ไทยแลนด์
Saturday 23rd of November 2024
0
نفر 0

การสร้างมหาวิหาร (Holy Temple) ในกรุงเยรูซาเล็ม

คริสต์ศาสนาถูกแบ่งออกเป็น 3 สาขา (หรือสามนิกาย) หลักที่แยกจากกันและมีความขัดแย้งกันโดยสิ้นเชิง อันได้แก่คริสตจักรคาทอลิกแห่งกรุงโรม ออร์โธด็อกซ์และโปรเตสแตนต์ บรรดาประเทศในทวีปยุโรปตอนใต้และละตินอเมริกาส่วนใหญ่เป็นคาทอลิก บรรดาประเทศในทวีปยุโรปตอนเหนือและสหรัฐอเมริกาจะเป็นชาวโปรเตสแตนต์และผู้นับถือนิกายออร์โธดอกซ์จะอยู่ในยุโรปตะวันออก (1)

     ทั้งสามคริสตจักรนี้ในด้านความเชื่อทางศาสนาและในพิธีกรรมต่างๆ เกี่ยวกับการเคารพภักดีพระเจ้านั้น แยกออกจากกันอย่างชัดเจน และจะปฏิบัติเหมือนกับว่าเป็นคนละศาสนา และแม้แต่คัมภีร์ไบเบิลของโปรเตสแตนต์ก็มีความแตกต่างอย่างมากกับคัมภีร์ ไบเบิลของคาทอลิก

     ในช่วงห้าศตวรรษที่ผ่านมาคริสตจักรคาทอลิกและคริสตจักรโปรเตสแตนต์ได้ต่อสู้กัน โดยสงครามส่วนใหญ่ในช่วงศตวรรษที่สิบเจ็ดและสิบแปดเกิดจากเป้าหมายและแรงบันดาลใจของนิกายคาทอลิกและนิกายโปรเตสแตนต์ ซึ่งตัวอย่างที่ยังคงพบเห็นอยู่ในโลกปัจจุบันคือความขัดแย้งอย่างถาวรระหว่างสาวกคริสตจักรคาทอลิกและโปรเตสแตนต์ที่อยู่ในไอร์แลนด์เหนือ

     จนถึงขณะนี้มีกลุ่มและโบสถ์มากกว่า 1,000 แห่งเกิดขึ้นภายในนิกายโปรเตสแตนต์และจำนวนของกลุ่มใหม่ๆ ในนิกายโปรเตสแตนต์ยังคงมีเพิ่มขึ้น และสหรัฐอเมริกาเป็นศูนย์กลางในการผลิตกลุ่มความเชื่อใหม่ๆ ในนิกายโปรเตสแตนต์

     ลักษณะพิเศษประการหนึ่งของคริสตจักรโปรเตสแตนต์ คือ การมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับรัฐบาลทั้งหลายของยุโรป และรัฐบาลเหล่านี้เพื่อที่จะแผ่ขยายศาสนาคริสต์นิกายโปรเตสแตนต์ในกลุ่มประเทศโลกที่สาม พวกเขาให้การสนับสนุนอย่างกว้างขวางในด้านการเงิน การเผยแพร่ต่างๆ และด้านการเมืองแก่กลุ่มมิชชันนารีของตนเอง ตัวอย่างเช่นในประเทศอังกฤษนั้น รัฐบาลและคริสตจักรโปรเตสแตนต์ไม่ได้แยกออกจากกัน และสมเด็จพระราชินีของอังกฤษได้ตั้งอยู่ในส่วนยอดของรัฐและคริสตจักร
ผู้เผยแพร่พระกิตติคุณ (Evangelists)

     ในช่วงหนึ่งศตวรรษที่ผ่านมา กระแสใหม่ซึ่งกลายเป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลอย่างสูงในหมู่ชาวโปรเตสแตนต์ นั่นคือสำนักคิดใหม่ที่เรียกว่า “พระกิตติคุณ” (Gospels) (ข่าวประเสริฐ) (2) ก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง สำนักคิดที่เกิดขึ้นใหม่นี้เป็นที่รู้จักในนาม “ลัทธิการนับถือหลักการเดิม” (Fundamentalism) และมีอิทธิพลอย่างมากมายในสังคมอเมริกา

     หลังจากสงครามโลกครั้งที่สอง บรรดาผู้ยึดถือหลักการเดิม (Fundamentalism) ชาวอเมริกันแนะนำตัวเองว่าเป็น “ผู้เผยแพร่คำสอนของพระเยซู” (Evangelists) และโดยอาศัยการใช้งานที่กว้างขวางของสื่อสารมวลชนพวกเขาสามารถมีอิทธิพลอย่างมากต่อสังคมอเมริกัน และในปัจจุบันกลุ่มนี้เป็นองค์กรทางศาสนาที่มีอำนาจมากที่สุดและแข็งขันที่สุดในสหรัฐอเมริกาและมีอิทธิพลอย่างมากในศูนย์กลางทางการเมืองของประเทศนี้  หนึ่งในลักษณะเฉพาะของกลุ่มนี้คือไม่ขึ้นอยู่กับนิกายหนึ่งหรือคริสตจักรโปรเตสแตนต์ แต่สมาชิกของนิกายทั้งหมดของคริสตจักรโปรเตสแตนต์จะเป็นสมาชิกของกลุ่มทางศาสนานี้ หนึ่งในเป้าหมายของกลุ่มนี้คือการทำให้ผู้ที่ไม่ใช่คริสเตียนหันมานับถือศาสนาคริสต์ โดยอาศัยโฆษณาชวนเชื่อขนาดใหญ่

นักบวชชาวอเมริกันชื่อดังอย่างเช่น บิลลี เกรแฮม (3) เจอร์รี ฟาลเวลล์ (4)  แพท โรเบิร์ตสัน (5) ฮัล ลินด์ซี่ย์ (6) ไมค์อีแวนส์ (7) และจอร์จ แครี่ (8) อาร์คบิชอปแห่งคริสตจักรแห่งอังกฤษ เป็นผู้เผยแพร่ (นักโฆษณาชวนเชื่อ) ของกลุ่มความเชื่อนี้ที่มีชื่อเสียงระดับโลก โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกาและอังกฤษพวกเขามีอิทธิพลอย่างมากในหมู่นักการเมืองของทั้งสองประเทศนี้
สำนักคิดที่เกิดขึ้นใหม่ “คริสเตียนไซออนิสต์”

     หลักการและพื้นฐานของกลุ่มผู้ประกาศคำสอนพระกิตติคุณในสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ คือการสนับสนุนทางด้านอุดมการณ์และการเมืองอย่างเต็มที่ต่อลัทธิไซออนิสต์ และพวกเขาเชื่อว่าเพื่อการปรากฏตัวของพระคริสต์สาวกของคริสตจักรโปรเตสแตนต์จำเป็นจะต้องทำให้ความต้องการบางประการของพระคริสต์เป็นจริงในการตีความพระคัมภีร์ไบเบิลในศตวรรษที่ยี่สิบในฐานะคำพยากรณ์ของพระคัมภีร์ไบเบิล กลุ่มความเชื่อที่เกิดขึ้นใหม่ในนิกายโปรเตสแตนต์นี้เป็นที่รู้จักกันดีในนาม "คริสเตียนไซออนิสต์" (9)  กลุ่มคริสเตียนไซออนิสต์นี้เป็นปรากฏการณ์ทางทางศาสนาและทางการเมืองใหม่ในคริสต์ศาสนาที่เกิดขึ้นโดยคริสตจักรอังกฤษในช่วงปลายศตวรรษที่สิบเก้า (10) ชาวโปรเตสแตนต์ที่พำนักอาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกาและอังกฤษยังเรียกกระแสความเชื่อที่เกิดขึ้นใหม่นี้ว่า "การทำให้พระประสงค์ต่างๆ ของพระคริสต์เป็นจริง" และ "การทำให้คำพยากรณ์ของพระกิตติคุณเป็นความจริง"

