ฟาฏิมะฮฺ(อ.) กับสถานภาพอันสูงส่ง
อัลลามะฮฺ มัจลิซี ได้รายงานไว้ในหนังสือบิฮารุล-ฮันวารฺของเขา เล่ม 43 หน้า 24 ว่า ศาสดามุฮัมมัด (ศ.) ได้กล่าวไว้ว่า
"ฟาฏิมะฮฺคือหัวหน้าของสตรีในสากลโลก จากยุคแรกจนถึงยุคสุดท้าย เมื่อนางยืนขึ้นทำนมาซ
มะลาอิกะฮฺ(เทวทูต) สองหมื่นท่านจะสดุดีและกล่าวแก่นางเช่นเดียวกับที่กล่าวแก่มัรยัม(แมรี่) โดยพวกเขากล่าวว่า 'โอ้ฟาฏิมะฮฺ แท้จริงแล้วพระผู้เป็นเจ้าได้เลือกท่าน และขจัดมลทินจากท่าน และเลือกท่านเหนือบรรดาสตรีทั้งหลายในสากลโลก' พวกเขาเหล่านั้นเป็นมะลาอิกะฮฺ(เทวทูต) ที่ถูกคัดเลือกแล้ว"
ในหนังสือเล่มเดียวกัน ยังมีรายงานอีกว่า เมื่อมีผู้ถามท่านศาสดามุฮัมมัด(ศ.)ว่า ฟาฏิมะฮฺเป็นหัวหน้าของบรรดาสตรีในโลกนี้หรือ ท่านตอบว่า
"มัรยัม บุตรสาวของอิมรอนนั้น คือหัวหน้าของบรรดาสตรีในโลกนี้ ส่วนฟาฏิมะฮฺบุตรสาวของฉันนั้น คือหัวหน้าของบรรดาสตรีในสากลโลก"
เมื่อเป็นที่เข้าใจกันแล้วว่าฟาฏิมะฮฺ(อ.) มีตำแหน่งเช่นนั้นในจักรวาล เราจึงได้รู้ด้วยว่าเราจะต้องขวนขวายเรียนรู้เกี่ยวกับท่านหญิงผู้ยิ่งใหญ่ท่านนี้อย่างจริงจัง เราต้องเรียนรู้ว่าท่านเป็นใคร และใช้ชีวิตอย่างไร แล้วเราต้องทำตามแบบอย่างการใช้ชีวิตของท่าน ไม่ว่าเราจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง แท้ที่จริงแล้ว สถานภาพและการดำเนินชีวิตของท่านนั้นมีความสูงส่งจนกระทั่งอิมามมะฮฺดีย์(อ.) ถึงกับกล่าวว่า
"ในตัวบุตรสาวของท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺนั้น คือตัวอย่างอันยิ่งใหญ่สำหรับฉันในการปฏิบัติตาม" (อัล-มีซาน เล่ม 3 หน้า 180)
เราจะต้องไม่มองข้าม การที่อิมามมะฮฺดีย์(อ) ผู้ปลดปล่อยโลก ผู้ที่จะนำความยุติธรรมและเท่าเทียมกันมาสู่โลก และขยัดความอยุติธรรมและการกดขี่ให้หมดสิ้นไป ผู้สืบทอดของบรรดาศาสดาและจะมาทำความพยายามของศาสดาทั้งหลายให้เป็นจริง ผู้จะมาสถาปนาศาสนาและการปกครองของพระผู้เป็นเจ้าบนหน้าแผ่นดินนี้ ยังต้องยึดถือบทเรียนจากท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ(อ.) แล้วเราจะสามารถทำเฉยเมยและหลงลืมท่านไปได้หรือ?
