เลขาธิการฮิซบุลลอฮ์ได้กล่าวในคำปราศรัยประณามการตัดสินใจของ ทรัมป์เกี่ยวกับอัลกุดส์ (เยรูซาเล็ม) จะเป็นการเริ่มต้นสำหรับจุดจบของอิสราเอล
ตัสนีมรายงานโดยอ้างที่มาจากอัล-มะนาร (Al-Manar) ว่า ซัยยิดฮะซัน นัศรุลลอฮ์ เลขาธิการฮิซบุลลอฮ์แห่งเลบานอนได้กล่าวในคำปราศรัยประณามการตัดสินใจของ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา ในช่วงเวลาเดียวกันกับการชุมนุมใหญ่ของประชาชนชาวเลบานอนว่า : ขอชื่นชมต่อการรวมตัวครั้งยิ่งใหญ่และการแสดงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของประชาชนชาวเลบานอนต่อประชาชนปาเลสไตน์
เขาเสริมว่า : "ผมขอยกย่องชาวปาเลสไตน์ในดินแดนที่ถูกยึดครองและในบัยตุลมักดิส (เยรูซาเล็ม) เนื่องในการจัดชุมนุมครั้งประวัติศาสตร์ซึ่งเริ่มต้นตั้งแต่ช่วงแรกๆ ของการตัดสินใจที่เป็นปฏิปักษ์ของทรัมป์
นัศรุลลอฮ์กล่าวว่า : เราขอขอบคุณจุดยืนทั้งหมดที่ได้กระทำการประณามการรุกรานที่ชัดเจนและเป็นปฏิปักษ์ต่ออัลกุดส์ (เยรูซาเล็ม) และปัญหาปาเลสไตน์ คือศักดิ์ศรีของอุมมะฮ์ (ประชาชาติ)
เลขาธิการฮิซบุลลอฮ์กล่าวว่า : "เราขอชื่นชมจุดยืนอันเป็นประวัติศาสตร์ของสถาบันมัรเญี๊ยะฮ์ทางศาสนาทั้งหมดจากเมืองนะญัฟ ไปจนถึงเมืองกุม และจุดยืนของอิมามคอเมเนอี, เชคอัลอัซฮัรและสถาบันสำคัญของคริสเตียน
นัศรุลลอฮ์กล่าวเสริมว่า : เราจะยังคงให้การสนับสนุนปาเลสไตน์, ประชาชนชาวปาเลสไตน์, อัลกุดส์ (เยรูซาเล็ม) และสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของอิสลามและคริสเตียนต่อไป
เลขาธิการฮิซบุลลอฮ์กล่าวว่า : ทรัมป์ คิดว่าหลังจากการยอมรับกรุงเยรูซาเล็ม (เป็นเมืองหลวงของอิสราเอล) โดยการตัดสินของเขาแล้ว ประเทศต่างๆ ในโลกจะเข้าร่วมสมทบและเห็นด้วยกับเขา แต่ทว่าเขาได้เผชิญหน้ากับการคัดค้านของประเทศต่างๆ ทั่วโลก ส่งผลให้เขาเหลือตัวคนเดียวและถูกโดดเดี่ยว
ซัยยิดฮะซัน นัศรุลลอฮ์กล่าวเพิ่มเติมว่า : การตัดสินใจของสหรัฐอเมริกาได้เกิดขึ้นเป็นผลสืบเนื่องมาจากสถานการณ์ที่เราเห็นอยู่ในภูมิภาค และเป็นการดำเนินการตามแผนการของสหรัฐฯ และไซออนิสต์ ในการทำลายประเทศของพวกเรา ประชาชนของพวกเราและกองทัพของพวกเรา โดยการสนับสนุนของบางประเทศในภูมิภาคนี้
เลขาธิการฮิซบุลลอฮ์กล่าวในอีกส่วนหนึ่ง ของคำพูดของตนว่า : "อุมมะฮ์ (ประชาชาติอิสลาม) ทุกคนต้องเผชิญหน้ากับการล่วงละเมิดที่อันตรายนี้ และความรับผิดชอบนี้เป็นหน้าที่ของทุกคน และในอันดับแรกนั้นเป็นหน้าที่ของชาวปาเลสไตน์ กลุ่มต้านทานและการอินติฟาเฎาะฮ์ (intifada) ของพวกเขา