     ในเรื่องนี้ในช่วงปลายศตวรรษที่สิบเก้า สอดคล้องกับแนวความคิดใหม่ของ จอห์น เนลสัน ดาร์บี ( 11) ชาวอังกฤษ นักอธิบาย (ตีความ) พระคัมภีร์ไบเบิลผู้มีชื่อเสียงของสหรัฐอเมริกา ชื่อ “ซี. ไอ. สโคฟิลด์” (12) ได้เขียนหนังสืออรรถาธิบาย (ตีความ) พระคัมภีร์ไบเบิล และคำอธิบายพระคัมภีร์ของเขาในปัจจุบันถูกนับว่าเป็นหนังสืออรรถาธิบายพระคัมภีร์ไบเบิลที่มีชื่อเสียงที่สุดสำหรับชาวโปรเตสแตนต์ทั่วโลก และถูกรู้จักว่าเป็นแหล่งอ้างอิงที่ดีที่สุดสำหรับคัมภีร์ไบเบิล

      บรรดาผู้ปฏิบัติตามสำนักคิดนี้ถือว่าตนเองเป็นส่วนหนึ่งจาก ผู้เผยแพร่คัมภีร์ไบเบิล (Evangelists) และพวกเขาเชื่อว่าบรรดาผู้ปฏิบัติตามสำนักคิดนี้เป็นชาวคริสต์ที่เกิดใหม่เป็นครั้งที่สอง โดยที่พวกเหล่านี้เท่านั้นที่จะเป็นผู้รอดพ้น ส่วนบุคคลอื่นๆ จะพบกับความพินาศ ลักษณะเด่นเป็นพิเศษประการหนึ่งของบรรดาผู้ปฏิบัติตามสำนักคิดนี้ คือการมีความเชื่อที่มั่นคงเหนียวแน่น และมีความคลั่งไคล้เป็นพิเศษต่อลัทธิไซออนิสต์ และความคลั่งไคล้ของคริสเตียนกลุ่มนี้ที่มีต่อลัทธิไซออนิสต์ มีมากเสียยิ่งกว่าชาวยิวไซออนิสต์ที่พำนักอยู่ในอิสราเอลและในอเมริกาเสียอีก

       ตามความเชื่อต่างๆ ของสำนักคิดข้างต้นในทัศนะของชาวโปรเตสแตนต์ จำเป็นจะต้องมีเหตุการณ์ต่างๆ เกิดขึ้นเพื่อที่ว่าพระคริสต์จะมาปรากฏตัวอีกครั้งหนึ่ง และบรรดาสาวกของสำนักคิดนี้มีหน้าที่ทางศาสนาที่จะต้องพยายามในการเร่งให้เหตุการณ์เหล่านี้เป็นจริงขึ้นมา เหตุการณ์หรือกิจกรรมต่างๆ ที่จำเป็นจะต้องถูกปฏิบัติให้เกิดขึ้นจริงด้วยมือพวกเขามีดังต่อไปนี้ :

      1.ชาวยิวจากทั่วโลกจะต้องถูกนำกลับไปยังปาเลสไตน์ และประเทศอิสราเอลจะต้องถูกสถาปนาขึ้นในอาณาเขตที่มีความกว้างจากแม่น้ำไนล์ไปจรดยังแม่น้ำยูเฟรตีส และบรรดาชาวยิวที่อพยพไปอยู่ในอิสราเอลนั้นจะเป็นผู้ได้รับความรอดพ้น

      2.ชาวยิวจำเป็นจะต้องทำลายมัสยิดทั้งสองแห่ง คือ “มัสยิดอัลอักซอ” และ “มัสยิดกุบบะตุซซ็อคเราะฮ์” (Dome of the rock) ที่อยู่ในบัยตุลมักดิส (กรุงเยรูซาเล็ม) และพวกเขาจะต้องสร้างมหาวิหาร (Holy Temple) ขึ้นมาแทนที่สองมัสยิดอันศักดิ์สิทธิ์ของชาวมุสลิมนี้ (จวบจนถึงขณะนี้ทั้งมัสยิดอัลอักซอและมัสยิดอัซซ็อคเราะฮ์ซึ่งตั้งอยู่ในบัยตุลมักดิส (กรุงเยรูซาเล็ม) นั้น ตกเป็นเป้าโจมตีของชาวยิวและคริสเตียนไซออนิสต์มาแล้วไม่น้อยกว่าร้อยครั้ง)

     3.วันที่ชาวยิวสามารถทำลายมัสยิดอัลอักซอและมัสยิดอัซซ็อคเราะฮ์ในบัยตุลมักดิส (กรุงเยรูซาเล็ม) ลงสำเร็จ สงครามศักดิ์สิทธิ์ครั้งสุดท้ายแห่งอาร์มาเกดดอน (Armageddon) ก็จะเริ่มต้นขึ้นโดยการนำของอเมริกาและอังกฤษ ในสงครามครั้งนี้ โลกทั้งหมดจะถูกทำลายล้างลง

     4.วันที่สงครามอาร์มาเกดดอนจะเริ่มต้นขึ้น บรรดาชาวคริสต์ทั้งหมดที่ปฏิบัติตามความเชื่อที่ว่า “จำเป็นจะต้องทำให้ความต้องต่างๆ การของพระคริสต์เป็นจริงขึ้นมา" โดยที่บรรดาชาวคริสต์กลุ่มนี้จะเป็นผู้เกิดใหม่เป็นครั้งที่สอง พวกเขาจะพบกับพระคริสต์และจะถูกนำตัวไปจากโลกนี้มุ่งสู่สวรรค์โดยเรือขนาดใหญ่ จากที่นั่นพวกเขาจะนั่งชมการถูกทำลายของโลกและการลงโทษที่รุนแรงในสงครามศักดิ์สิทธิ์ครั้งนี้ร่วมกับพระคริสต์

      5.ในสงครามอาร์มาเกดดอนนี้ ในช่วงเวลาที่ผู้ต่อต้านพระเยซูคริสต์คริสต์ (Antichrist / ดัจญาล) กำลังจะบรรลุสู่ชัยชนะ พระเยซูคริสต์พร้อมด้วยชาวคริสต์ที่ถือกำเนิดขึ้นใหม่จะมาปรากฏตัวในโลกนี้ และจะทำให้ผู้ต่อต้านพระคริสต์ (แอนตี้ไครสต์) ต้องพ่ายแพ้ในช่วงท้ายของสงครามศักดิ์สิทธิ์นี้ และจะสถาปนารัฐบาลโลกขึ้นโดยมีศูนย์กลางอยู่ที่บัยตุลมักดิส (กรุงเยรูซาเล็ม) และวิหารหนึ่งจะถูกสร้างขึ้นมาแทนที่มัสยิดอัลอักซอและมัสยิดอัซซ็อคเราะฮ์ในบัยตุ้ลมักดิส (กรุงเยรูซาเล็ม) โดยมือชาวคริสต์และชาวยิว ก่อนที่สงครามอาร์มาเกดดอน (Armageddon) จะเริ่มขึ้น วิหารแห่งนี้จะเป็นสถานที่บัญชาการรัฐบาลโลกของพระเยซูคริสต์

