อัลกุรอานกล่าวว่า “กลุ่มชนหนึ่งที่พระองค์ทรงชี้นำทาง อีกกลุ่มหนึ่งสมควรแก่การหลงผิด เนื่องจากพวกเขายึดเอาบรรดาชัยฏอน เป็นผู้คุ้มครองแทนอัลลอฮฺ พวกเขาคิดว่าพวกเขาเป็นผู้ได้รับการชี้นำ (อะอฺรอฟ 30)
فرِيقًا هَدَى وَفَرِيقًا حَقَّ عَلَيْهِمُ الضَّلاَلَةُ إِنَّهُمُ اتَّخَذُوا الشَّيَاطِينَ أَوْلِيَاءَ مِن دُونِ اللّهِ وَيَحْسَبُونَ أَنَّهُم مُّهْتَدُونَ
คำว่า ฮิดายะฮฺ หมายถึง ทางนำ ซึ่งทางนำที่ดีที่สุดคือ ทางนำที่มาจากพระเจ้า ดังที่อัลกุรอานกล่าวว่า “อัลกุรอานนั้นเป็นทางนำแก่ปวงผู้มีความสำรวมตนจากบาป” แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นในโลกนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมมุสลิมคือ ความเข้าใจผิดเรื่องการได้รับฮิดายะฮฺ หรือทางนำ เพราะทุกคนจะอ้างโดยพูดเข้าข้างตนเองว่า ตนได้รับทางนำแล้ว ขณะเดียวกันเราก็ยังไม่พบว่า มีผู้ใดประกาศตนต่อหน้าสาธารณชนว่า ตนยังไม่ได้รับทางนำ ทว่ามีแต่พวกพูดปดกับสังคมว่า ตนได้รับทางนำแล้วทั้งสิ้น จงอย่าคิดว่าการหลงทาง หรือการได้รับทางนำ เป็นข้อกำหนดของอัลลอฮฺ เพราะอัลกุรอาน กล่าวว่า อัลลอฮฺ ประสงค์จะฮิดายะฮฺ (ชี้นำ) ผู้ใด หรือสิ่งใดแล้วทรงกระทำตามประสงค์ของพระองค์ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นสรรพสัตว์ หรือมนุษย์ก็ตาม และไม่แตกต่างกันว่าผู้นั้นจะเป็นใคร เชื้อชาติ และผิวสีอะไร เพราะถ้าอัลลอฮฺ (ซบ.) ประสงค์ พระองค์จะทรงชี้นำทางพวกเขา
ประหนึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในกัรบะลาอฺ เป็นสิ่งแสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าใครคือ ผู้ได้รับทางนำ และใครคือบุคคลที่ไม่ได้รับทางนำ เพราะในกัรบะลาอฺมีผู้คนอยู่ 2 กลุ่ม กลุ่มหนึ่งคือบุตรหลานของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) หรืออะฮฺลุลบัยตฺ (อ.) ส่วนอีกกลุ่มคือบุตรหลานของมุอาวิยะฮฺ หรือพวกราชวงศ์อะมะวียะฮฺ หรืออีกนัยหนึ่ง กล่าวให้ชัดยิ่งกว่านั้นคือ กลุ่มหนึ่งในกัรบะลาอฺคือ กลุ่มชนที่ได้รับทางนำ ดังที่อัลลอฮฺ (ซบ.) ตรัสว่า فرِيقًا هَدَى “พวกหนึ่งทรงชี้นำทาง ส่วนอีกคนหนึ่งคือ وَفَرِيقًا حَقَّ عَلَيْهِمُ الضَّلاَلَةُ “พวกที่สมควรแก่การหลงผิด” ท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.) ผู้เป็นหลานรักของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) และเป็นหัวหน้าชายหนุ่มแห่งสรวงสวรรค์ เมื่อฝ่ายตรงข้ามสังหารท่านอย่างทารุณกรรม ด้วยการตัดศีรษะ แล้วพวกเขาก็พากันเปล่งเสียง ตักบีรดังกึกก้องว่า “อัลลอฮุอักบัร” เป็นการประกาศให้โลกรู้ว่า พวกเขาได้รับชัยชนะแล้ว แต่ถ้าถามว่าพวกเขาสังหารอิมามฮุซัยนฺ (อ.) เพื่ออะไร? การสังหารหลานรักของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) นะหรือคือชัยชนะ?
