เซารีย์ กล่าวว่า : ในภารกิจช่วงแห่งการทำอัจญ ฉันเห็นชายผู้หนึ่งกำลังเดินฏอวาฟเขามุ่นอยู่แต่เฉพาะการกล่าวสรรเสริญ(เศาะลาวาตนบี และลูกหลาน) เช่นกันที่อะรอฟะฮ(วูกูฟ) และในมะดีนะฮ เขาก็มุ่นอยู่กับการ กล่าวเศาะลาวาตเพียงอย่างเดียว โดยไม่กล่าวสิ่งอื่นใดเลย
เห็นเช่นนั้นฉันเข้าไปถามเขาว่า ทำไมท่านกล่าวแต่เศาะลาวาต มาตั้งแต่ในเมืองมะดีนะฮ และเมืองมักกะฮแล้ว ฉันไม่เห็นท่านกล่าวสิ่งใดเลย ทั้งๆที่ในอะรอฟะฮนั้น มันเป็นสถานที่ๆต้องของดุอาห์(ความต้องการ)อื่นๆ
ที่ท่านต้องกล่าวแต่เศาะลาวาตนั้น เพราะสาเหตุใดกันเหรอ?
ชายผู้นั้นตอบแก่ฉันว่า เมื่อปีที่แล้วฉันได้มามักกะฮพร้อมกับบิดาของฉัน เมื่อมาถึงครึ่งทางที่บ้านหลังหนึ่งบังเอิญว่าบิดาของฉันล้มป่วยลงเสียก่อน จนไม่สามารถที่จะเดินทางต่อไปได้ ในขณะที่บิดาของฉันป่วยฉันได้เอาศรีษะของท่านตั้งไว้ที่หน้าตักของฉัน จากนั้นวิญญานของท่านก็ได้ออกจากร่างไป แต่สิ่งที่แปลกกว่านั้นคือ ฉันสังเกตุเห็นใบหน้าของท่านดำขึ้นเรื่อยๆจนผิดสังเกตุ
แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้นชายผู้นั้นเล่าว่า ขณะที่ท่านเผลอหลับไป มีชายรูปร่างหน้าตาดี กลิ่นกายหอมโผกผ้าสบั่นสีขาวลงมาหาที่ร่างบิดาของฉัน และยกร่างบิดาของฉันขึ้นมา พร้อมกับเอามือข้างหนึ่งของเขาลูบไปที่ใบหน้าของบิดา จนทำให้ใบหน้าที่ดำมึดกลายเป็นใบหน้าที่เต็มด้วยนูรแห่งรัศมี ฉันแปลกใจเลยถามชายผู้นั้นว่า ท่านเป็นใครกันหรือ? รู้ไหมท่านทำให้ความกังวลของฉันหมดสิ้นไป
ชายผู้นั้นกล่าวขึ้นว่า ฉันคือเจ้าของแห่งกรุอ่าน ฉันคือนบีองค์สุดท้าย ฉันคือมุหำมัด บุตรของอับดุลลอฮ จงรู้ไว้เถิดว่า บิดาของเจ้าเป็นคนที่ฝ่าฝืน และต่อต้านในคำสั่งของพระองค์ เป็นคนที่ยอมจำนนในอารมณ์ใฝ่ต่ำแห่งตน แต่สิ่งหนึ่งที่บิดาของเจ้าไม่ลืมนั้นคือ เศาะลาวาต แก่ฉันอย่างเนืองนิด มิเคยขาด ฉันเลยต้องมาหาเขา และจะทำให้ใบหน้าของเขามีรัศมีขึ้น
เมื่อชายผู้นั้นพูดจบก็ได้หายลับไปโดยที่ฉันมิทันสังเกตุ
ฉันสดุ้งตื่นขึ้นมา เหลือบไปเห็นใบหน้าของบิดาของฉัน ใบหน้าของท่านเต็มเปี่ยมไปด้วยรัศมีราวกับแสงของเดือนจันทร์เพ็ญค่ำคืนที่สิบสี่เสียอีก..
จากวันนั้น จนถึงวันนี้ ทำให้ฉันได้เข้าใจ คุณค่าของการเศาะลาวาตแด่ท่านนบี ศ็อลฯ และลูกหลานของท่านมากขึ้น ฉันเลยต้องลืมในเรื่องดุอาห์และการตัสเบียะห์อื่นๆไปเลย และฉันก็มิเคยลืม การเศาะลาวาต ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา.