทเรียนสู่ความสำเร็จและความผาสุกไพบูลย์ จากอิมามฮะซัน อัสกะรี (อ.)
ฮะดีษ อัษษะกอลัยน์ ซึ่งท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ (ซ็อลฯ) ได้กล่าวย้ำไว้หลายครั้ง และถูกรายงานไว้ในรูปสำนวนต่างๆ (1) จนมาถึงเรานั้น นอกจากจะแนะนำอะฮ์ลุลบัยต์ (ครอบครัว) ของท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ (ซ็อลฯ) ในฐานะคู่เหมือน (อิดล์) ของคัมภีร์อัลกุรอานแล้ว ยังมีสาส์นหนึ่งควบคู่อยู่ในฮะดีษ (วจนะ) ดังกล่าวนี้ด้วย ซึ่งบอกแก่เราว่า หนทางของความรอดพ้นของมนุษย์มีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น นั่นคือการยึดมั่นและการปฏิบัติตามคัมภีร์อัลกุรอานและอะฮ์ลุลบัยต์ (อ.) และเรื่องสำคัญดังกล่าวนี้จะไม่เกิดขึ้น นอกจากเราจะต้องรับรู้และเชื่อมสัมพันธ์ตนเองเข้ากับคำพูดและการกระทำต่างๆ ของท่านเหล่านั้น
การรับรู้และการเชื่อมสัมพันธ์ดังกล่าวในยุคของเราจะเกิดขึ้นได้ก็ด้วยการย้อนกลับไปดูตัวบทและแหล่งที่มาต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ (มุอ์ตะบัร) เพียงเท่านั้น ด้วยเหตุนี้เอง ปัจจุบันใครก็ตามที่ต้องการจะย่างก้าวไปในเส้นทางของทางนำ เพื่อบรรลุสู่ความสำเร็จและความผาสุกไพบูลย์ที่แท้จริงในชีวิตนั้น นอกจากการใคร่ครวญและการทำความเข้าใจต่อคัมภีร์อัลกุรอานแล้ว จำเป็นที่เขาจะต้องศึกษาเรียนรู้และใคร่ครวญในหลักคำสอนที่มีอยู่ในคำรายงาน (ริวายะฮ์) และฮะดีษ (วจนะ) ต่างๆ ที่ตกทอดมาถึงเรา ขั้นตอนถัดไปคือ การปฏิบัติตามคำสอนต่างๆ ที่ปรากฏอยู่ในคัมภีร์อัลกุรอานและในคำรายงาน (ริวายะฮ์) เหล่านั้น
ในบทความนี้ เราจะนำเสนอฮะดีษ (วจนะ) ต่างๆ ของท่านอิมามฮะซัน อัสกะรีย์ (อ.) เป็นหลัก เราจะพยายามถ่ายทอดความหมายและคำอธิบายเนื้อหาโดยสังเขปของฮะดีษเหล่านี้
คำสอนจากจดหมายของท่านอิมาม (อ.) ที่ส่งถึงอิสหาก บันอิสมาอีล นีชาบูรีย์ (2) “บรรดาผู้ที่จะถูกทำให้ฟื้นคืนชีพขึ้นในสภาพคนตาบอด ในวันกิยามะฮ์ (ปรโลก)”
ท่านอิมามฮะซัน อัสกะรีย์ (อ.) ได้เขียนถึงเขาว่า
فَاعْلَمْ یَقِیناً یَا إِسْحَاقُ أَنَّهُ مَنْ خَرَجَ مِنْ هَذِهِ الدُّنْیَا أَعْمَى فَهُوَ فِی الْآخِرَةِ أَعْمى وَ أَضَلُّ سَبِیلًا
“โอ้อิสหาก! จงมั่นใจเถิดว่า ผู้ใดก็ตามที่ออกจากโลกนี้ไปในสภาพของคนตาบอด ดังนั้นในปรโลก เขาก็จะตาบอดและหลงทางเป็นอย่างยิ่ง”