    รัฐไซออนิสต์ของอิสราเอลจะทำลายมัสยิดอัลอักซอและมัสยิดกุบบะตุซซ็อคเราะฮ์ ในบัยตุ้ลมักดิส (กรุงเยรูซาเล็ม) โดยการช่วยเหลือของอเมริกาและอังกฤษ และมหาวิหาร (Holy Temple) จะถูกสร้างขึ้นในสถานที่นี้ด้วยมือพวกเขา และภารกิจอันศักดิ์สิทธิ์นี้เป็นความรับผิดชอบของพวกเขา
    เหตุการณ์นี้จะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอนหลังจากปี ค.ศ. 2000
    ก่อนการเกิดขึ้นของสงครามอาร์มาเกดดอนนั้น ความหวาดผวาและความสะพรึงกลัวจะปกคลุมไปทั่วสังคมของสหรัฐอเมริกาและยุโรป
    ก่อนการมาปรากฏตัวอีกครั้งของพระเยซูนั้น สันติภาพในโลกจะยังไม่บังเกิดขึ้น บรรดาชาวคริสต์เพื่อที่จะช่วยเร่งการมาปรากฏตัวของพระเยซู จำเป็นที่พวกเขาจะต้องเตรียมการขั้นพื้นฐานต่างๆ สำหรับสงครามอาร์มาเกดดอนและการทำลายล้างโลก

      บรรดาผู้นำทางศาสนาของนิกายโปรเตสแตนต์ในสหรัฐอเมริกาและอังกฤษที่เชื่อในสำนักคิด "พระประสงค์ของพระคริสต์" ที่เกิดใหม่นี้ ในทศวรรษที่ 1990 พวกเขาเผยแพร่ความเชื่อดังกล่าวอย่างจริงจังในสังคมอเมริกาและยุโรปและในช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมาในสหรัฐอเมริกามีการตีพิมพ์หนังสือหลายสิบเล่มเกี่ยวกับเรื่องนี้และมีการนำเสนอในรูปของภาพยนตร์ต่างๆ

      ในช่วงต้นปี 2001 นักบวชชาวอเมริกันชื่อ ฮัล ลินด์ซี่ย์ (13) ซึ่งเป็นนักเผยแพร่ของสำนักคิดนี้ เขียนหนังสือชื่อ "ในคำพยากรณ์ต่างๆ ของไบเบิล ที่ของอเมริกาอยู่ที่ไหน" ซึ่งเป็นหนังสือที่มียอดขายมากที่สุดเล่มหนึ่งในสหรัฐอเมริกาในปี 2001 ในหนังสือเล่มนี้จะอธิบายถึงบทบาทของรัฐบาลวอชิงตันในสงครามอาร์มาเกดดอน  ผู้เขียนพิสูจน์ในหนังสือเล่มนี้ว่า รัฐบาลอเมริกันจะชี้นำสงครามอาร์มาเกดดอน  และจะทำให้บรรดาผู้ต่อต้านพระคริสต์ในทั่วโลกซึ่งเป็นเหตุทำให้เกิดความกลัวและความหวาดผวาขึ้นในโลกก่อนการเริ่มสงครามนี้ต้องพ่ายแพ้

     ในสงครามศักดิ์สิทธิ์นี้ รัฐบาลอังกฤษจะเป็นผู้ร่วมงานของสหรัฐอเมริกา

     ในช่วงจุดสูงสุดของสงครามเย็น รัฐบาลสหรัฐฯ เรียกขีปนาวุธนิวเคลียร์ข้ามทวีปของตนเองว่า "ดาบแห่งสงครามศักดิ์สิทธิ์"

      บรรดาผู้ปฏิบัติตามสำนักคิดนี้ ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา พวกเขาเผยแพร่ว่า ปฏิบัติการพายุทะเลทราย (Operation Desert Storm) ที่กระทำกับอิรักในปี 1991คือการเตรียมพื้นฐานสำหรับสงครามอาร์มาเกดดอน

      คริสเตียนไซโอนิสต์จากนิกายโปรเตสแตนต์ในสหรัฐอเมริกาและอังกฤษเชื่อว่าพระคริสต์จะแทรกแซงกิจการต่างๆ ในตะวันออกกลางเพื่อประโยชน์ของอิสราเอลเสมอ และพวกเขาประกาศว่า ความต้องการของรัฐบาลอิสราเอลในความเป็นจริงแล้วก็คือพระประสงค์ของพระคริสต์ และการเจรจาสันติภาพในตะวันออกกลางนั้นเป็นเรื่องไร้ประโยชน์ และการก่อตั้งมหานครอิสราเอลจากแม่น้ำไนล์จรดแม่น้ำยูเฟรติสคือพระประสงค์ของพระคริสต์ซึ่งจะได้รับการดำเนินการในไม่ช้า

      ชาวยิวไซออนิสต์ก็มีความเชื่อมั่นต่อสำนักคิด “พระประสงค์ของพระเจ้า” สอดคล้องกับความเชื่อในคัมภีร์ "ตัลมูด" ของพวกเขา และตามความเชื่อนี้พวกเขาจะดำเนินแผนการหนึ่งซึ่งด้วยกับการช่วยเหลือของรัฐบาลสหรัฐฯ และอังกฤษและประเทศตะวันตกอื่นๆ จะทำให้พวกเขาสามารถทำลายสองมัสยิดศักดิ์สิทธิ์ คือมัสยิดอัลอักซอและมัสยิดกุบะตุซซุคเราะฮ์ (Dome of the Rock) ในบัยตุลมักดิส (เยรูซาเล็ม) ได้ และด้วยกับการถูกทำลายลงอย่างสมบูรณ์ของประเทศอิสลามทั้งหลายพวกเขาจะสร้างมหานครอิสราเอล (Greater Israel) ขึ้นมา ด้วยเหตุนี้เองในระหว่างชาวยิวไซออนิสต์และคริสเตียนไซออนิสต์จากนิกายโปรเตสแตนต์จึงมีความสามัคคีและความร่วมมือกันอย่างสมบูรณ์ และคริสเตียนที่ปฏิบัติตามความเชื่อ  "พระประสงค์ของพระคริสต์" นั้นจะยืนยันอยู่เสมอว่า ทุกๆ การกระทำที่เกิดขึ้นโดยรัฐบาลของอิสราเอลในความเป็นจริงแล้ว ถูกวางแผนไว้โดยพระเยซูคริสต์ และจำเป็นจะต้องได้รับการสนับสนุนจากคริสเตียนทั่วโลก

