อิสรภาพที่แท้จริงหาได้ในเดือนรอมฏอน
บรรดาผู้รู้ของเราสอนสั่งเสมอว่า แม้การถือศีลอดจะเป็นสิ่งที่ยากยิ่งในบางสถานการณ์
แต่อย่างไรก็ตาม การที่เราได้มีโอกาสแทรกตนเข้าไปอยู่ในคำปรารภของพระองค์อัลลอฮ์ที่ได้ปรารภไว้ว่า "โอ้บรรดาผู้ศรัทธา การถือศีลอดได้รับการลิขิตแด่สูเจ้า" การที่เราได้เป็นคู่สนทนาของพระเจ้าในโองการนี้ ย่อมทำให้ความเหนื่อยล้าของการถือศีลอดหายไปปลิดทิ้ง ดังที่มีคำกล่าวขานเชิงอิรฟานกันว่า การได้เป็นผู้ที่พระองค์เรียกหา ย่อมสลายความเหนื่อยยากของอิบาดะฮ์จนหมดสิ้น
ท่านนบีกล่าวเทศนาในวันศุกร์สุดท้ายของเดือนชะอ์บานว่า "โอ้ปวงชน พวกท่านถูกจำนำไว้กับพฤติกรรมของท่านเอง ฉะนั้นจงไถ่ตนเองให้เป็นอิสระด้วยกับการขออภัยโทษจากอัลลอฮ์" หมายความว่า โอ้ประชาชนเอ๋ย ณ เวลานี้พวกท่านมิได้เป็นอิสระ พวกท่านเปรียบดั่งนกในกรง
ทว่าไม่รู้ตัวว่าอยู่ในกรง บาปต่างๆที่พวกท่านกระทำไปนั้น ได้กักขังจองจำท่านไว้ในกรงขัง ฉะนั้นจงปลดปล่อยตัวท่านเองให้เป็นอิสระด้วยการอิสติฆฟาร (ขออภัยโทษ) ในเดือนรอมฏอนเถิด
คนที่มีบาปเปรียบได้กับคนที่เป็นหนี้จำนำผู้อื่น และแน่นอนว่าโดยทั่วไปแล้ว ลูกหนี้ย่อมต้องวางสิ่งมีค่าเป็นการจำนำ
ในระบบแห่งพระองค์ บ้านและอสังหาริมทรัพย์ใช้ในการจำนำไม่ได้เลย ทว่าชีวิตและจิตวิญญาณต่างหากที่จะถูกจองจำเป็นสินจำนำ
ฉะนั้น ใครก็ตามที่คิดว่าตัวเองสามารถทำอะไรก็ได้ตามที่ต้องการ จะไปใหนก็ได้ตามที่ใจหมาย จะพูดอะไรก็ได้ตามแต่ใจประสงค์
คนประเภทนี้ในความเป็นจริงแล้ว เชาเป็นเพียงทาสในเรือนเบี้ยที่ไร้อิสรภาพ เขาถูกนัฟซู กิเลสจองจำไว้ เขายังเป็นทาส มิได้เป็นไท
ไม่มีคุณค่าใดในอิสลามที่จะเหนือไปกว่าอิสรภาพ ท่านอิมามอลีเคยกล่าวไว้ว่า "ในก็ตามที่ละจากกิเลสนัฟซูได้ เขาคืออิสระชน"
บรรดาอะอิมมะฮ์ มะศูมีนกล่าวสอนเราเสมอว่าให้เป็นอิสระ แต่อิสรภาพจากศัตรูภายนอกนั้นไม่สำคัญเท่ากับการมีอิสระจากศัตรูภายในของเราเอง
วิธีสังเกตุว่าเราเป็นทาสกิเลสหรือเป็นอิสระชนนั้น คือการสังเกตว่าหากเราทำอะไรตามใจปรารถนา (ตรงข้ามคำบัญชาของอัลลอฮ์) นั่นแสดงว่าเรายังเป็นทาสในกรงขังแห่งความปรารถนาและความละโมบโลภหลงอยู่เหมือนเดิม
แต่เมื่อใดที่เราปฎิบัติตามคำบัญชาของอัลลอฮ์ นั่นแสดงว่าเราเป็นอิสระอย่างแท้จริง คนที่มีอิสระอย่างแท้จริงนั้นจะไม่คำนึงถึงสิ่งใดนอกจากคำบัญชาของอัลลอฮ์ ฉะนั้น ภารกิจที่สูงส่งที่สุดในเดือนรอมฏอนก็คือ การพยายามปลดปล่อยตนเองให้เป็นอิสระให้จงได้ และจะต้องแหวกกรงที่ตนเองสร้างขึ้นด้วยบาปและนัฟซูให้สำเร็จ
หนทางสู่อิสรภาพที่แท้จริงคือการขออภัยโทษ (อิสติฆฟาร) จากอัลลอฮ์เท่านั้น ด้วยเหตุนี้เองที่ผู้รู้ของเราสอนสั่งเสมอว่าให้กล่าว "อัสตัฆฟิรุลลอฮะ ร็อบบี วะ อะตูบุอิลัยฮิ" ทั้งในยามกลางวันและกลางคืนเป็นประจำ