ท่านอิมาม (อ.) ได้อธิบายคำพูดนี้ (3) โดยเขียนว่า “โอ้อิสหาก! จุดประสงค์ของคำว่า ตาบอดนั้น ไม่ได้หมายถึงดวงตาทั้งสองมองไม่เห็น แต่หมายถึงความมืดบอดของหัวใจที่อยู่ด้านใน และสิ่งนี้ก็คือความหมายของพระดำรัสของพระผู้เป็นเจ้า ที่ทรงอ้างถึงคำพูดของบรรดาผู้อธรรมที่จะกล่าวในวันพิพากษา (ในปรโลก) ว่า
رَبِّ لِمَ حَشَرْتَنِی أَعْمى وَ قَدْ كُنْتُ بَصِیراً
“โอ้พระผู้อภิบาลของข้า! ทำไมพระองค์ได้ทรงทำให้ข้าพระองค์ฟื้นคืนชีพในสภาพคนตาบอด ในขณะที่ข้าพระองค์เป็นผู้มองเห็น (ในช่วงที่มีชีวิตอยู่ในโลก)”
พระผู้เป็นเจ้า จะทรงตอบแก่เขาว่า
كَذلِكَ أَتَتْكَ آیاتُنا فَنَسِیتَها وَ كَذلِكَ الْیَوْمَ تُنْسى
“เช่นเดียวกับที่ (ในโลกนั้น) โองการต่างๆ ของเราได้มาถึงเจ้าแล้ว แต่เจ้ากลับหลงลืมไม่ใส่ใจมัน และทำนองเดียวกันนี้เองที่ในวันนี้เจ้าจึงถูกลืม” (4)
กล่าวโดยสรุปก็คือว่า ใครก็ตามที่ในโลกนี้ เขาได้ปิดตาจากคำสอนและสัญลักษณ์ต่างๆ ของศาสนา และหันหลังให้กับมันนั้น ด้วยกับการผ่านไปของกาลเวลา ตาด้านในและดวงตาที่มองเห็นธรรมของเขาจะค่อยๆ มืดบอด และสิ่งนี้จะไปสำแดงผลและก่อรูป (ตะญัซซุม) ในวันกิยามะฮ์ (ปรโลก) และบุคคลผู้นั้นจะถูกทำให้ฟื้นคืนชีพในสภาพของคนตาบอด
คำพูดหนึ่งจาก “ท่านฮายะตุลลอฮ์ญะวาดี ออมุลี” ในการอธิบายถึงความหมายนี้ ท่านอายะตุลลอฮ์ญะวาดี ออมุลี ได้กล่าวว่า : บรรดาผู้ที่ในขณะที่อยู่ในโลกนี้ เขาได้ปิดตาจากมัสยิด จากฮุซัยนียะฮ์ จากศูนย์กลางศาสนาและวัฒนธรรมอื่นๆ นั้น ดวงตาของเข้ามิได้จดจ้องสิ่งใด นอกจากความชั่วร้ายและภาพลวงต่างๆ ของความไร้ศาสนา ในวันปรโลกก็เช่นเดียวกัน ดวงตาทั้งสองของพวกเขาจะถูกห้ามจากการมองเห็นสวรรค์และภาพปรากฏต่างๆ ของความเมตตาของพระผู้เป็นเจ้า และเขาจะไม่เห็นสิ่งใด นอกจากนรกและภาพปรากฏต่างๆ ของความพิโรธของพระองค์ และนี่คือความหมายของคำว่า ตาบอดในวันกิยามะฮ์ (ปรโลก) สำหรับคนชั่ว
แต่ในทางกลับกัน บรรดาผู้ที่ปฏิบัติในทางตรงกันข้ามกับบุคคลเหล่านี้ และดวงตาของเขาไม่ได้จดจ้องไปยังสิ่งอื่นใดนอกจากคำสอนและสัญลักษณ์ต่างๆ ของศาสนา และปิดตาตัวเองจากสิ่งต้องห้าม (ฮะรอม) ของพระผู้เป็นเจ้า ในวันกิยามะฮ์ (ปรโลก) เขาจะไม่เห็นสิ่งใดนอกจากสวรรค์และความเมตตาของพระผู้เป็นเจ้า (5)
ความอัปยศอดสูและความทุกข์ยากที่ยิ่งใหญ่ที่สุดจะประสบกับคนกลุ่มใด?