นัศรุลลอฮ์กล่าวเพิ่มเติมว่า : หลังจากการตัดสินใจของทรัมป์และพฤติกรรมของรัฐบาลสหรัฐฯ หลักฐาน (ฮุจญะฮ์) เป็นที่ชัดเจนสำหรับทุกคนที่คาดหวังว่าสหรัฐอเมริกาจะทำการแทรกแซงต่างๆ เพื่อประโยชน์ต่อปาเลสไตน์หรือว่าประเทศต่างๆจะลุกขึ้นต่อต้านอิสราเอล ทำนองเดียวกันนี้หลักฐานเป็นที่ชัดเจนสำหรับบรรดาผู้ที่เชื่อมั่นในการเจรจาที่ไม่อาจบรรลุผล
นัศรุลลอฮ์กล่าวต่อว่า : ถึงเวลาแล้วที่ทุกคนจะต้องรู้ว่า สหรัฐอเมริกาไม่ได้เป็นผู้สนับสนุนสันติภาพ แต่ประเทศนี้เป็นผู้สนับสนุนการก่อการร้าย การยึดครองดินแดน การทำลายล้าง การก่อวิกฤตและเป็นผู้สร้างกลุ่มไอซิสและตักฟีรี และจุดยืนของอุมมะฮ์ (ประชาชาติอิสลาม) จะต้องสรุปอยู่ในคำพูดสองคำ นั่นคือ “อเมริกาจงพินาศ”
เลขาธิการฮิซบุลลอฮ์กล่าวเสริมว่า : จำเป็นต้องทำให้ระบอบไซออนิสต์ถูกโดดเดี่ยวอย่างสมบูรณ์ โดยอาศัยการกดดันต่างๆ ของประชาชน, รัฐสภา, รัฐบาลทั้งหลาย, เครือข่ายทางสังคมและการชุมนุมประท้วง และจำเป็นต้องกดดันรัฐบาลทั้งหลายเพื่อดำเนินการให้ประเทศอาหรับและอิสลามบางประเทศตัดสัมพันธ์กับอิสราเอล
นัศรุลลอฮ์ย้ำว่า : จำเป็นจะต้องตัดการสื่อสารทั้งหมดและการฟื้นฟูความสัมพันธ์กับศัตรูทุกรูปแบบ และอิสราเอลจะต้องถูกคว่ำบาตร และผมขอกล่าวกับชาวปาเลสไตน์ว่า คณะผู้แทนใดๆ ก็ตามที่จะมายังพวกท่านเพื่อการฟื้นฟูความสัมพันธ์พวกท่านจงปฏิเสธมัน
เลขาธิการฮิซบุลลอฮ์กล่าวว่า : รัฐบาลแห่งชาติปาเลสไตน์, สันนิบาตอาหรับและการประชุมสุดยอดของผู้นำประเทศอิสลามจำเป็นจะต้องประกาศการยุติกระบวนการประนีประนอมและเรียกร้องสหรัฐฯ ให้ยกเลิกการตัดสินใจนี้ของตน
นัศรุลลอฮ์กล่าวเสริมว่า : "การแสดงปฏิกิริยาที่สำคัญที่สุดต่อการตัดสินใจที่เป็นปฏิปักษ์ของทรัมป์คือการประกาศอินติฟาเฎาะฮ์ (intifada) ครั้งที่สามของปาเลสไตน์ ในดินแดนทั้งหมดของปาเลสไตน์ที่ถูกยึดครอง และประเทศอาหรับและอิสลามทั้งหมดจำเป็นต้องสนับสนุนชาวปาเลสไตน์
เลขาธิการฮิซบุลลอฮ์กล่าวว่า : ท่านทั้งหลายจงให้ความไว้วางใจต่อแกนต้านทาน (มุกอวะมะฮ์) และจงรู้เถิดว่าแกนต้านทานนี้ในทุกสนามที่พวกเขาเข้าไป พวกเขาจะออกมาพร้อมกับชนะชัยชนะ และจะนำประชาชาติ (อุมมะฮ์) ออกจากยุคแห่งความพ่ายแพ้ไปสู่ยุคของชัยชนะ
นัศรุลลอฮ์กล่าวว่า : จำเป็นที่เราจะต้องทำให้ความล้มเหลวการทูตของบรรดารัฐบาลอาหรับกลายเป็นชัยชนะสำหรับประชาชนทั้งหลายและแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์
เลขาธิการฮิซบุลลอฮ์กล่าวเสริมว่า : การตัดสินใจของทรัมป์จะเป็นจุดเริ่มต้นของการสิ้นสุดของอิสราเอล อินชาอัลลอฮ์ (หากพระเจ้าทรงประสงค์)