      ด้วยกับการสนับสนุนอย่างเต็มรูปแบบของโลกคริสเตียนตะวันตกที่มีต่อเทลอาวีฟ ขณะนี้คลังอาวุธขนาดใหญ่ของขีปนาวุธนิวเคลียร์ อาวุธเคมีและอาวุธเชื้อโรคทุกชนิดอยู่ในอิสราเอล และในความเป็นจริงแล้วพวกเขาได้เปลี่ยนรัฐเถื่อนไซออนิสต์ให้กลายเป็น "คลังอาวุธและกองบัญชาการกองทัพของโลกคริสเตียนของสหรัฐฯและตะวันตก" ไปแล้ว

      แน่นอนเป้าหมายทางยุทธศาสตร์ของโลกคริสเตียนตะวันตกก็คือการทำให้ประเทศอิสลามทั้งหลายในด้านเศรษฐกิจและการทหารนั้นจะตกอยู่ในสภาพที่อ่อนแอตลอดไป
คริสเตียนไซออนิสต์ในสหรัฐอเมริกา

      ในความเป็นจริงแล้วบรรดาผู้นำทางศาสนาและการเมืองของโปรเตสแตนต์ของอังกฤษและสหรัฐอเมริกาเป็นผู้ก่อตั้งหลักของลัทธิไซออนิสต์ หลังจากที่ "จอห์น เนลสัน ดาร์บี"  นักบวชผู้มีชื่อเสียงของคริสตจักรอังกฤษได้เผยแพร่อุดมการณ์คริสเตียนไซออนิสต์เป็นครั้งแรกในนาม "การทำให้พระประสงค์ของพระคริสต์เป็นจริง" และการบรรลุความเป็นจริงของคำทำนายของพระกิตติคุณ  สองนักบวชที่โดดเด่นของโปรเตสแตนต์ซึ่งพำนักอยู่ในสหรัฐอเมริกาชื่อ "ดี.แอล.มูดดี้" (14) และวิลเลียม อี. แบล็คสโตน (15) ได้เผยแพร่ลัทธิคริสเตียนไซโอนิสต์ในประเทศนี้

     ในทศวรรษ 1880 แบล็คสโตนเพื่อที่จะอพยพชาวยิวจากทั่วทุกมุมโลกไปยังดินแดนปาเลสไตน์ พบปะกับบรรดาผู้นำทางการเมืองและศาสนาและนายทุนคริสเตียนรายใหญ่ ๆ ในสหรัฐฯ และโน้มน้าวพวกเขาให้ร้องขอต่อรัฐบาลวอชิงตัน จัดตั้งรัฐอิสราเอลขึ้นในปาเลสไตน์

     ในปี 1891 วิลเลียม อี.แบล็คสโตน ส่งจดหมายฉบับหนึ่งถึง “เบนจามิน แฮร์ริสัน” (16) ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาในขณะนั้น ซึ่งต่อมาจดหมายดังกล่าวถูกรู้จักในนาม "จดหมายของแบล็คสโตน"  ในจดหมายฉบับนี้ จำนวน 413 คนจากบรรดาผู้นำระดับสูงของทางการเมือง ศาสนาและนายทุนใหญ่ของสหรัฐอเมริกาในเวลานั้น ร้องขอรัฐบาลวอชิงตันให้ทำหน้าที่แห่งพระเจ้าและแห่งชาติของตนและสร้างประเทศหนึ่งสำหรับชาวยิวขึ้นในปาเลสไตน์ และเพื่อการกลับสู่ปาเลสไตน์ของชาวยิวนั้นรัฐบาลสหรัฐฯ จำเป็นต้องมอบการช่วยเหลือทางด้านการเงิน การเมืองและทางทหารของตนให้แก่ขบวนการไซออนิสต์ จดหมายฉบับนี้แม้แต่พระคาร์ดินัล กิบบอน (17) อาร์คบิชอปคริสตจักรคาทอลิกของสหรัฐอเมริกาในขณะนั้นก็ลงนามด้วย

      นักบวช (ศิษยาภิบาล) “วิลเลียม อี.แบล็คสโตน”  กลายเป็นที่รู้จักในฐานะ "บิดาของคริสเตียนไซออนิสต์ในสหรัฐอเมริกา" หลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว "ยิวไซออนิสต์" ได้เข้มแข็งขึ้น และด้วยการส่งเสริมและการสนับสนุนจากบรรดาผู้นำทางการเมืองและศาสนาคริสต์จากอังกฤษและสหรัฐอเมริกา ในปี 1897 พวกเขาจัดการประชุมชาวยิวไซออนิสต์ครั้งแรกขึ้นในเมืองบาเซิล ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ภายใต้การนำของธีโอดอร์ เฮิร์ซล์ (18)  และประกาศเป้าหมายของพวกเขาในการก่อตั้งประเทศอิสราเอลในปาเลสไตน์

      ในปี 1908 แบล็คสโตน ได้เขียนหนังสือเล่มหนึ่ง ชื่อ " Jesus Is Coming” (พระเยซูกำลังจะมา) ในหนังสือเล่มนี้ผู้เขียนให้คำมั่นสัญญากับคริสเตียนของโลกว่า ในปีที่รัฐไซออนิสต์ของอิสราเอลถูกก่อตั้งขึ้นในปาเลสไตน์ พระเยซูคริสต์จะกลับมาปรากฏตัวอีกครั้งเพื่อที่จะบรรลุสู่เป้าหมายนี้ รัฐบาลอังกฤษจึงทำให้จักรวรรดิออตโตมันเติร์กล่มสลายด้วยการรุกรานต่างๆ ทางด้านวัฒนธรรมและทางทหาร และในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่งกองทัพของอังกฤษเข้ายึดดินแดนปาเลสไตน์  ในปี 1917 อาเธอร์ เจมส์ บัลโฟร์ (19) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศของอังกฤษให้คำมั่นสัญญาในแถลงการณ์ฉบับหนึ่ง (ซึ่งต่อมาเป็นที่รู้จักในนาม “คำประกาศของบัลโฟร์ (Balfour Declaration)“) ว่า รัฐบาลกรุงลอนดอนจะช่วยชาวยิวทั่วโลกให้อพยพไปยังปาเลสไตน์และจะจัดตั้งรัฐอิสราเอลขึ้นในปาเลสไตน์
โปรเตสแตนต์ทำหน้าที่รับใช้ลัทธิไซออนิสต์

      ในปี 1809 ในกรุงลอนดอน คริสตจักรของอังกฤษก่อตั้งชุมชนบริการของคริสตจักรสำหรับชาวยิวโดยมีเป้าหมายดังนี้ :

    การเผยแพร่รากฐานต่างๆ ในความเป็นยิวของศาสนาคริสต์ในหมู่คริสเตียนของโลก
    ความพยายามเพื่อการอพยพชาวยิวจากทั่วโลกไปยังดินแดนปาเลสไตน์และการจัดตั้งประเทศที่เรียกว่ารัฐอิสราเอลในปาเลสไตน์

      สถาบันโปรเตสแตนต์อีกแห่งหนึ่งที่ดำเนินการอย่างจริงจังในการอพยพชาวยิวไปยังปาเลสไตน์ คือ "สถานทูตคริสเตียนนานาชาติแห่งกรุงเยรูซาเล็ม (ICEJ)"  (20) คริสตจักรโปรเตสแตนต์ทั้งหมดเป็นสมาชิกของสถาบันนี้ และให้การช่วยเหลือทางการเงินจำนวนมากแก่ชาวยิวและรัฐบาลอิสราเอลในการอพยพชาวยิวไปยังปาเลสไตน์