ในส่วนถัดไปของจดหมายท่านอิมามฮะซัน อัสกะรี (อ.) ได้ชี้ถึงชะตากรรมของบรรดาผู้ที่เลือกปฏิบัติเกี่ยวกับกรณีของคัมภีร์อัลกุรอาน คือบรรดาผู้ซึ่งจะยอมรับบางส่วนจากคัมภีร์นี้และน้อมนำสู่การปฏิบัติเฉพาะในสิ่งที่จะสนองตอบผลประโยชน์ทางโลกนี้ของพวกเขา หรือที่ไม่ขัดแย้งกับผลประโยชน์ทางโลกของพวกเขา แต่ทว่าเขาจะแสดงออกในทางปฏิเสธ (กุฟร์) ต่อเนื้อหาและคำสั่งส่วนที่เหลือของคัมภีร์อัลกุรอาน และปฏิเสธที่จะยอมรับมันไม่ว่าอย่างเป็นทางการหรือไม่เป็นทางการก็ตาม
ท่านอิมาม (อ.) ได้เขียนโดยอาศัยเนื้อความของโองการที่ 85 ของซูเราะฮ์อัลบะกอเราะฮ์ว่า
تَكُونُونَ مِمَّنْ یُؤْمِنُ بِبَعْضِ الْكِتَابِ وَ یَكْفُرُ بِبَعْض فَما جَزاءُ مَنْ یَفْعَلُ ذلِكَ مِنْكُمْ وَ مِنْ غَیْرِكُمْ إِلَّا خِزْیٌ فِی الْحَیاةِ الدُّنْیا وَ طُولُ عَذَابٍ فِی الْآخِرَةِ الْبَاقِیَةِ وَ ذَلِكَ وَ اللَّهِ الْخِزْیُ الْعَظِیم
“(หรือ) พวกท่านจะเป็นส่วนหนึ่งจากผู้ที่ศรัทธาแต่เพียงบางส่วนของคัมภีร์และปฏิเสธอีกบางส่วน ดังนั้นสิ่งตอบแทนแก่ผู้กระทำเช่นนั้นจากพวกเจ้าและบุคคลอื่นจากพวกเจ้าจึงมิใช่อะไรอื่น นอกจากความอัปยศอดสูในชีวิตทางโลกนี้เท่านั้น และความยาวนานของการลงโทษในปรโลกอันยั่งยืน ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ นั่นคือความอัปยศอดสูที่ใหญ่หลวงยิ่งนัก”
คำอธิบาย :
ตัวอย่างที่ชัดเจนของคนเหล่านี้ ก็คือบรรดาผู้ที่กล่าวอ้างตนเองว่าเป็นผู้ยึดมั่นในศาสนาและต่อคัมภีร์อัลกุรอาน แต่กลับต่อต้านบทบัญญัติที่ชัดเจนบางประการของคัมภีร์อัลกุรอาน ตัวอย่างเช่น หลักการกิซ็อซ (การประหารชีวิตให้ตายติดตามกันไป) การคลุมฮิญาบและข้อบัญญัติอื่นๆ ที่ไม่สบอารมณ์และความต้องการของพวกเขา พวกเขาจะยืนกรานคัดค้านและปฏิเสธที่จะยอมรับสิ่งเหล่านี้ (6) และท้ายที่สุด ก็จะพยายามอ้างเหตุผลต่างๆ นานา เพื่อทำให้บทบัญญัติต่างๆ ของคัมภีร์อัลกุรอาน เป็นไปตามความต้องการของพวกเขา อย่างเช่น ไม่เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ หรือเวลาและยุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้ว และอื่นๆ ในทำนองนี้
ข้อเท็จจริงและปรัชญาของคำสั่งต่างๆ ของพระผู้เป็นเจ้า
ท่านอิมามฮะซัน อัสกะรีย์ (อ.) ได้เขียนต่อไปอีกว่า
اِنَّ اللَّهَ بِمَنِّهِ وَ رَحْمَتِهِ لَمَّا فَرَضَ عَلَیْكُمُ الْفَرَائِضَ لَمْ یَفْرِضْ ذَلِكَ عَلَیْكُمْ لِحَاجَةٍ مِنْهُ إِلَیْكُمْ
“แท้จริงด้วยพระมหากรุณาธิคุณและความเมตตาของอัลลอฮ์ เมื่อพระองค์ได้ทรงกำหนดหน้าที่บังคับทั้งหลายต่อพวกท่านนั้น พระองค์ไม่กำหนดบังคับสิ่งนั้น เนื่องจากพระองค์มีความต้องการมันต่อพวกท่าน”
