ผู้ป่วยแห่งกัรบาลาอฺ (ตอนที่2)
ศาสนาเป็นเพียงแค่ลมปาก
ท่านอิมามซัยนุลอาบิดีน(อ) ขึ้นดำรงตำแหน่งอิมามในสภาวะเช่นนี้ ที่จะต้องทนความบอบช้ำของบนีฮาชิมที่ได้รับได้ถูกกระทำโดยบนีอุมัยยะฮฺ ในสภาวะที่บนีอุมัยยะฮฺได้กระทำต่อวงศ์วานของศาสดา(ศ)แบบไร้ซึ่งศรัทธา ในสภาวะที่ไร้ซึ่งอัคลาคของประชาชาติจำนวนมาก ในยุคนั้นศาสนาเกือบจะไม่หลงเหลือสิ่งใด ซึ่งสอดคล้องกับวาทกรรมหนึ่งของท่านอิมามฮุเซ็น(อ) ที่กล่าวว่า มนุษย์ส่วนมากที่นับถือศาสนาเพียงแค่เป็นทาสของดุนยาเท่านั้น ศาสนาไม่ใช่สิ่งที่เขาศรัทธาอย่างแท้จริง แต่เป็นเพียงเรื่องที่พวกเขาพูดแค่ลมปากเท่านั้น
อิมามฮุเซ็น(อ) ได้พูดสิ่งนี้ก่อนการพลี แต่อิมามซัยนุลอาบิดีน(อ) ได้สัมผัสสิ่งเหล่านี้หลังจากการพลีและหลังจากเกิดเหตุการณ์ สำหรับคนจำนวนมากที่ไม่ได้เข้าร่วมกับท่านอิมามฮุเซ็น(อ)ที่กัรบาลาอฺ ต่างก็คิดว่ายะซีด(ลน.) คงไม่กล้าที่จะก่ออาชญากรรมถึงขนาดนั้น แต่เมื่อเหตุการณ์ได้เกิดขึ้นแบบนี้แล้ว เบื้องต้นหาได้สร้างความโกรธแค้นอย่างจริงจังแก่พวกเขาไม่ แต่กลับเพิ่มพูนความหวาดกลัวยิ่งขึ้นไปอีก ซึ่งรายละเอียดในประวัติศาสตร์นั้นมีแง่มุมต่างๆอย่างมากมาย
ยะซีด ทำลายอาคารกะอฺบะฮฺ
1 ปี หลังจากเหตุการณ์กัรบาลาอฺ ยะซีด(ลน.) ได้บุกถล่มและเข่นฆ่าชาวมะดีนะฮฺนับหมื่นคน บรรดาสตรีในมะดีนะฮฺจำนวนหนึ่งถูกข่มขืน และถัดจากนั้นอีก 1 ปี ยะซีดก็ได้ทำการบุกเมืองมักกะฮฺและยิงถล่มเมืองมักกะฮฺ แล้วสังหาร อับดุลลอฮฺ อิบนิ ซุเบร สาเหตุที่ยิงสังหารอับดุลลอฮฺ อิบนิ ซุเบร เพราะเขาได้ประกาศตัวเป็นคอลีฟะฮฺแข่งกับยะซีด จากนั้นได้หนีเข้าไปในกะอฺบะฮฺ ยะซีดจึงได้สั่งให้ยิงถล่มกะอฺบะฮฺ จนกระทั่งลูกปืนไฟ หรือลูกปืนใหญ่ในยุคนั้น ถูกอาคาร กะอฺบะฮฺ ทำให้ไฟนั้นได้เผาผ้าบางส่วนของกะอฺบะฮฺ ซึ่งอาชญากรรมต่างๆเหล่านี้ ก็ยิ่งข่มขวัญและสร้างความหวาดกลัวให้กับบรรดาประชาชาติและบุคคลที่นับถือศาสนาเพียงลมปากเท่านั้น
อิมามซัยนุลอาบิดีน(อ) คือ ผู้ที่เข้ามารับสถานการณ์แบบนี้ สถานการณ์ในวันนั้นเป็นเช่นนี้ ซึ่งในสภาวะเช่นนี้ บรรดา อะฮฺลุลบัยตฺ(อ)เกือบจะไม่เหลือใครและผู้ใด ชายหนุ่มนักรบแห่งบนีฮาชิมก็แทบไม่เหลือ ในวันนั้นอีมาน ความศรัทธา และอัคลาค เกือบสูญสิ้นจากประชาชาติอิสลาม แต่ด้วยความยิ่งใหญ่ของ ตำแหน่งอิมามัต ท่านอิมามซัยนุลอาบิดีน (อ) จึงได้พลิกสถานการณ์นี้ด้วยวิธีการและรูปแบบต่างๆที่ลึกซึ้งเป็นอย่างมาก ซึ่งในเบื้องต้นศัตรูไม่สามารถที่จะอ่านยุทธ์วิธีออก แม้ว่าหลังเกิดเหตุการณ์กัรบาลาอฺ ศัตรูจะเฝ้าติดตามท่านอิมามซัยนุล อาบิดีน(อ)อยู่ตลอดเวลา