ฉะนั้น เราจงหมั่นขออภัยโทษต่อพระองค์สำหรับตนเองและสำหรับคนอื่นๆด้วย ทั้งนี้มิไช่เพื่อจะรอดพ้นจากไฟนรกหรือเพื่อก้าวสู่สรวงสวรรค์เท่านั้น แต่จะต้องตั้งเป้าหมายไว้ให้สูงขึ้นกว่านี้
ท่านอิมามอลีระบุไว้ในจดหมายของท่านถึงมาลิก อัลอัชตัร (สหายคนสนิทที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ครองนครอิยิปต์) ว่า "แท้จริงศาสนา(เปรียบเสมือนลูกไก่ที่ตกอยู่ในกำมือ)ของเหล่าวายร้ายทั้งหลาย โดยพวกเขาจะปฎิบัติต่อศาสนาตามใจชอบ และนำศาสนาแลกมาซึ่งดุนยา"
คนที่ปราชัยในโลกดุนยา นั่นเป้นเพราะการที่พวกเขาถูกจองจำในกรงขังแห่งกิเลสนัฟซู เพราะทั้งคลั่งไคล้ที่จะเสวยสุขอยู่ในดุนยาให้นานที่สุด และทั้งหวาดผวาการเป็นอิสระจากดุนยา(ซึ่งพวกเขามองว่าเป็นการจำพรากจากความสุขสบาย) เป็นที่สุด
อิสลามได้ปฎิเสธแนวคิดเช่นนี้ โดยได้นำเสนอแนวคิดสองประการไว้แทนที่แนวคิดดังกล่าว สองประการที่อิสลามนำเสนอก็คือ 1. จงอย่าฝคลั่งไคล้และยึดติดกับดุนยา 2.จงอย่าหวาดผวาและวิ่งหนีสิ่งที่เหนือธรรชาติวิสัย
ท่านอิมามอลียังได้กล่าวไว้อีกว่า "ยังมีอิสระชนอีกไหม อิสระชนที่จะปล่อย (ดุนยาอันเป็นเสมือน) เศษอาหารที่ติดอยู่ในซอกฟันของบรรพชนไป และให้พวกที่นิยมสิ่งเหล่านี้ได้อิ่มหนำอย่างเต็มที่?"
เมื่อเราพูดถึงดุนยา สิ่งที่เราหมายถึงก็มักจะเป็นลาภยศ บรรดาศักดิ์ ทรัพย์สินเงินทอง เคหะสถาน ที่ดิน ฯลฯ สิ่งเหล่านี้คนรุ่นก่อนได้ลิ้มรสมันไปแล้ว สิ่งที่ตกถึงพวกท่านก็เปรียบเสมือนเศษอาหารตามซอกฟันของปู่ย่าตายายนั่นเอง
สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดที่อยู่บนพื้นพิภพ ไม่ว่าจะลาภยศ ความมั่งคั่ง ความไฝ่ฝันและความทะเยอทะยานจะได้ครอบครองสิ่งเหล่านี้ ล้วนเป็นเศษอาหารเหลือทิ้งทั้งสิ้น แน่นอนว่าอิสระชนต้องปล่อยมันไปโดยไม่เสียดาย
อัลลอฮ์ทรงตรัสในกุรอานว่า "มนุษย์ทุกคนถูกจำนำโดยสิ่งที่ตนเองก่อทั้งสิ้น" ทุกคนถูกจองจำโดยพฤติกรรมของตัวเอง เฉพาะบุคคลกลุ่มเดียวเท่านั้นที่จะมีอิสรภาพ นั่นก็คือ อัศฮาบุลยะมีน ซึ่งเป็นกลุ่มบุคคลที่ได้รับความจำเริญและบารอกัตอย่างเต็มเปี่ยม
มีเพียงความจำเริญเท่านั้นที่จะปรากฎจากพวกเขา และพวกเขาก็ไม่สำแดงสิ่งใดนอกเหนือจากความจำเริญ และนี่คือโอกาสแห่งความโปรดปรานอันประเสริฐที่สุดที่พระองค์เชิญชวนให้เราไขว่คว้าและแสวงหา
ฉะนั้น เดือนรอมฏอนคือเดือนแห่งอิสรภาพ แต่ละวันที่ผ่านไป เราจะต้องปลดบ่วงโซ่ที่เราพันธนาการตนเองทีละบ่วงๆจนกว่าจะเป็นอิสระอย่างสมบูรณ์
และหนทางที่ดีที่สุดเพื่อปลดปล่อยตนเป็นอิสระก็คือ การทำความเข้าใจและศึกษาปรัชญาแห่งอะมั้ลอิบาดะฮ์ทั้งหลาย
จากหนังสือ"ปรัชญาแห่งอิบาดะฮ์" ประพันธ์โดย อายะตุลลอฮ์ ญะวาดี ออโมลี