นัศรุลลอฮ์กล่าวว่า : "พวกเราในเลบานอน ประเทศที่ยืนหยัดต้านทาน เสียสละ และประเทศของบรรดาชะฮีด (ผู้สละชีพ) และแผ่นดินแห่งชัยชนะต่างๆ เราจะอยู่เคียงข้างปาเลสไตน์ เพื่อให้ชาวมุสลิมได้ทำอิบาดะฮ์ในมัสยิดอัล อักซอ และคริสเตียนจะทำนมัสการในโบสถ์โบสถ์ “Holy Sepulchery “
เลขาธิการฮิซบุลลอฮ์กล่าวว่า : เนทันยาฮูได้ข่มขู่กองกำลังต้านทาน (ฮิซบุลลอฮ์) และเลบานอนจากปารีส และผมจะไม่ตอบโต้มัน อัลกุดส์ (เยรูซาเล็ม) จะยังคงเป็นเมืองหลวงนิรันดร์ของปาเลสไตน์
นัศรุลลอฮ์กล่าวว่า : ท่านทั้งหลายจำเป็นจะต้องเชื่อมั่นในพระเจ้าของพวกท่านและต่อสัญญาของพระองค์ที่ทรงตรัสว่า หากพวกท่านช่วยเหลือ (ในทางของ) พระองค์ พระองค์ก็จะทรงช่วยเหลือพวกท่าน หากพวกเราช่วยเหลือพระเจ้าด้วยการปรากฏตัวของเรา, ความสามัคคีของเราและความรับผิดชอบของเรา ความไม่หวั่นกลัวของเรา พระเจ้าก็จะทรงช่วยเหลือเรา พวกท่านจงไว้วางใจในพระเจ้าของพวกท่าน ไว้วางใจประชาชนของพวกท่านและขบวนการเคลื่อนไหวต่อต้านทั้งหลายและแกนต้านทาน (มุกอวะมะฮ์)
เลขาธิการฮิซบุลลอฮ์แห่งเลบานอนกล่าวเสริมว่า : "เราขอให้กลุ่มต่อต้าน (มุกอวะมะฮ์) ทุกกลุ่มในภูมิภาคนี้และทุกคนที่เชื่อมั่นในการต่อต้านให้ยึดมั่นในจุดยืนหนึ่งเดียวกันในการเผชิญหน้ากับการรุกรานเพื่อที่จะเอาอัลกุดส์ (กรุงเยรูซาเล็ม) กลับคืนมา เราจำเป็นต้องจัดทำแผนภาคสนามและแผนปฏิบัติการที่ครอบคลุมที่บทบาทต่างๆ จะถูกแบ่งสรรในมันเพื่อการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่นี้ เราในกลุ่มฮิซบุลลอฮ์จะปฏิบัติตามหน้าที่รับผิดชอบต่างๆ ของตนอย่างเต็มที่ในเรื่องนี้
เขาชี้ถึงการเยือนรัฐเถื่อนอิสราเอลของคณะผู้แทนของบาห์เรน พร้อมกับกล่าวว่า : ระบอบการปกครองที่กดขี่ของบาห์เรนได้ส่งคณะผู้แทนไปยัง ผู้ยึดครองดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์ซึ่งพวกเขาไม่ใช่ตัวแทนของประชาชนและของนักวิชาการศาสนาของประเทศบาห์เรน
ซัยยิดฮะซัน นัศรุลลอฮ์กล่าวว่า : ประชาชนชาวบาห์เรนได้ตอบรับการเรียกร้องของบรรดานักวิชาการศาสนาของพวกเขาและได้ออกมาสู่ถนนสายต่างๆ เพื่อประกาศความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันกับอัลกุดส์ แต่กองกำลังของรัฐบาลได้ยิงกระสุนใส่พวกเขา
เลขาธิการฮิซบุลลอฮ์กล่าวเสริมว่า : การปราบปรามประชาชนบาห์เรนและการสกัดกั้นการชุมนุมประท้วงในการแสดงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันกับชาวปาเลสไตน์และการส่งคณะผู้แทนไปฟื้นฟูความสัมพันธ์กับศัตรูผู้ยึดครองนั้นถือเป็นเรื่องน่าอับอายของรัฐบาล