นะบูวะห์ (ตอนที่ 6)
ข้อคลางแคลงสงสัยต่างๆเกี่ยวกับศาสดา(2)
ศาสดา คือ ผู้ที่มีความรู้สูงสุด ที่อัลลอฮฺ(ซบ) ได้ทรงเลือกเฟ้นให้เป็นผู้แทนของพระองค์ โดยรับโองการจากพระองค์ให้ประกาศเผยแผ่ศาสนา มีหน้าที่แนะนำสั่งสอนมนุษย์ ให้ประกอบแต่ความดี และละเว้นความชั่ว และเป็นผู้แจ้งให้มนุษย์รู้ถึงผลตอบแทนที่จะได้รับจากการทำความดี และผลสนองที่จะลงโทษแก่ผู้กระทำความชั่ว
ทั้งๆที่ศาสดามีความรู้ความสามารถอย่างสมบูรณ์ ทว่าในสังคมที่มีความเจริญทางวัฒนธรรม หากมองไปที่การพัฒนาด้านเทคโนโลยี ความก้าวหน้าทางวัตถุ แน่นอนถือเป็นสิ่งจำเป็นและมีความสำคัญกับมนุษย์ ทว่าสังคมที่เจริญแล้วไม่พบว่า มนุษย์นำพาความรู้อันมากมายของศาสดา ไม่เพียงเท่านี้ เขายังมองข้ามบทบาทของศาสดาด้วย ในขณะเดียวกันในสังคมที่มีแต่ความล้าหลังทางเทคโนโลยีกลับพบว่า พวกเขามีศาสนาไว้ยึดเหนี่ยวจิตใจ
ซูเราะฮฺ อัน-นะฮฺลฺ โองการที่ 2
يُنَزِّلُ الْمَلَائِكَةَ بِالرُّوحِ مِنْ أَمْرِهِ عَلَىٰ مَن يَشَاءُ مِنْ عِبَادِهِ أَنْ أَنذِرُوا أَنَّهُ لَا إِلَٰهَ إِلَّا أَنَا فَاتَّقُونِ
“พระองค์ทรงส่งมะลาอีกะฮ์ลงมาพร้อมด้วยวะฮีย์ ตามพระบัญชาของพระองค์ แก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ จากปวงบ่าวของพระองค์โดยให้พวกเขาตักเตือนว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากข้า ดังนั้นพวกเจ้าจงยำเกรงต่อข้าเถิด”
คำอธิบาย : อัลลอฮ(ซบ)ส่งบรรดาศาสดา เป้าหมายหลักเพื่อชี้นำมวลมนุษย์เข้าสู่การเคารพภักดียังพระองค์ ดังที่ได้บัญญัติในอัลกุรอานมาเพื่อชี้นำทางจิตวิญญาณของมนุษย์ไปสู่ความสมบูรณ์ มาสั่งสอนเรื่องของจริยธรรมศีลธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับทุกยุคทุกสมัย ไม่ว่ามนุษย์จะพัฒนาทางเทคโนโลยีหรือไม่ก็ตาม และถ้าหากไม่มีสิ่งเหล่านี้มันจะเป็นภัยอันตรายต่อสังคมไม่ว่ามนุษย์จะประสพความสำเร็จทางด้านเทคโนโลยีมากขนาดไหนก็ตาม
ตัวอย่างที่ 1 : “การพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีในประเทศญี่ปุ่น
ประเทศญี่ปุ่น ถือได้ว่าเป็นประเทศที่มีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีเป็นอันดับต้นๆของโลก จากสถิติภายในระยะเวลาสามสิบปีจนถึงวันนี้ พบว่าประเทศญี่ปุ่นมีอัตราการฆ่าตัวตายมากที่สุดเพราะส่วนมากไม่ได้ใช้ศาสนามาเป็นที่พึ่ง เขาลืมไปว่าศาสนาก็เปรียบเหมือนบันไดที่สามารถเดินขึ้นไปเพื่อยกระดับจิตใจให้สูงขึ้น ได้เห็นอะไรกว้างไกลขึ้น รู้จักใช้สติปัญญา สร้างสำนึกให้ดีขึ้น รู้จักความรัก แบ่งปัน ช่วยเหลือ ปราถนาดี คิดดี ทำดี มีประโยชน์แก่สังคมและให้มนุษย์ อยู่รวมกันอย่างมีความสุขสงบ ในสังคมนั้นๆ