จากนั้น ท่านกล่าวว่า بَلْ بِرَحْمَةٍ مِنْهُ “แต่นั่นเป็นความเมตตาหนึ่งจากพระองค์”
คำอธิบาย :
ความเมตตาของคำสั่งใช้และข้อห้ามต่างๆ ของพระผู้เป็นเจ้านั้น จะเห็นได้อย่างชัดเจนจากประเด็นที่ว่า ด้วยกับการระวังรักษาคำสั่งเหล่านี้ จะช่วยให้มนุษย์ทุกคนสามารถไปถึงยังความสำเร็จและความผาสุกไพบูลย์ (ซะอาดะฮ์) ในโลกนี้และในปรโลกได้ และหากไม่มีแบบแผนและข้อกำหนดเหล่านี้ที่เราเรียกว่า “ศาสนา” (ดีน) แล้ว มนุษยชาติจะอยู่ในความหลงทางตลอดไป และจะไม่กับความความสำเร็จและความผาสุกไพบูลย์ (ซะอาดะฮ์) ได้เลย
ต่อจากนั้นท่านอิมาม (อ.) ได้ชี้ถึงเหตุผลและปรัชญาของบทบัญญัติเหล่านี้ โดยกล่าวว่า
لِیَمِیزَ الْخَبِیثَ مِنَ الطَّیِّبِ وَ لِیَبْتَلِیَ ما فِی صُدُورِكُمْ وَ لِیُمَحِّصَ ما فِی قُلُوبِكُمْ
“(พระผู้เป็นเจ้าทรงกำหนดให้การปฏิบัติตามบทบัญญัติเหล่านี้เป็นหน้าที่บังคับ) เพื่อที่พระองค์จะทรงจำแนกคนเลวออกจากคนดี และเพื่อที่พระองค์จะทรงทดสอบสิ่งที่อยู่ในหัวอกของพวกท่าน และเพื่อที่พระองค์จะทรงชำระสิ่งที่อยู่ในหัวใจของพวกท่านให้บริสุทธิ์”
لِتُسَابِقُوا إِلَى رَحْمَةِ اللَّهِ وَ لِتَتَفَاضَلَ مَنَازِلُكُمْ فِی جَنَّتِه
“เพื่อพวกท่านจะได้แข่งขันกันไปสู่ความเมตตาของอัลลอฮ์ และเพื่อที่ฐานันดรต่างๆ ของพวกท่านในสวรรค์จะได้ประเสริฐกว่า (ผู้อื่น)”
เชิงอรรถ :
[1] ดูเพิ่มเติมในช่วงต้นของหนังสือ “ญามิอุ อะฮาดีษุชชีอะฮ์” อายะตุลลอฮ์บุรูญัรดี (ร.ฮ.) เล่มที่ 1
[2] เขาเป็นหนึ่งในสาวกที่เชื่อถือได้ของท่านอิมามฮะซัน อัสกะรี (อ.) ที่อยู่ในเมืองนีชาบูร เขาเป็นผู้หนึ่งที่จดหมายลงลายเซ็น (เตาเกี๊ยะอ์) ต่างๆ ของท่านอิมาม (อ.) จะถูกส่งไปยังเขา จดหมายฉบับนี้มีบันทึกอยู่ในหนังสือ “ริญาล อัลกัชชีย์” (อิคติยาร มะอ์ริฟะตุรริญาล) หน้าที่ 575 และ “ตุหะฟุลอุกูล” หน้าที่ 484
[3] ท่านอิมาม (อ.) ได้กล่าวคำพูดประโยคนี้ โดยสรุปความจากโองการที่ 72 ของอัลกุรอานบทอัลอิสรออ์ และอธิบายโดยใช้โองการที่ 46 ของอัลกุรอานบทอัลฮัจญ์
[4] อัลกุรอานบทฏอฮา โองการที่ 125-126
[5] บทเรียนตัฟซีรของท่าน
[6] ในช่วงเริ่มต้นของการปฏิวัติอิสลามแห่งอิหร่านนั้น กลุ่มชาตินิยม ได้กล่าวหากฎหมายเกี่ยวกับกิซ๊อซ (การประหารชีวิตให้ตายติดตามกันไป) ว่าขัดแย้งต่อหลักมนุษยธรรม และพวกเขาได้เรียกร้องเชิญชวนประชาชนให้ชุมนุมประท้วงต่อต้านสิ่งนี้ ดูจาก “ซ่อฮีเฟเย่ อิมาม” เล่มที่ 14 หน้าที่ 448
ที่มา : เว็บไซต์ติบยาน