บทเรียนอูศูลุดดีน (รากฐานของศาสนา)
เรื่องเตาฮีด (ความเป็นเอกะของพระผู้เป็นเจ้า) ตอนที่ 11
ในเรื่องเกี่ยวกับพระผู้เป็นเจ้าก็เช่นกัน มนุษย์สามารถรับรู้ได้ว่าจิตใต้สำนึกของเขามีความรู้สึกอยู่ตลอดเวลาว่า มีอำนาจหนึ่งที่อยู่เหนืออำนาจของเขา ทั้งให้คุณประโยชน์และให้โทษแก่เขา
ถามว่า วันนี้ทำไมเราจึงเห็นมนุษย์จำนวนหนึ่งทำการกราบไหว้อิฐ,ปูน ,ดวงจันทร์, ดวงอาทิตย์, ดวงดาว ,แม่น้ำ ,ทะเล และภูเขา และฯลฯ เพราะมนุษย์เหล่านั้นเห็นว่าสิ่งต่างๆเหล่านี้ให้ประโยชน์แก่เขา มีอำนาจมากกว่าเขา มีอำนาจเหนือเขา เขาจึงเคารพภักดีสิ่งเหล่านี้เป็นพระเจ้า โดยถือว่าเป็นพระเจ้าที่พวกเขาได้คิดมันขึ้นมาเอง
ซึ่งในความเป็นจริงแล้วเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง สิ่งเหล่านั้นไม่ใช่พระผู้เป็นเจ้าที่แท้จริง เราเพียงยกตัวอย่างเพื่อที่จะชี้ให้เห็นว่า “ฟิตรัต” ของมนุษย์กำลังแสวงหาพระผู้เป็นเจ้า หาที่พักพิงเพื่อจิตใจจะได้สงบมั่น แสวงหาผู้มาคุ้มครอง นั่นหมายถึง พระผู้เป็นเจ้านั้นเอง
มนุษย์เมื่อประสบกับวิกฤต หรือประสบกับความยากลำบากอย่างรุนแรงหรือประสบกับเหตุการณ์ที่ทำให้ตัวเองต้องพบกับความตายแล้ว ฟิตรัตในการเรียกหาพระผู้เป็นเจ้าในส่วนลึกของจิตวิญญาณของเขาจะตื่นขึ้นและเขาก็จะเรียกหาพระผู้เป็นเจ้าด้วยความบริสุทธิ์ใจ ซึ่งอัลกุรอาน ซูเราะฮ์อัลอังกาบูต โองการที่ 65 ก็ได้ยืนยันถึงเรื่องนี้ไว้
فَإِذَا رَكِبُواْ فِى الْفُلْكِ دَعَوُاْ اللَّهَ مُخْلِصِینَ لَهُ الدِّینَ فَلَمَّا نَجَّاهُمْ إِلَى الْبَرِّ إِذَا هُمْ یُشْرِكُونَ
“ดังนั้นเมื่อพวกเขาขึ้นขี่เรือพวกเขาก็เรียกหาพระผู้เป็นเจ้าด้วยความบริสุทธิ์ใจ ครั้นเมื่อเราได้ช่วยเหลือพวกเขาให้ขึ้นบนบกแล้ว พวกเขาก็ตั้งภาคีต่อพระองค์”
ตัวอย่างดังกล่าว มนุษย์เมื่อออกเดินเรือกลางทะเลเกิดพายุลูกใหญ่ตีเรือแตกกำลังล่มกลางทะเลเรือกำลังจะจมทำให้มนุษย์เกิดความกลัวอย่างรุนแรง ความช่วยเหลือทางด้านวัตถุไม่สามารถที่จะช่วยเหลือมนุษย์ได้ แต่ในขณะเดียวกันส่วนลึกด้านในของมนุษย์ยังมีความหวังอยู่ยังหวังที่จะรอดชีวิตอยู่ มนุษย์จะรู้สึกว่ามันมีอำนาจหนึ่งที่สามารถช่วยเหลือเขาได้ เขายังคงมีความหวังและความฝันในปาฏิหาริย์ซึ่งก็คือกำลังหวังในความช่วยเหลือของอำนาจหนึ่งที่เหนือเขาหรือเหนือธรรมชาติ ซึ่งเราเรียกว่า “พระผู้เป็นเจ้า”