เห็นได้ว่า สาเหตุประการที่หนึ่ง เกิดจากมนุษย์ประสบปัญหาทางจิต เช่นนี้แล้ว เมื่อเขาไม่เอาศาสนา ก็เท่ากับเขาไม่มีที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจ ประการที่สองเป็นเพราะเขาพัฒนาผิดขั้นตอน ซึ่งในความเป็นจริง หากมนุษย์เข้าใจในจุดมุ่งหมายอย่างแท้จริงของศาสนา เบื้องต้นเขาต้องพัฒนาทางจิตใจ(จิตวิญญาณ)ก่อน เมื่อผ่านขั้นตอนนี้ จึงค่อยนำไปสู่พัฒนาทางด้านวัตถุทางเทคโนโลยี
ตัวอย่าง ที่ 2 : “การพัฒนาพลังงานนิวเคลียร์”
เรื่องของพลังงานนิวเคลียร์ ถ้าหากอยู่ในอำนาจของผู้ที่พัฒนาทางวัตถุเพียงอย่างเดียวโดยไม่ได้พัฒนาทางจิตวิญญาณเป็นเงาตามตัวไปด้วย แน่นอนว่า การใช้พลังงานนิวเคลียร์ของเขา ถือเป็นภัยคุกคามที่ก่อความเสียหายต่อมนุษยชาติอย่างมหาศาล
ตัวอย่าง : การทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ที่ฮิโระชิมาและนางาซากิ
กรณีของเกาะฮิโรชิมาและนางาซากิที่ประเทศญี่ปุ่น เป็นเรื่องราวของการใช้อาวุธทำลายล้างมวลชนครั้งแรกในประวัติศาสตร์ อาชญากรรมนี้ส่งผลทำให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์ล้มตายเป็นแสนๆคนเพราะพลังงานนิวเคลียร์นี้อยู่ในการครอบครองของกองทัพสหรัฐฯ(ซาตาน) และหากศึกษาเชิงลึก ประเด็น “ความไร้มนุษยธรรม” ดูเหมือน 2 สถานที่แห่งนี้ถูกกำหนดให้เป็นเป้าหมายสำหรับทดสอบพลานุภาพในการทำลายล้างของอาวุธนิวเคลียร์ให้คนได้รับอันตรายจากรังสีมากกว่าแรงระเบิดด้วยซ้ำไป
และในทางกลับกันพลังงานนิวเคลียร์ ถ้าหากอยู่ในอำนาจของผู้ที่ได้พัฒนาทางจิตวิญญาณแล้ว แน่นอนสามารถทำให้เกิดประโยชน์กับมนุษย์อย่างมหาศาลด้วยเช่นเดียวกัน เห็นได้ว่าเทคโนโลยีที่ไม่ได้ควบคู่กับศาสนา ไม่ควบคู่ศีลธรรมจริยธรรม จะคอยกำกับมนุษย์ให้เข้าสู่ความตกต่ำ อีกทั้งก่อความเสียหายอย่างประเมินค่าไม่ได้
โลกยุคนี้คือโลกยุคโลกาภิวัฒน์ (Globalization) หรือโลกไร้พรมแดน แต่สิ่งทั้งหลายทั้งปวงนั้น เปรียบเสมือนมีดที่มี 2 คม มีคุณอนันต์ ก็มีโทษมหันต์ บางประเทศที่มีความเจริญรุ่งเรืองทางเทคโนโลยี กลับพบว่าพวกเขาเหลือร่องรอยแห่งความดีงามและศีลธรรม จริยธรรม ยิ่งนานวันก็ยิ่งน้อยลง แสดงถึงความเสื่อมของจิตใจอย่างเห็นได้ชัด