บนีอุมัยยะฮฺได้มีการวางบรรดาสายลับในเมืองมะดีนะฮฺอย่างมากมาย เพื่อทำการตรวจสอบและเฝ้าดูทุกความเคลื่อนไหวของท่าน แต่ด้วยความเคลื่อนไหวที่ลึกซึ้งและแยบยลของท่านนั้น สามารถพลิกฟื้นสถานการณ์ขึ้นมาเรื่อยๆจนกระทั่งอิสลามอันบริสุทธิ์ได้ถูกพิทักษ์ปกปักษ์รักษามาถึงพวกเราในวันนี้ ท่านอิมามซัยนุลอาบิดีน(อ) ได้ทุ่มเททั้งชีวิตของท่านหลังเหตุการณ์ กัรบาลาอฺ ท่านดำรงตำแหน่งอิมามัตหลังจากเหตุการณ์นี้ถึง 35 ปี เพื่อที่จะรับภารกิจอันนี้ และในช่วงระยะเวลา 35 ปี ได้รับภารกิจในการปลุกจิตสำนึกของประชาชาติอิสลามให้ฟื้นกลับมาอีกครั้งหนึ่ง ด้วยการนำเอาประชาชาติอิสลามกลับเข้าสู่การมีอีมานต่ออัลลอฮฺ (ซบ) และอัคลาคที่แท้จริง เนื่องจากสิ่งที่ประชาชาติอิสลามในยุคนั้น ไม่ให้ความสำคัญเลย ก็คือ ความศรัทธาและ อัคลาค
ยุทธวิธีต่างๆของท่านอิมามซัยนุลอาบีดีน(อ)
หลังจากเหตุการณ์กัรบาลาอฺ ยุทธวิธีแรกและยุทธวิธีสำคัญที่ท่านอิมามซัยนุลอาบิดีน(อ) สามารถพลิกฟื้นสถานการณ์ได้ดีเป็นอย่างมาก จนกระทั่งนำมาสู่การล้มราชวงศ์บนีอุมัยยะฮฺได้ในที่สุด คือ การเผยแผ่สาส์นแห่งกัรบาลาอฺ การนำเรื่องราวแห่งกัรบาลาอฺไปนำเสนอสู่ประชาชาติอิสลาม นำเรื่องราวและเป้าหมายของท่านอิมามฮุเซ็น(อ) นำเรื่องราวและสาส์นของท่านอิมามฮุเซ็น(อ)ไปสู่ประชาชาติอิสลาม ให้ประชาชาติอิสลามได้เห็น และรับรู้ถึงความสำคัญของการลุกขึ้นกิยามของท่านอิมาม ฮุเซ็น(อ)
ยุทธวิธีเบื้องต้น คือการเรียกน้ำตาของประชาชาติเอาน้ำตาแห่งกัรบาลาอฺมาชำระล้างบาปของพวกเขา ชำระล้างหัวใจที่มืดบอดของพวกเขา โดยท่านอิมามซัยนุลอาบีดีน(อ) เป็นผู้แสดงด้วยตัวของท่านเอง ด้วยการแสดงของเหล่าสตรีและลูกหลาน และด้วยการนำเสนอของบรรดาบุคคลจำนวนหนึ่งที่ได้รับการถ่ายทอดเรื่องราวแห่งกัรบาลาอฺสู่ประชาชาติอิสลาม การแสดงแบบอย่างด้วยตัวของท่านเองนั้น เราก็พอได้ยินกันมาบ้างแล้ว ตลอดช่วงระยะเวลา 35 ปี แห่งการดำรงตำแหน่งอิมาม ไม่มีแม้แต่สักวันเดียวที่ท่านจะไม่หลั่งน้ำตาให้กับเหตุการณ์กัรบาลาอฺ พวกเราร้องไห้แค่ สิบวันก็ไม่ต้องไปตกใจและไม่ต้องเอาไปเทียบเคียงอะไรทั้งนั้น และสิ่งนี้สามารถยืนยันโดยหลักฐานทางประวัติศาสตร์ จากฮะดิษ และ ริวายัตที่กล่าวว่า ตลอด 35 ปี ไม่มีแม้แต่สักวันเดียวที่ท่านอิมามซัยนุลอาบีดีน (อ) จะไม่หลั่งน้ำตาให้กับเหตุการณ์ที่กัรบาลาอฺ ในบางริวายัตได้กล่าวว่า “ทุกครั้งที่เห็นน้ำ ท่านจะร้องไห้”
