โดย : เมาลานา ซัยยิด มุฮัมมัด ริซวี
เห็นได้จากชื่อของมันเอง อิสลามคือศาสนาแห่งสันติ ชาวมุสลิมถูกสอนให้กล่าวทักทายกันและกันด้วยการกล่าวว่า “อัสสลามุ อะลัยกุม – ขอความสันติจงมีแด่ท่าน” ในนมาซประจำวันก็สิ้นสุดลงด้วยประโยคเดียวกันนี้ ในอิสลาม พระนามหนึ่งซึ่งเป็นที่รู้จักสำหรับพระผู้เป็นเจ้าก็คือ “อัส-สลาม” ซึ่งหมายถึงความสันติ
อย่างไรก็ตาม เราต้องรู้ด้วยว่าความสันติสุข หรือสันติภาพในระดับของสังคมนั้น มันควบคู่กันไปกับความยุติธรรม สันติภาพจะสามารถเกิดมีขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีความยุติธรรมในสังคม
โชคร้าย เนื่องจากเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในตะวันออกกลางในระยะเวลาห้าสิบปีมานี้ อิสลามได้ถูกตราหน้าโดยสื่อชาติตะวันตกว่าเป็นศาสนาของความรุนแรง ในปัจจุบัน คำว่า “อิสลาม” ได้กลายมาเป็นคำคุณศัพท์อย่างหนึ่งของ “ลัทธิก่อการร้าย” ไปเสียแล้ว
เบื้องหลังของเรื่องนี้ ประการแรก เราต้องทำความเข้าใจก่อนว่า เหตุการณ์ต่างๆ ในตะวันออกกลางนั้น สามารถเข้าใจได้อย่างเต็มที่และเป็นธรรมด้วยการมองย้อนกลับไปยังประวัติศาสตร์ภายหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่งของดินแดนแห่งนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การไม่รักษาสัญญาที่อังกฤษให้ไว้แก่ชาติอาหรับเพื่อเป็นการยุยงส่งเสริมให้เกิดการจลาจลต่อต้านผู้ปกครองชาวมุสลิม
ประการที่สอง คนที่มีใจเป็นธรรมจะไม่ให้ตัวเองตำหนิโทษศาสนาอิสลาม ต่อการกระทำผิดของบรรดาผู้ที่เรียกตัวเองว่ามุสลิม เหมือนอย่างการจะกล่าวว่า นิกายแคโธลิกสนับสนุนส่งเสริมความรุนแรงและการก่อการร้ายเพราะการกระทำของกองทหารไอร์แลน ก็ไม่ได้เช่นกัน
จุดมุ่งหมายของชีวิต
ชีวิตบนโลกนี้ของเรามีจุดมุ่งหมายที่เฉพาะเจาะจงประการหนึ่ง ชีวิตไม่ใช่ผลจากความบังเอิญของธรรมชาติ และไม่ใช่เป็นการลงโทษจากการกินผลของต้นไม้ต้องห้าม เรามาอยู่ที่นี่ตามการวางแบบแผนของพระผู้เป็นเจ้า เพื่อให้บรรลุถึงชีวิตนิรันดร์อันบรมสุขในปรโลก ท่านศาสดามุฮัมมัด(ศ.) กล่าวไว้ว่า “พวกท่านไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อดับสูญ แต่ตรงกันข้าม พวกท่านถูกสร้างขึ้นมาเพื่อชีวิตนิรันดร์”
อย่างไรก็ตาม ในการที่จะบรรลุถึงชีวิตนิรันดร์อันบรมสุขและสง่างามนั้น เราต้องก้าวผ่านการทดสอบและบทพิสูจน์ในโลกนี้เสียก่อน การทดสอบนั้นก็เพื่อจะได้รู้ว่าเราได้ยอมจำนนและมอบหมายตัวเองต่อพระบัญชาของพระผู้เป็นเจ้าใจสมัครแค่ไหน ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราทำนั้นเป็นการทดสอบและบทพิสูจน์อย่างหนึ่งสำหรับเรา ถ้าเราปฏิบัติตามพระบัญชาของพระผู้เป็นเจ้า เราก็จะประสบความสำเร็จ หรือมิฉะนั้น เราก็จะมีชีวิตนิรันดร์ที่ปราศจากความสุขและความสง่างามเลย
นี่คือคำสอนของอิสลาม ศาสนาที่พระผู้เป็นเจ้าได้ส่งมายังศาสดามุอัมมัด มันได้ถูกพิทักษ์รักษาไว้ให้ดำรงอยู่เช่นนั้นโดยบรรดาผู้นำที่มาจากครอบครัวของท่านศาสดา ดังที่สารสำคัญสุดท้ายของท่านศาสดามุฮัมมัด(ศ.) ได้ระบุเอาไว้ว่า “ฉันได้ทิ้งสิ่งสำคัญสองประการไว้ในหมู่พวกท่าน นั่นคือคัมภีร์ของอัลลอฮฺ(อัล-กุรอาน) และอีกอย่างหนึ่งคือครอบครัวของฉัน อะฮฺลุลบัยตฺ ตราบใดที่พวกท่านยึดมั่นอยู่กับสองสิ่งนี้ พวกท่านจะไม่หลงผิด”
แปล/เรียบเรียง : เญาฮาเราะห์