และบางประเทศที่ล้าหลังทางด้านเทคโนโลยี เราพบว่า ศีลธรรมจริยธรรมคุณงามความดีที่สูงส่งของพวกเขายังคงเหลืออยู่ บ่งชี้ว่า แนวคิดการอ้างว่าศาสดาไม่ได้มีบทบาทในด้านเหล่านี้ จึงเป็นคำพูดที่ไม่ถูกต้อง เพราะบรรดาศาสดา คือ บุคคลที่นำความเจริญทางวัตถุและทางเทคโนโลยีมาให้มนุษย์ ซึ่งหากเข้าไปในรายละเอียดความลับต่างๆที่ปรากฏตามธรรมชาติ จะเห็นว่า กว่ามนุษย์จะรู้ ต้องใช้เวลาศึกษาค้นคว้าเป็นพันๆปี แต่เมื่อย้อนไปยังความรู้ของบรรดาศาสดา สิ่งเหล่านี้ท่านได้สอนไว้ล่วงหน้าแล้ว มนุษย์เพียงมาต่อยอดความรู้เหล่านี้เท่านั้นเอง
บรรดาศาสดา คือ ผู้ที่มีความรู้สูงสุด ที่วิทยาศาตร์ค้นคว้าและพิสูจน์ได้ มีดังต่อไปนี้
ตัวอย่าง : อันตรายจากหมู
จากเรื่องเล็กๆ เมื่อ 1,400 ปีที่แล้ว ในยุคนั้นยังไม่มีใครรู้ว่า หมู นอกจากจะอันตรายแล้ว หมูเป็นแหล่งโปรตีนที่ให้โทษอีกด้วย เห็นได้ว่า “ภัยของหมู” ศาสนาอิสลามได้กล่าวไว้ตั้งแต่ในยุคนั้นและได้สั่งห้ามมุสลิมรับประทานหมู
เหตุผลหลักคือ เป็นการแสดงความเคารพเชื่อฟังคำสั่งของพระเจ้าไม่ว่าจะเป็นคำสั่งใดก็ตาม เหตุผลอื่นล้วนเป็นเหตุผลประกอบเช่น มุสลิมไม่กินหมูเพราะถือว่าเป็นสัตว์สกปรก กินสิ่งปฏิกูล ไม่ดีต่อสุขภาพ แต่วิทยาศาสตร์เพิ่งค้นคว้าพบว่า เนื้อหมูมีไขมันมาก ไม่สะดวกในการย่อย มีโทษมากกว่าคุณ ทำให้ไขมันในเลือดสูงขึ้น เป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดโรคทางร่างกายมากมาย
ตัวอย่าง : การเข้าสุนัต (คิตาน)
การตัดหนังหุ้มปลายอวัยวะสืบพันธุ์ของชายเป็นหลักสากลมีมาแต่บรรพกาล ประมาณ 4,000 ปีที่แล้ว เริ่มตั้งแต่ยุคสมัยศาสดาอิบรอฮีม(อ) ทว่าปัจจุบันโลกเพิ่งค้นพบว่า การคีบปลายอวัยวะเพศชายมีผลดีสามารถป้องกันโรคอย่างมากมาย ซึ่งเรื่องเหล่านี้ก็คือความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ บ่งชี้ว่า ที่วิทยาศาสตร์เจริญมาถึงขนาดนี้ได้ถือเป็นเนี๊ยะมัตหนึ่ง เพราะความรู้นี้บรรดาศาสดาได้สอนมาก่อนแล้ว
ตัวอย่าง : การชำระทำความสะอาดร่างกาย
ตามประวัติศาสตร์ หากศึกษาวิถีการดำเนินชีวิตของชาวยุโรป ช่วงก่อนสงครามคูเสดพวกเขายังอาบน้ำไม่เป็น อีกทั้งบ้วนปากก็ยังไม่ถูกต้อง ทว่าชาวยุโรปเพิ่งอาบน้ำบ้วนปากถูกต้อง หลังจากที่กองทัพอิสลามบุกฝรั่งเศส ทหารอิสลามได้สร้างสถานที่อาบน้ำ เมื่อชาวยุโรปเห็น ดังนั้นก็ได้ปฏิบัติตาม
ตัวอย่าง : “ผู้ค้นพบคนแรกที่โลกลืม”
-บุคคลที่ค้นพบเข็มฉีดยาคนแรกไม่ใช่ “หลุยส์ปาสเตอร์” แต่ความจริงแล้ว
อิบนุซินาหรืออาเวเซนนา”{บิดาแห่งเคมีและการแพทย์} เป็นนักการแพทย์คนแรกที่ใช้ยาสลบ ในการผ่าตัดคนไข้ และเป็นคนแรกที่ใช้เข็มฉีดยาเพื่อรักษาโรค