จากนั้นจึงมีคำพูดต่างๆนานา ที่จะบอกถึงเหตุผลในการร้องไห้ เมื่อท่านขอน้ำดื่ม เมื่อจะยกน้ำขึ้นมาดื่ม ท่านก็จะร้องไห้ ไม่ว่าท่านจะดื่มน้ำ ณ ที่ใด ท่านจะไม่ดื่มน้ำแม้แต่สักแก้วเดียว จนกว่าจะร้องไห้หรือจนกว่าจะหลั่งน้ำตาให้กับเหตุการณ์ที่กัรบาลาอฺ ทุกครั้งที่เดินเข้าไปในตลาด เมื่อได้เห็นการเชือดแพะ เชือดแกะ ท่านจะก็จะร้องไห้ ให้กับเหตุการณ์กัรบาลาอฺ ทุกครั้งที่นั่งอยู่บนสำรับอาหาร เมื่ออาหารทั้งหมดถูกจัดอย่างครบถ้วน ก่อนที่มือจะไปถึงอาหาร ท่านก็จะร้องไห้ให้กับเรื่องราวแห่งกัรบาลาอฺ ทุกครั้งที่พบกับคนพลัดถิ่น คนต่างเมือง คนหลงทาง ท่านก็จะร้องไห้ให้กับเหตุการณ์แห่งกัรบาลาอฺ และนำทุกเหตุการณ์ที่ได้พบเห็นไปเทียบกับเรื่องราวในกัรบาลาอฺทั้งหมด เพื่อต้องการที่จะทิ้งให้กับประชาชาติและพวกเราทุกคนที่อยู่ในแนวทางนี้รู้ว่า เรื่องราวสำคัญอันยิ่งใหญ่นี้ เป็นเรื่องราวที่จะต้องรำลึกทุกลมหายใจของมนุษย์
หลังจากนั้นบรรดาอะอิมมะฮฺ(อ )ก็นำเสนอเรื่องราวต่างๆ เช่น การนมาซบนดินกัรบาลาอฺ อะไรต่อมิอะไรอย่างมากมาย จนไปถึงขั้นบรรดาอะอิมมะฮฺ(อ) ในแต่ละยุคได้กล่าวว่า ถ้ามีเรื่องราว มีเรื่องเศร้า มีเรื่องโศก มีมูศีบัตต่างๆ ก่อนที่พวกเราจะร้องไห้ให้กับมูศีบัตเหล่านั้นหรือก่อนที่เราจะร่ำไห้แก่มูศีบัตของเรานั้น ก็จงร้องไห้ให้กับท่านอิมามฮุเซ็น(อ) จงร่ำไห้ให้กับมูศีบัตแห่งกัรบาลาอฺ เถิด
ท่านอิมามริฎอ(อ) กล่าวว่า ถ้าหากท่านจะร้องไห้กับสิ่งหนึ่งสิ่งใด หรือ ถ้าหากท่านจะร้องไห้ให้กับเรื่องราวส่วนตัวแล้ว (มูศีบัตส่วนตัวของเรา) ไม่ว่าเรื่องอะไร จะยากจนข้นแค้น ญาติพี่น้องและคนรักเสียชีวิต ความเสียหายในทรัพย์สินเงินทอง หรือ เรื่องอะไรก็ตามที่เป็นเหตุการณ์ส่วนตัวที่สามารถจะเรียกน้ำตาของเราได้ ก็จงเก็บน้ำตานั้นเอาไว้ แล้วจงร้องไห้และหลั่งน้ำตาให้กับท่านอิมาม ฮุเซ็น(อ)เถิด
ริวายัตและการปฏิบัติต่างๆเหล่านี้ ท่านอิมามซัยนุลอาบีดีน(อ) เป็นผู้สถาปนาขึ้นมา น้ำตาของผู้ศรัทธา น้ำตาของผู้ที่มีความรักต่ออะฮฺลุลบัยตฺ(อ) จะต้องไม่เหือดแห้งจากเรื่องราวแห่งกัรบาลาอฺ จะต้องรำลึกถึงมันอยู่เสมอ ส่วนการรำลึกที่มีในช่วง 1-10 วันแห่งมุฮัรรอมจนถึงอาชูรอนั้น คือการรำลึกอย่างเป็นทางการที่ยิ่งใหญ่เท่านั้นเอง
ขอขอบคุณเว็บไซต์ syedsulaiman