ทุกวันนี้ก็เช่นเดียวกัน เมื่อผู้อ้างตนว่าเป็นมุสลิมผู้เคร่งครัด ร่วมกันสังหารพี่น้องมุสลิมทั้งเด็กและผู้ใหญ่ อย่างเหี้ยมโหด ดังที่เกิดในประเทศซีเรีย อีรัก อัฟกานิสถาน ปากีสถาน บาห์เรน และฯลฯ พวกเขาก็กรู่ร้องด้วยเสียงดังว่า “อัลลอฮุอักบัร” แต่เมื่อถามพวกเขาว่า สังหาร พี่น้องมุสลิมเหล่านั้น ด้วยเหตุผลอะไร พวกเขามีความผิดอันใดหรือถึงต้องพิพากษา ให้ประหารชีวิต ไม่มีคำตอบอันใดทั้งสิ้น ผู้สังหารจึงได้รับฉายานามใหม่ว่า กลุ่มตักฟีรี หมายถึงผู้อยู่ในคราบของมุสลิม แต่ปฏิเสธความจริง เพราะพวกเขากำหนดเส้นแดงให้แก่ตนเองว่า ผู้ใดปฏิบัติไม่เหมือนเรา พวกนั้นผิด หรือตกมุรตัด หรือกลายเป็นผู้ปฏิเสธไปโดยปริยาย โทษของผู้ปฏิเสธคือ การประหารชีวิตนั่นเอง การตัดสิน และการกระทำเช่นนี้คือ ความถูกต้องแล้วหรือ?
ดังนั้น กลุ่มผู้สังหารชีวิตผู้อื่นต่างคิดเอาเองว่า พวกเขาคือผู้ได้รับชัยชนะ หรือผู้ได้รับการชี้นำแล้ว แต่เมื่อถามว่า ผู้ที่ได้รับการชี้นำทางอันถูกต้องแล้ว จะมีการกระทำอันโหดร้ายยิ่งกว่าเดรัจแนกระนั้นหรือ? ถ้าเป็นเช่นนั้นก็คงจะไม่มีผู้ใดอยากได้ทางนำอีกต่อไป เพราะอยู่อย่างไม่ได้รับทางนำยังดีเสียกว่า เพราะไม่ต้องสังหารชีวิตผู้ใด ให้มือต้องเปรอะเปื้อนเลือด เมื่อตั้งคำถามอีกว่า แล้วจริงหรือที่พวกเขาได้รับทางนำ? ประกอบกับเมื่อพิจารณาถึงการกระทำของพวกเขา ก็ได้รับคำตอบชัดเจนจากอัลกุรอานว่า “พวกเขาคิดว่าพวกเขาเป็นผู้ได้รับการชี้นำ” แต่ในความเป็นจริง มิได้เป็นเช่นนั้น พวกเขากำลังเข้าใจผิด พวกเขามิได้รับทางนำแต่อย่างใด พวกเขาคิดเดาเอาเองทั้งสิ้น แล้วอะไรเล่าคือสาเหตุที่ทำให้พวกเขาเข้าใจผิด อัลกุรอานตอบว่า “เนื่องจาก พวกเขายึดเอาบรรดาชัยฏอน เป็นผู้คุ้มครองแทนอัลลอฮฺ” บรรดาชัยฏอน หมายถึงอะไร? หมายถึงเครื่องหมายแห่งความชั่วร้าย อาจหมายถึงประเทศมหาอำนาจในปัจจุบัน หรือผู้ปกครองทรราช์ อัตตาตัวตน หรืออำนาจฝ่ายต่ำที่อยู่ในตัวเราก็เป็นได้ สภาพเหมือนที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ที่กลุ่มทรราชย์ กำลังซักฟอกความคิดของมุสลิมกลุ่มหนึ่ง ให้กลายเป็นพวก ตักฟีรี พวกเขาจึงสามารถสังหารมุสลิม และชีวิตผู้อื่นได้อย่างเลือดเย็น