-ผู้ออกแบบเครื่องร่อน ไม่ใช่ออวิลล์ไรต์และวิลเบอร์ไรต์เป็นผู้คิดค้น ความจริงแล้วผู้ออกแบบสิ่งนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ยุคสมัยสาวก(ตาบีอีน)ของท่านศาสดาแห่งอิสลาม ทว่าสองพี่น้องตระกูลไรด์ได้ทำการพัฒนาเพื่อต่อยอดเท่านั้นเอง
ตัวอย่าง : เทคโนโลยีที่ล้ำยุคล้ำสมัย
บางยุคบางสมัย ศาสดาพัฒนาไปไกลเกินกว่าที่มนุษย์จะจินตนาการได้ หากย้อนประวัติศาสตร์ จะเห็นว่าในยุคสมัยของบรรดาศาสดาต่างๆ บางศาสดาได้นำเทคโนโลยีที่ล้ำยุคล้ำสมัยมาก่อนแล้ว ตัวอย่างเช่น ศาสดาสุไลมาน(อ)ใช้พรมเป็น “ยานพาหนะ” ที่เหาะเหินเดินอากาศได้เหมือนเครื่องบินในวันนี้ ซึ่งทุกวันนี้แน่นอนว่า นักวิทยาศาสตร์ยังคงต้องค้นคว้า ประเด็น พรมที่เหาะได้ เพราะเขายังไม่รู้ว่า สิ่งนี้ คือ มุอฺญิซาต(สิ่งที่เหนือธรรมชาติ)หรือวิทยาศาสตร์ อาจเป็นไปได้ว่า มันคือ สิ่งถูกสร้างด้วยสูตรลับเฉพาะที่คล้ายคลึงกับกลไกการทำงานของเครื่องบิน แต่วิทยาศาสตร์ในปัจจุบันยังค้นคว้าไม่ถึงเท่านั้นเอง
ตัวอย่าง : “ไซโล” “silo” (ถังขนาดใหญ่ใช้บรรจุเก็บอาหารปริมาณมากได้)
หากศึกษาในยุคศาสดายูซุฟ(อ) ย้อนไปประมาณสี่พันกว่าปีที่แล้ว เราแทบจะมึนงงกันอย่างแน่นอน เพราะท่านศาสดา คือ คนแรกที่สร้าง “ไซโล” “silo” (คือถังขนาดใหญ่ใช้บรรจุอาหารหลายชนิด เช่น ข้าว แป้ง ผลไม้ เพื่อเก็บรักษาไว้เป็นปริมาณมาก มีการควบคุมเก็บได้นาน)
ไซโลในยุคสมัยของศาสดายูซุฟ(อ) สามารถเก็บรักษาผลิตทางเกษตรข้าวและแป้งไว้ได้ถึงเจ็ดปี ซึ่งสิ่งนี้ถ้าเป็นวิทยาศาสตร์ จะถูกสร้างมาจากการคำนวณการควบคุมที่เฉพาะ ควบคุมความชื้นที่สามารถที่จะเก็บรักษาข้าวได้ ซึ่งมีขนาดใหญ่มากเพราะใช้สำหรับอาณาจักรไอยคุปต์ทั้งหมด ซึ่งได้เกิดท่ามกลางความเจริญก้าวหน้าของอียิปต์ในยุคนั้น และไม่มีผู้ใดคาดคิดว่า ศาสดายูซุฟ(อ)จะสร้างสิ่งนี้ให้เกิดขึ้นได้
ตัวอย่าง : การเคลื่อนย้ายบัลลังก์ของราชินีบิลกิส
กรณีนี้ เป็นเรื่องราวของราชินีบิลกิสกับสาส์นของท่านนบีสุไลมาน(อ) ซึ่งบุคคลทั้งสองนี้ถูกกล่าวไว้ทั้งในคัมภีร์ไบเบิลและคัมภีร์กุรอาน ประเด็น การเคลื่อนย้ายบัลลังก์ของราชินีบิลกิสจากอาณาจักรสะบะอฺ หรือแผ่นดินที่เป็นประเทศเยเมนในปัจจุบัน มายังเมืองเยรูซาเล็มภายในพริบตา
ซึ่งเราอย่าด่วนสรุปว่า สิ่งที่เกิดขึ้น คือ มุอฺญิซาต(สิ่งที่เหนือธรรมชาติ) และในความเป็นจริงหากมนุษย์ค้นคว้าถึง “มุอฺญิซาต” ก็คือวิทยาศาสตร์