      สถาบันอื่นๆ ของโปรเตสแตนต์ที่ร่วมดำเนินการเคลื่อนไหวอย่างจริงจังในการอพยพชาวยิวไปยังปาเลสไตน์ ได้แก่ :

    เพื่อนคริสเตียนของอิสราเอล (Christian Friends of Israel / CFI)
    เพื่อนคริสเตียนสวดภาวนาให้อิสราเอล (Prayer For Israel / PFI)
    สะพานแห่งสันติภาพ (Bridges For Peace / BFP)

      ด้วยการรับความช่วยเหลือทางการเงินจากรัฐบาลคริสเตียนของสหรัฐฯ และยุโรปและคริสเตียนจากทั่วโลก สถาบันเหล่านี้จะเป็นผู้จ่ายค่าใช้จ่ายในการอพยพชาวยิวไปยังดินแดนปาเลสไตน์ที่ถูกยึดครอง

     โครงการปัจจุบันของสถาบันเหล่านี้คือการอพยพชาวยิวมากกว่าหนึ่งล้านคนจากประเทศต่างๆโดยเฉพาะจากสหภาพโซเวียตและยุโรปตะวันออกไปยังปาเลสไตน์และเมื่อไม่นานมานี้นายกรัฐมนตรีอิสราเอลประกาศอย่างเป็นทางการถึงแผนดำเนินการตามแผนการดังกล่าว

     ตามความเชื่อของคริสเตียนไซออนิสต์ หลังจากปี 2000 และก่อนปี 2007 ชาวยิวในปาเลสไตน์จำเป็นจะต้องทำลายมัสยิดอัลอักซอและมัสยิดอัซซ็อคเราะฮ์ และสร้างมหาวิหารขึ้นมาแทนที่มัน  วันที่ชาวยิวทำลายมัสยิดอัลอักซอและมัสยิดกุบบะตุซซ็อคเราะฮ์ในบัยตุลมักดิส (กรุงเยรูซาเล็ม) ลง สงครามอาร์มาเกดดอนจะเริ่มต้นขึ้น ในเรื่องนี้บรรดาผู้นำและนักเขียนที่ปฏิบัติตามสำนักคิดคริสเตียนไซออนิสต์ได้ตีพิมพ์หนังสือหลายเล่มและตั้งชื่อมันว่า "Armageddon Books" หัวข้อต่างๆ ของหนังสือเหล่านี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับการทำลายมัสยิดอัลอักซอและมัสยิดกุบะตุซซุคเราะฮ์ (Dome of the Rock) และการสร้างมหาวิหารขึ้นมาแทนที่มัน หนังสือเหล่านั้นได้แก่ :

    สมรภูมิเพื่อเยรูซาเล็ม, จอห์น แฮจี้ (21)
    การมาของวิหารในยุคสุดท้าย (22)
    วิหารแห่งการมาของเมสสิอาห์, จอห์น ชามิตและคาร์ล เลนนี่ (23)

      ในปี 1997 นักเขียนชาวอเมริกันผู้หนึ่ง ชื่อ “ไมค์ อีแวนส์” เขียนหนังสือเรื่อง "การทรยศกรุงเยรูซาเล็ม " (24) ซึ่งในหนังสือเล่มนี้ถือว่า การเจรจาสันติภาพกับชาวปาเลสไตน์ทุกรูปแบบ คือการทรยศต่อคำสอนของพระกิตติคุณและพระประสงค์ของพระคริสต์  ในหนังสือเล่มนี้เขาชักนำให้ผู้อ่านเชื่อว่า พระเยซูคริสต์จะปรากฏตัวในช่วงเริ่มต้นของสหัสวรรษที่สามและก่อนปี 2007และจะสร้างมหานครอิสราเอล จากแม่น้ำไนล์ไปจนถึงยูเฟรติส

      ในหนังสือเหล่านี้ มีการโฆษณาชวนเชื่อว่า เพื่อที่จะรีบเร่งการปรากฏตัวของพระเยซูนั้น คริสเตียนจำเป็นต้องทำลายประเทศบาบิโลน (หมายถึง อิรักในปัจจุบัน) และแม่น้ำยูเฟรติสจำเป็นจะต้องแห้งสนิท สิ่งที่ควรกล่าวถึงก็คือว่า พวกเขายังเรียกสงครามอาร์มาเกดดอน ( Armageddon War)  ว่า "สงครามยูเฟรติส” (Euphrates War)

       บรรดาผู้ปฏิบัติตามสำนักคิดนี้ ได้ประกาศว่าพวกเขาจะเลี้ยงลูกวัวในฟาร์มทดลองสัตวแพทย์ของเมืองเท็กซัสและพวกเขาจะเชือดพลีมันในมหาวิหาร (Holy Temple) ซึ่งจะถูกสร้างขึ้นแทนที่มัสยิดอัลอักซอและมัสยิดกุบะตุซซุคเราะฮ์ (Dome of the Rock)

       บรรดาผู้นำศาสนาของคริสเตียนไซออนิสต์มีการโฆษณาชวนเชื่ออย่างกว้างขวางเกี่ยวกับเรื่องนี้  ในการสำรวจโพลล์ครั้งหนึ่งซึ่งจัดทำโดยสำนักข่าวเอพี (Associated Press) ในปี ค.ศ. 1997 ได้ประกาศว่า ร้อยละ 25 ของประชากรอเมริกามีความเชื่ออย่างหนักแน่นว่าด้วยกับการเริ่มต้นของสหัสวรรษที่สาม สงครามครั้งสุดท้ายแห่งอามาเกดดอน (Armageddon War) จะเริ่มขึ้นในแผ่นดินปาเลสไตน์ และสงครามครั้งนี้จะดำเนินไปเป็นระยะเวลาถึงเจ็ดปี ผลของสงครามครั้งนี้โลกจะถูกทำลายลง ในช่วงสุดท้ายของสงครามเจ็ดปีนี้ซึ่งพวกเขามีความเชื่อว่าจะเป็น "โศกนาฏกรรมอันใหญ่หลวงสำหรับคริสตจักรและชาวคริสต์" พระเยซูจะถือกำเนิดขึ้นอีกครั้งหนึ่งและจะมาปรากฏตัวพร้อมกับชาวคริสต์ และจะทำให้มารผู้ต่อต้านพระเจ้า (ดัจญาล / แอนตี้ไครสต์) ประสบกับความพ่ายแพ้ และท่านจะสถาปนารัฐบาลโลกของตนขึ้นโดยมีศูนย์กลางอยู่ กรุงเยรูซาเล็ม (ที่บัยตุลมักดิส)

       ด้วยเหตุนี้เองพวกเขาจึงถือว่าวิหารอันยิ่งใหญ่ ซึ่งจะกลายเป็นต้นเหตุของสงครามอาร์มาเกดดอน (Armageddon) นี้ เป็น "วิหารแห่งโศกนาฏกรรมที่ยิ่งใหญ่" ตามความเชื่อของคริสเตียนไซออนิสต์นั้น นอกจากผู้ที่ศรัทธามั่นต่อ "ความต้องการต่างๆ ของพระคริสต์” แล้ว มนุษย์ทุกคนในโลก ทั้งคริสเตียนและไม่ใช่คริสเตียนจะต้องถูกสังหารมารผู้ต่อต้านพระเจ้า (ดัจญาล / แอนตี้ไครสต์) ทั้งสิ้น