แล้วประกาศว่าพวกเขาคือ ผู้ศรัทธาแท้จริง เช่นกันเมื่อใดที่เรายึดอัตตาตัวตน หรืออำนาจฝ่ายต่ำ เป็นเป้าหมายแทนอัลลอฮฺ เมื่อนั้นเราก็คือผู้หลงทางอย่างแน่นอน เพราะสิ่งเหล่านั้นจะทำให้เราคิดว่า สิ่งที่เราพูด หรือสิ่งที่เราทำคือ ความถูกต้องเป็นจริงเสมอ ส่วนสิ่งที่คนอื่นพูดหรือกระทำขัดแย้งกับเรา พวกเขาเป็นฝ่ายผิด อีกนัยหนึ่ง เฉพาะพวกเราเท่านั้นที่ได้รับทางนำ ส่วนผู้อื่นคือ ผู้หลงทาง และหลงผิด
อะไรคือสัญลักษณ์ของ ผู้ที่ได้รับการชี้นำ? อัลกุรอานกล่าวว่า “บุคคลที่มีอีมานคือบุคคลที่ได้รับทางนำ” แล้วมุอฺมินและมุสลิมผู้มีอีมานคือใคร ท่านอิมามซอดิก (อ.) กล่าวว่า “ความสัมพันธ์ระหว่างมุสลิมกับอีมาน ประหนึ่งความสัมพันธ์ ระหว่างมักกะฮฺกับมัสญิดฮะรอม บุคคลใดก็ตาม ที่เข้าไปในมัสญิดฮะรอม มิได้หมายความว่า เขาเข้าไปในกะอฺบะฮฺด้วย แต่บุคคลใดที่เข้าไปในกะอฺบะฮฺ เท่ากับเขา เข้าไปในมัสญิดฮะรอมด้วย” ฉะนั้น บุคคลที่มีอีมาน มิได้หมายความว่าเขาเป็น มุอฺมิน แต่ทุกคนที่เป็นมุอฺมิน เขาต้องมีอีมาน ท่านอิมามซัจญาด (อ.) กล่าวว่า “อะลามาตมุอฺมิน คอมซะฮฺ” เครื่องหมายของ มุอฺมิน มี 5 อย่าง กล่าวคือ
“มุอฺมิน” คือ ผู้ที่อยู่ตามลำพัง เขามีตักวา กล่าวคือเขาจะไม่ทำบาปไม่ว่าจะอยู่ ณ ที่ใด จะอยู่ในที่ลับหรือที่แจ้ง หรืออยู่ต่อหน้าและลับหลังก็ตาม
“มุอฺมิน” คือ ผู้มีความอดทนอดกลั้นต่อทุกความทุกข์ และทุกข์คำใส่ร้ายที่ถาถมมาสู่
“มุอฺมิน” คือ ผู้พูดความจริงเสมอ ถึงแม้ว่าจะเกิดอันตรายกับตัวเอง แต่เขาไม่กลัว เพราะถ้าเขาไม่พูดความจริง อันตรายอาจเกิดกับชีวิตคนอื่นก็ได้
“มุอฺมิน” คือ ผู้บริจาคทานแม้ว่าจะมีเพียงน้อยนิดก็ตาม
“มุอฺมิน” คือ ผู้มีขันติธรรมยามมีโมหะ เพราะโกรธคือโง่ โมโหคือบ้า
อัลกุรอานเน้นย้ำว่า “นั่นคือคัมภีร์ ที่ไม่มีความสงสัยเคลือบแคลง เป็นทางนำแก่ผู้ยำเกรง ผู้ที่ได้รับทางนำคือ ผู้ที่สัมพันธ์อยู่กับอับกุรอาน อย่างน้อยต้องอ่านอัลกุรอานทุกวัน ดังนั้น ลองสำรวจตัวเองดูซิว่า เราเป็นผู้ศรัทธาแล้วหรือยัง เพราะเงื่อนไขของการได้รับทางนำคือ การเป็นผู้ศรัทธาแท้จริง มิใช่ศรัทธาเฉพาะลมปาก
ขอขอบคุณเว็บไซต์ตักรีบมะซาฮิบอิสลาม