เป็นที่ชัดเจน วันนี้วิทยาศาสตร์กำลังอธิบายเป็นไปได้ว่า อาจมีเครื่องชนิดหนึ่งที่สามารถแปลงสสารโมลิกุลให้เป็นคลื่น เมื่อเป็นคลื่นก็สามารถถ่ายโอนได้อย่างรวดเร็ว และจะมีเครื่องรับคลื่นเปลี่ยนคลื่นกลับมาให้เป็นสสารหรือโมลิกุลอีกครั้งหนึ่ง
เห็นได้ว่า ปัจจุบันนี้วิทยาศาสตร์เริ่มยอมรับว่า สิ่งนี้มีอยู่จริง เขาเชื่อแล้วว่าสสารสามารถเดินทางจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งเหมือนกับการเดินทางของคลื่นต่างๆ บางครั้งอาจจะเป็นคลื่นเสียง ซึ่งเปลี่ยนเสียงให้เป็นคลื่น เช่น กรณีของโทรศัพท์ ถึงแม้บางครั้งคู่สนทนาจะอยู่คนละซีกโลกกัน ซึ่งหากคลื่นความถี่ของเสียงไม่มีอะไรผิดพลาดจนเกินไป แน่นอนว่า ในเวลาเดียวกันคู่สนทนาสามารถได้ยินและพูดโต้ตอบได้ทันที
ดังนั้น ในสิ่งที่เกิดขึ้น บางอย่างวิทยาศาตร์ค้นคว้าได้แล้ว แต่บางอย่างที่ยังอธิบายได้ไม่มาก ไม่ใช่ไม่ยอมรับเพียงแต่สติปัญญาของมนุษย์ที่เกี่ยวข้องกับการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ยังไปไม่ถึงเท่านั่นเอง
ตัวอย่าง : ภัยจากระบบดอกเบี้ย
วันนี้โลกกำลังประสบภัยกับระบบดอกเบี้ย บางประเทศที่เคยเจริญรุ่งเรืองกลับล่มจมด้วยระบบดอกเบี้ยประเทศไทยก็เคยโดนมาแล้ว ไอเอ็มเอฟ(IMF = กองทุนการเงินระหว่างประเทศ)เข้ามาทุบเงินในไทยปี 2540 กู้เงินไปจำนวนหนึ่งแต่พอจ่ายกลับต้องจ่ายในจำนวนที่มากกว่าเงินต้นเพิ่มขึ้นเพราะค่าเงินถูกทุบแถมดอกเบี้ยก็เพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัวทำให้ประเทศขาดทุนอย่างมหาศาลถึงขั้นประเทศเกือบล่มจมและบางประเทศถึงขั้นล่มจมมาแล้วเพราะพิษของดอกเบี้ยและนี้คือเหตุผลที่อิสลามจึงต่อต้านระบบดอกเบี้ย
เหล่านี้คือ ปัญหาของระบบดอกเบี้ย ซึ่งศาสนาอิสลามนั้นได้มีบัญญัติห้ามเรื่องดอกเบี้ย การเพิ่มเงินต้นทุน ไม่ว่ามากหรือน้อย ซึ่งได้กล่าวไว้ในคัมภีร์อัลกุรอาน
ซูเราะห์อัล-อิมรอน โองการ 130
يَا أَيُّهَا الَّذِينَ آمَنُوا لَا تَأْكُلُوا الرِّبَا أَضْعَافًا مُّضَاعَفَةً ۖ وَاتَّقُوا اللَّهَ لَعَلَّكُمْ تُفْلِحُونَ
“โอ้ ผู้ศรัทธาทั้งหลาย! จงอย่ากินดอกเบี้ยหลายเท่าที่ถูกทบทวีคูณ และพวกเขาพึงยำเกรงอัลลอฮฺเถิด เพื่อว่าพวกเจ้าจะได้รับความสำเร็จ”
คำอธิบาย : ดอกเบี้ยมีผลในการทำลายเศรษฐกิจและไม่ได้ส่งเสริมสร้างงานอะไรเลย ศาสดาจึงออกมาต่อต้านระบบดอกเบี้ย เมื่อโลกพัฒนาไปมนุษย์เริ่มเข้าใจแล้วว่า หนึ่งในสิ่งที่ทำลายเศรษฐกิจก็คือ ระบบดอกเบี้ย
ขอขอบคุณ สถาบันศึกษาศาสนาอัลมะฮ์ดี