       ในปี 1967 กองทัพไซออนิสต์ได้ยึดครองพื้นที่ทางตะวันออกของบัยตุลมักดิส (กรุงเยรูซาเล็ม)  และมัสยิดอัลอักซอและมัสยิดกุบบะตุซซุกเราะฮ์ถูกยึดครองโดยชาวยิวไซออนิสต์ หลังจากนั้นเป็นต้นมารัฐบาลเทวอาวีฟประกาศอยู่เสมอมาว่ากรุงเยรูซาเล็มเป็นเมืองหลวงนิรันดร์ของอิสราเอล  ด้วยเหตุนี้เองไซออนิสต์จึงยึดครอง 87% ของพื้นที่ทางตะวันออกของเยรูซาเล็ม  และประชาชนชาวปาเลสไตน์ไม่มีสิทธิที่จะสร้างที่อยู่อาศัยในพื้นที่ทางตะวันออกของเมืองนี้ และแม้กระทั่งบ้านเรือนของชาวปาเลสไตน์ที่อยู่ในพื้นที่ดังกล่าวของเมืองนี้จะถูกทำลายอย่างต่อเนื่องและชาวยิวจะเข้ามาอาศัยอยู่ที่นั่นแทน

      ชาวไซออนิสต์ได้ทำการขุดเจาะพื้นที่ที่อยู่ใต้บริเวณมัสยิดอัลอักซอและมัสยิดกุบบะตุซซ็อคเราะฮ์เรียบร้อยแล้ว ชาวคริสเตียนไซออนิสต์และชาวยิวที่พำนักอาศัยอยู่ในดินแดนปาเลสไตน์ที่ถูกยึดครองและในสหรัฐอเมริกายังประกาศว่า พวกเขาจัดเตรียมดาดฟ้าและเสาต่างๆ ของมหาวิหาร (Holy Temple) ไว้แล้ว และสามารถสร้างมหาวิหารนี้ขึ้นแทนที่มัสยิดอัลอักซอและมัสยิดกุบบะตุซซุคเราะฮ์ได้ในเวลาที่สั้นที่สุด พวกเขาได้พิมพ์แผนที่ของมหาวิหารไว้บนหน้าปกของหนังสือที่เขียนขึ้นในเรื่องนี้

       บรรดาผู้นำคริสเตียนไซออนิสต์และชาวยิวไซออนิสต์เองประกาศว่า มีภารกิจอันศักดิ์สิทธิ์ตามการตีความวิวรณ์ของยอห์นในพระกิตติคุณนั้น ลัทธิไซออนิสต์มีภารกิจแห่งพระเจ้าและเพื่อที่จะสร้างรัฐมหานครอิสราเอล พวกเขามีสิทธิ์แม้กระทั่งการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของชาวปาเลสไตน์และชาวอาหรับ นอกเหนือไปจากการยกเลิกกรรมสิทธิ์ที่ดินและทรัพย์สินของชาวปาเลสไตน์ (25)

ความปิติยินดีทางจิตวิญญาณ

      ชาวโปรแตสแตนต์เชื่อว่าก่อนที่สงครามอาร์มาเกดดอนจะเริ่มขึ้น พระคริสต์จะมาปรากฏตัวต่อชาวคริสต์ “ที่เกิดใหม่” และจะทำให้พวกเขาสัมผัสกับความปิติยินดีทางจิตวิญญาณ จากท่ามกลางชาวยิวไซออนิสต์ที่จะสร้างมหาวิหารนั้น ชาวยิวจำนวน 144,000 คน ด้วยกับการเกิดใหม่จะถูกนำจากโลกนี้ไปยังสวรรค์โดยยานลำหนึ่ง และจากที่นั่นพวกเขาจะเฝ้าดูการทำลายล้างโลกโดยฝ่ายต่อต้านพระคริสต์ (แอนตี้ไครสต์) จากนั้นพระคริสต์พร้อมด้วยบรรดาสาวกของท่านก็จะกลับมายังโลกอีกครั้งหนึ่ง และในตอนท้ายของสงครามอาร์มาเกดดอน ฝ่ายต่อต้านพระคริสต์ ก็จะพ่ายแพ้และการปกครองหนึ่งพันปีของพระคริสต์ก็จะเริ่มต้นขึ้น (26)

      บรรดาผู้นำศาสนาของโปรเตสแตนต์จะห้ามไม่ให้ผู้เผยแพร่พระกิตติคุณทำให้ชาวยิวกลายเป็นคริสเตียน เนื่องจากตามความเชื่อของพวกเขา ชาวยิวจากทั่วโลกจะต้องอพยพไปยังปาเลสไตน์และสร้างมหานครอิสราเอล และดำเนินการสร้างมหาวิหาร ชาวยิวส่วนใหญ่จะถูกฆ่าโดยแอนตี้ไครสต์ (Antichrist) ในสงครามอาร์มาเกดดอน และมีเพียงจำนวนน้อยที่จะรอดชีวิต และด้วยการเสด็จมาของพระเยซูคริสต์พวกเขาจะศรัทธาต่อท่าน (27)
การก่อการร้ายอันศักดิ์สิทธิ์ (Holy Terrorism) และนักรบผู้ประกาศข่าวดีของพระกิตติคุณ

      สำนักคิดคริสเตียนไซออนิสต์ในประเทศต่างๆ ที่เป็นโปรเตสแตนต์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสหรัฐอเมริกาและอังกฤษได้รับการเผยแพร่อย่างกว้างขวางโดยผู้สอนศาสนาแห่งพระกิตติคุณ

      บรรดาผู้เผยแพร่พระกิตติคุณจะถูกรู้จักในนาม "Evangelist" (ผู้สอนศาสนาคริสต์)  และพวกเขาจะทำการเผยแพร่พระคัมภีร์ทั่วโลกในฐานะ “สงครามครูเสด”  การเผยแพร่พระกิตติคุณด้วยกับจิตวิญญาณของสงครามครูเสดเป็นหนึ่งในลักษณะเด่นของนักเผยแผ่พระกิตติคุณในสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาพวกเขาได้แพร่กระจายความหวาดกลัวและวิตกกังวลในหมู่ชาวอเมริกันโดยการโฆษณาชวนเชื่ออย่างกว้างขวางเกี่ยวกับการตีความคำทำนายของพระกิตติคุณและการโฆษณาชวนเชื่อเกี่ยวกับการพินาศอย่างแน่นอนของโลกที่จะเกิดขึ้นในช่วงเริ่มต้นสหัสวรรษที่สามโดยผ่านเครือข่ายโทรทัศน์และหนังสือพิมพ์ต่างๆ ของตน

      นอกจากนี้พวกเขายังสร้างตลาดการค้ามูลค่า 1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯขึ้นมาด้วยการขายหนังสือ เทปวิดีโอและอุปกรณ์ต่างๆ ที่จะช่วยให้รอดพ้นในช่วงสงครามอาร์มาเกดดอน  พวกเขาจะทำการเผยแพร่การตีความพระคัมภีร์โดย “ซี. ไอ. สโคฟิลด์” (Cyrus Ingerson Scofield) ในนาม “พระกิตติคุณแห่งยุคสุดท้าย”  พวกเขาได้ตีพิมพ์หนังสือขึ้นภายใต้ชื่อ “สารานุกรมคำทำนายของพระคัมภีร์เกี่ยวกับยุคสุดท้าย” ใน 3 เล่ม ในปี 1999