สถานภาพอันสูงส่งของท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ(อ.) ต่อพระผู้เป็นเจ้า
ท่านศาสดามุฮัมมัด(ศ.) ได้กล่าวในหลายๆ โอกาสว่า
"แท้จริง พระผู้เป็นเจ้าทรงกริ้วเมื่อฟาฏิมะฮฺถูกทำให้โกรธ และพระองค์ทรงพอพระทัยเมื่อฟาฏิมะฮฺพอใจ" (บิฮารุล-อันวารฺ เล่ม 43 หน้า 54)
เมื่อเราใคร่ครวญถึงคำกล่าวนี้มากเท่าไหร่ เราก็จะยิ่งเห็นสถานภาพของท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ(อ.) ชัดเจนยิ่งขึ้นเท่านั้น คำกล่าวนี้มีความหมายอันยิ่งใหญ่ และทุกคนควรรับรู้เอาไว้ตามความสามารถและความเข้าใจของตัวเอง เราจะพิจารณาถึงเรื่องนี้ในสองประเด็น
1. มนุษย์จะมีความโน้มเอียงไปในด้านสถานะและตำแหน่งเป็นธรรมชาติอยู่แล้ว น่าเสียดายที่คนส่วนใหญ่เชื่อว่าคนเราสามารถไปถึงจุดหมายนี้ได้ด้วยทรัพย์สินและอำนาจ ดังนั้น พวกเขาจึงแสวงหาและใช้ความสามารถและทรัพยากรทั้งหมดที่พระผู้เป็นเจ้าให้มาไปในการแสวงหาความมั่งคั่งและอำนาจ เพราะพวกเขาหลงเชื่อว่าถ้าพวกเขามีสิ่งเหล่านี้มากขึ้นเท่าไหร่ สถานะของพวกเขาก็จูงส่งขึ้นมากเท่านั้น อย่างไรก็ตาม อิสลามได้แสดงให้เราเห็นแล้วว่าวิถีทางนี้เป็นวิถีแห่งมารร้าย
สถานะและคุณค่าที่แท้จริงมาพร้อมกับการเชื่อฟังและยอมจำนนต่อพระผู้เป็นเจ้า เมื่อมีการยอมจำนนมอบหมายตนต่อพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้ามากเท่าไหร่ เขาก็จะมีสถานะสูงส่งมากเท่านั้น
เขาก็จะมาถึงจุดที่บ่าวผู้ยอมจำนนต่อพระผู้เป็นเจ้าอย่างแท้จริง และพระผู้เป็นเจ้าได้มอบสิ่งทั้งหลายในชั้นฟ้าและแผ่นดินให้แก่เขา จนมีรายงานกล่าวว่า บ่าวที่แท้จริงของพระผู้เป็นเจ้านั้น สามารถไปถึงสถานะที่เมื่อใดก็ตามที่เขาประสงค์สิ่งใดก็จะได้สิ่งนั้น เช่นเดียวกับที่พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า "จงเป็น" แล้วมันก็เป็น ท่านหญิงฟาฏิมะฮฺได้ยอมจำนนมอบหมายตัวเองแก่พระผู้เป็นเจ้าอย่างแท้จริง จนความกริ้วและความพึงพอพระทัยของพระผู้เป็นเจ้านั้นขึ้นอยู่กับความโกรธและความพอใจของท่าน
2. สถานะของท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ (อ.) ยังถูกนำมาใช้เพื่อปกป้องตำแหน่งการเป็นผู้นำ และสิทธิของอิมามอะลี (อ.) ด้วย
แท้ที่จริงแล้ว ท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ(อ.) คือบุคคลแรกที่ทำการปกป้องตำแหน่งการเป็นผู้นำ
การปกป้องสามีของท่าน และสิทธิที่พระผู้เป็นเจ้าประทานให้นั้น ได้ทำให้ท่านถูกทำร้ายในบ้านของตัวเอง และเป็นชะฮีด(พลีชีพในหนทางของพระผู้เป็นเจ้า) จากการบาดเจ็บครั้งนั้น ด้วยความโกรธที่ท่านมีต่อผู้บุกมาทำร้ายท่าน และแย่งชิงสิทธิสามีของท่านนั้น ทำให้ท่านขอร้องต่อสามีว่าให้ฝังร่างของท่านในยามกลางคืน เพื่อบรรดาคนที่ท่านโกรธจะได้ไม่มาร่วมในพิธีศพและนมาซให้ท่าน
ด้วยการทำเช่นนั้น ท่านหญิงฟาฏิมะฮฺได้ทิ้งคำถามตลอดกาลไว้ในหัวใจของผู้แสวงหาสัจจธรรมทุกคนว่า "ทำไมบุตรสาวคนเดียวที่เหลืออยู่ของศาสดาแห่งอิสลามจึงถูกฝังในยามกลางคืน และทำไมจึงไม่มีใครรู้ว่าสุสานของท่านอยู่ที่ไหน?"
ขอขอบคุณ Cr: Arit Sabilai by face book