      ในปี 1999 นักวิชาการชาวคริสเตียนชื่อ “ทอม แม็คไอเวอร์” (Tom McIver) ได้ตีพิมพ์หนังสือ “จุดจบของโลก” (The End of the World) (28) ซึ่งเป็นบรรณานุกรมอธิบายหนังสือประมาณ 3,500 เล่มที่เกี่ยวกับปัญหาและเหตุการณ์ของยุคสุดท้ายในโลกตะวันตก ในสหรัฐอเมริกามีสถาบันใหญ่ทางศาสนา 8 สถาบันในเครือของโปรเตสแตนต์ที่ทำการสอนนักศึกษาวิชาการศาสนาเกี่ยวกับการเริ่มต้นของสงครามอาร์มาเกดดอนและเหตุการณ์ต่างๆ ของยุคสุดท้าย และสถาบันเหล่านี้เป็นที่รู้จักกันดีในสหรัฐอเมริกาว่าเป็น "ศูนย์การศึกษาทางศาสนาเกี่ยวกับพระประสงค์ของพระคริสต์" ในสหรัฐอเมริกา

      ฮอลลีวู้ด (Hollywood) รับบทบาทสำคัญในเรื่องนี้ โดยที่ในปี 1998 ฮอลลีวู้ดได้ผลิตภาพยนตร์เรื่อง “อาร์มาเกดดอน” (Armageddon) โดยที่กองทัพสหรัฐฯ ได้เอาชนะการโจมตีของยานอวกาศต่างๆ ของดาวเคราะห์ดวงอื่น  ในปีเดียวกันฮอลลีวู้ดได้สร้างภาพยนตร์อีกเรื่องหนึ่งชื่อ "The Siege" (เดอะ ซีจจ์ ยุทธการวินาศกรรมข้ามแผ่นดิน) ซึ่งในเรื่องนี้กองกำลังรักษาความปลอดภัยของหน่วย “เอฟบีไอ” สามารถเอาชนะและป้องกันการโจมตีก่อการร้ายของชาวอาหรับที่พำนักอาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกาในการโจมตีหน่วยงานต่างๆ ที่สำคัญของนครนิวยอร์กได้ การฉายภาพยนตร์เรื่องนี้ได้เผชิญกับการประท้วงอย่างรุนแรงของชาวมุสลิมในสหรัฐอเมริกา

     นักเขียนชาวอเมริกันผู้มีชื่อเสียงชื่อ เกรซ ฮาลเซล (Grace Halsell) เปิดโปงแผนงานต่างๆ ของ “นักรบ (ผู้เผยแพร่) พระกิตติคุณ” (The Gospel Warriors) ที่พำนักอยู่ในสหรัฐอเมริกาไว้เป็นอย่างดี  ผู้เขียนได้ทำการอธิบายแผนงานร่วมต่างๆ ของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา อังกฤษและอิสราเอลโดยความร่วมมือของบรรดาผู้เผยแพร่พระกิตติคุณเพื่อการสร้างมหานครอิสราเอล ไว้ในหนังสือทั้งสองเล่มนี้ภายใต้ชื่อว่า " Prophecy and Politics: Militant Evangelists on the Road to Nuclear War “ (คำทำนายและการเมือง : นักรบผู้เผยแพร่พระกิตติคุณบนเส้นสู่สงครามนิวเคลียร์)  

     นางฮาลเซล ผู้ซึ่งเป็นหนึ่งในพนักงานคนสำคัญของสำนักงานของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาได้เปิดเผยถึงความเป็นพันธมิตรอย่างลับๆ ระหว่างนักเผยแผ่ศาสนาในประเทศสหรัฐอเมริกาและอังกฤษกับอิสราเอล

      อิทธิพลของการโฆษณาชวนเชื่ออย่างกว้างขวางของหน่วยงานสื่อสารมวลชนต่างๆ ของสหรัฐอเมริกาซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมอย่างสมบูรณ์โดยชาวไซออนิสต์ ทำให้ประชาชนชาวอเมริกันกลายเป็นคนที่เชื่ออะไรเร็วและง่ายที่สุดในโลก และเหตุการณ์ 9/11 ก็เช่นกันได้ปลุกกระตุ้นความเครียดแค้นและความเกลียดชังของประชาชนชาวอเมริกันและโลกตะวันตกให้มีต่อชาวอาหรับและชาวมุสลิม เนื่องจากการโฆษณาชวนเชื่อชี้นำ

     ชาวไซออนิสต์และผู้สนับสนุนของพวกเขาซึ่งโฆษณาชวนเชื่อแผนการต่างๆ ทางด้านศาสนา วัฒนธรรม สังคมและการเมืองของตนมาเป็นระยะเวลาหลายปีนั้น  ด้วยการเกิดเหตุการณ์ 11 กันยายน 2001 พวกเขาได้รับโอกาสที่ดีที่สุดเพื่อที่จะทำให้ประชาชนชาวอเมริกันและยุโรปยอมรับแผนการต่างๆ ของพวกเขาอย่างรวดเร็วขึ้น และในขณะนี้พวกเขากำลังพยายาม ทำให้แผนการต่างๆ ของตนเป็นจริงขึ้นมา  ในช่วงสงครามเย็น สหรัฐอเมริกาแนะนำอดีตสหภาพโซเวียตว่าเป็น "จักรวรรดิที่ชั่วร้าย" (Evil empire) และหลังจากสงครามเย็น หน่วยงานต่างๆ ทางด้านสื่อสารมวลชนของสหรัฐอเมริกาโฆษณาชวนเชื่อเกี่ยวกับความเกลียดกลัวชาวมุสลิม และหลังจากเหตุการณ์ 11 กันยายนโฆษณาชวนเชื่อต่อต้านศาสนาอิสลามและชาวมุสลิมในตะวันตกได้ดำเนินไปถึง ถึงจุดสูงสุดของมันแล้ว

      กลุ่มต่างๆ ของคริสเตียนที่ปฏิบัติตามความเชื่อ “พระประสงค์ของพระคริสต์” ในสหรัฐอเมริกามีสมาชิกจำนวนถึง 100 ล้านคนและพวกเขามีอิทธิพลอยู่ในทั้งสองพรรคการเมืองใหญ่ของสหรัฐฯ คือพรรครีพับลิกันและพรรคเดโมแครต และมีอำนาจควบคุมรัฐบาลวอชิงตันร่วมกับชาวยิวไซออนิสต์อย่างสมบูรณ์

      สหรัฐอเมริกาและประเทศโปรเตสแตนต์อื่นๆ ในโลกและ 1,500  กลุ่มของคริสเตียนที่ยึดถือความเชื่อนี้ทั่วโลก เพื่อที่นำไปสู่สงครามอาร์มาเกดดอน พวกเขาจะโฆษณาชวนเชื่อว่าโลกจะถูกทำลาย

      บรรดานักเขียนชาวตะวันตกแนะนำความเชื่อเหล่านี้ว่าเป็น “การก่อการร้ายอันศักดิ์สิทธิ์” (28)  กลุ่มติดอาวุธคริสเตียนเหล่านี้ในสหรัฐอเมริกาหลังจากเหตุการณ์ 9/11 ได้ถูกกล่าวหาว่ามีบทบาทในการแพร่กระจาย "โรคแอนแทรกซ์" (anthrax) ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นอาวุธชีวภาพอย่างหนึ่ง

      นโยบายของรัฐบาลสหรัฐฯ ก็วางอยู่บนพื้นฐานของทฤษฎี  "การปะทะกันของอารยธรรม" (The Clash of Civilizations) และประกาศตัวเองขึ้นเป็นผู้นำ “หมู่บ้านโลก” (Global Village)  และด้วยข้ออ้างของการต่อสู้กับการก่อการร้ายพวกเขากำลังพยายามขยายการครอบงำของตนออกไปทั่วโลก แต่สหรัฐอเมริกากำลังจะล่มสลายจากภายใน และรากเหง้าที่มาของเหตุการณ์ 11 กันยายนมีอยู่ภายในสหรัฐอเมริกาเอง กลุ่มคริสเตียนและชาวยิวไซออนิสต์ภายในอเมริกากำลังแข็งแกร่งขึ้นทุกวัน และในความเป็นจริงแล้วขณะนี้รัฐบาลและประชาชนของสหรัฐอเมริกากำลังตกเป็นตัวประกันในมือของกลุ่มคนเหล่านี้

      ดูเหมือนว่า รัฐบาลวอชิงตันในขณะนี้ประสบกับโรคบ้า (ความวิกลจริต) และความหวาดระแวงอย่างรุนแรง พร้อมกับอาการพูดจาเลอะเลือนและความขัดแย้งในพฤติกรรม

      สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศเดียวในโลกที่ไม่มีชื่อเป็นของตัวเองและความอคติต่างๆ ทางศาสนา เชื้อชาติและความขัดแย้งต่างๆ ทางประวัติศาสตร์กำลังขยายตัวในระหว่างรัฐทั้งหลายทางตอนเหนือและตอนใต้ของประเทศนี้  การเลือกปฏิบัติและความผิดปกติต่างๆ ทางสังคมในประเทศนี้ได้ไปถึงขีดสูงสุดของมันแล้ว และความผิดปกติและความป่วยไข้ทางด้านสังคมเหล่านี้ถูกนับว่าเป็นการลงโทษที่รุนแรงสำหรับประเทศนี้.

     ในประเทศนี้ ร้อยละ 65 ของการแต่งงานจะจบลงด้วยการหย่าร้างกันก่อนครบหนึ่งปี และในแต่ละปีในประเทศนี้จะมีการทำแท้งถึง 40 ล้านคน  สหรัฐอเมริกาเป็นผู้นำอันดับหนึ่งของโลกในพฤติกรรมที่เกี่ยวกับเรื่องรักร่วมเพศ การข่มขืน การล่วงละเมิดเด็ก การทุบตีสตรี การฆาตกรรมการการลักขโมยและการใช้ยาเสพติด วันนี้สหรัฐอเมริกาในทางปฏิบัตินั้นกำลังย่างก้าวไปสู่ความตายตามธรรมชาติแบบค่อยเป็นค่อยไปและไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ของตน และในอนาคตอันใกล้นี้โลกจะเห็นการล่มสลายของสหรัฐอเมริกา ทั้งนี้เนื่องจากว่าสิ่งนี้คือแบบแผน (กฎ / ซุนนะฮ์) แห่งพระเจ้า และผู้ทรงสร้างจักรวาลที่ในตลอดช่วงประวัติศาสตร์ พระองค์ได้ทรงทำลายล้างอำนาจจอมอหังการ์เสมอมา
เชิงอรรถ :

 1.ส่วนหนึ่งจาบทความ “พิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างนิกายโปรเตสแตนต์และลัทธิไซออนิสต์” (ภาษาเปอร์เซีย)

 2.คำว่า "Gospels" (ข่าวประเสริฐ) นี้ ชาวโปรเตสแตนต์จะเรียกว่า "พระกิตติคุณ" และชาวโรมันคาทอลิกจะเรียกว่า "พระวรสาร" ; ดูเพิ่มเติมจาก

-วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี, ค้นคำว่า “พระวรสาน”

- www.lds.org/scriptures/gs/gospel?lang=tha

- ced2u2.blogspot.com/2015/03/blog-post_79.html

3.Billy Graham.

4.Jerry Falwell

5.Pat Robertson.

6.Hal Lindsey.

7 Mike Evans.

8.George Carey.

9.Christian Zionism.

     10.จอห์น เนลสัน ดาร์บี้ (John Nelson Darby) เสียชีวิตในปี ค.ศ.1882 นักบวชที่มีชื่อเสียงของคริสตจักรแห่งอังกฤษในช่วงปลายศตวรรษที่สิบเก้า ด้วยการโฆษณาชวนเชื่อของตน เขาได้ก่อตั้งสำนักคิดใหม่ที่ชื่อว่า “คริสเตียนไซออนนิสต์” ขึ้นในหมู่ชาวโปรเตสแตนต์

11. John Nelson Darby

12. Cyrus Ingerson Scofield

13.Hal Lindsey.

14.Dwight Lyman Moody

15.William E. Blackstone

16.Benjamin Harrison

17.James Cardinal Gibbons

18.Theodore Herzl

19.Arthur James Balfour

20.The International Christian Embassy Jerusalem

21.John Hagee: The Battle For Jerusalem 1002.

22.Randall Price: The Coming Last Days Temple 1991.

23.Messiah's Coming Temple / John W. Schmitt, J. Carl Laney

24.Jerusalem Betrayed: Ancient Prophecy and Modern Conspiracy Collide in the Holy City / Mike Evans

25.Armageddon Hal Lindsaey Cliff Ford: Battle for Jerusalem Books 1002

26. Approaching Hoofbeats: The Four Horsemen of the Apocalypse [Billy Graham] 1984

           - Countdown to Armageddon [Hal Lindsey] 1983

      27. And Then Shall the End Come [John R Bisagno] 2007

          - The Last of the Giants: Lifting the Veil on Islam and the End Times [George Otis] 1991

          - God Intervenes in the Middle East [Marion F Kermers] 1991

      28. Bibliography Tom Mclver: The End of the World: An Annotated - V of End - Times Resources July 1999
แปลและเรียบเรียงโดย : เชคมุฮัมมัด นาอีม ประดับญาติ
ศูนย์สารสนเทศอิสลาม สถาบันส่งเสริมการศึกษาและวิจัยเกี่ยวกับอิสลาม

0
0% (نفر 0)
 
نظر شما در مورد این مطلب ؟
 
امتیاز شما به این مطلب ؟
اشتراک گذاری در شبکه های اجتماعی:

latest article

...
...
ฆอดีรคุม ...
ชีวิตคู่ในอิสลาม
...
ฟะดักในประวัติศาสตร์อิสลาม
...
วันสำคัญในเดือนรอบีอุลเอาวัล
อรรถาธิบายซูเราะฮ์ อัลฆอชิยะฮ์
ท่านหญิงฟาติมะฮ์ ...

 
user comment