จากโองการนี้เมื่อมนุษย์ประสบกับเหตุการณ์วิกฤตด้านในของเขาจะเรียกหาพระผู้เป็นเจ้าด้วยความบริสุทธิ์ใจ ส่วนฟิตรัตจะพิสูจน์อะไรได้บ้างนั้นขึ้นอยู่กับการพัฒนา การเรียนรู้ทำให้ฟิตรัตมีความเข้มข้นขึ้น เมื่อมนุษย์เชื่อในพระผู้เป็นเจ้าแล้ว แต่ความเชื่อที่มีผลทำให้มนุษย์เป็นคนดียิ่งขึ้น ทำให้มนุษย์พัฒนาขึ้น ขึ้นอยู่กับการฝึกฝนการเพิ่มพูนความรู้ ขึ้นอยู่กับการค้นหาของมนุษย์
ฟิตรัตของมนุษย์นั้น สามารถแบ่งได้เป็นสองประเภทคือ
“ฟิตรัตมะริฟัต” คือ ฟิตรัตที่จะนำเราสู่การรู้จักพระเจ้า คือสิ่งที่จะบอกว่า พระเจ้ามีจริง
และอีกฟิตรัตหนึ่งคือ “ฟิตรัตอูบูดียัต” สิ่งที่นำมนุษย์สู่การเคารพภักดีพระผู้เป็นเจ้า สิ่งที่จะนำมนุษย์สู่การขอบคุณพระผู้เป็นเจ้า การขอบคุณนั้นมนุษย์ทั้งหมดยอมรับว่าจะต้องขอบคุณต่อผู้มีพระคุณ ต่อผู้ที่ช่วยเหลือต่อผู้ที่สร้างเขามา ต่อพระผู้เป็นเจ้าของเขา วิธีหนึ่งในการขอบคุณก็คือ การเคารพภักดีนั้นเอง
ดังนั้น เรามาทำเข้าใจ ฟิตรัต มโนธรรมเพิ่มเติม ถึงแม้ฟิตรัต (ธรรมชาติดั้งเดิมของมนุษย์) เป็นตัวช่วยให้มนุษย์รู้จักพระผู้เป็นเจ้า และภักดีต่อพระผู้เป็นเจ้า แต่มันไม่สามารถนำให้มนุษย์รู้จักพระผู้เป็นเจ้าได้อย่างสมบรูณ์ ฟิตรัตเป็นเพียงจุดเริ่มต้นจุดเชิญชวนที่ทำให้มนุษย์ยอมรับว่าโลกนี้มีพระเจ้า ฟิตรัตทำแค่ให้มนุษย์เคารพภักดีต่อพระผู้เป็นเจ้า
แต่บางครั้งอาจจะเคารพภักดีต่อพระผู้เป็นเจ้าที่ผิดอาจจะเคารพภักดีพระผู้เป็นเจ้าจอมปลอมก็เป็นไปได้ มนุษย์จำเป็นที่จะต้องได้รับความรู้ที่ถูกต้องและเนื้อหาที่สมบรูณ์เกี่ยวกับพระผู้เป็นเจ้าด้วย ถามว่าแล้วจะรู้ได้แบบไหน ?รู้ได้อย่างไร? เรื่องนี้ก็จะเข้าสู่ขั้นตอนต่อไป ก็คือการใช้สติปัญญาเข้ามาช่วย มนุษย์ไม่สามารถรู้จักพระผู้เป็นเจ้าได้อย่างดีและสมบรูณ์ โดยไม่ใช้สติปัญญา ไม่มีมนุษย์คนใดที่ใช้ฟิตรัตเพียงอย่างเดียวแล้วทำให้เขารู้จักพระผู้เป็นเจ้าได้อย่างสมบรูณ์ การที่มนุษย์มีฟิตรัต ไม่ได้หมายความว่ามนุษย์ไม่มีความจำเป็นต้องเรียนวิชาอื่นๆ มนุษย์ยังคงต้องเรียนรู้วิชาอื่นๆด้วย ฟิตรัตเป็นเพียงจุดเริ่มต้นในการรู้จักพระผู้เป็นเจ้า มนุษย์ต้องใช้สติปัญญาด้วยการพิสูจน์การมีอยู่ของพระผู้เป็นเจ้านั้น ทั้งฟิตรัตในการรู้จักพระผู้เป็นเจ้า และทั้งฟิตรัตในการเคารพภักดีพระผู้เป็นเจ้า จะต้องใช้สติปัญญาเข้ามาช่วยด้วยเพื่อจะได้เคารพภักดีพระผู้เป็นเจ้าที่แท้จริงถูกต้องและเพื่อการเพิ่มพูนความเข้มข้นในการรู้จักและการเคารพภักดี และด้วยกับสติปัญญาทำให้ฟิตรัตทั้งสองเกิดการพัฒนายิ่งขึ้น มนุษย์จำเป็นจะต้องใช้สติปัญญาเพื่อจะได้เข้าใจอย่างถูกต้องในสิ่งที่ฟิตรัตบอกว่ามนุษย์กำลังเรียกหาพระผู้เป็นเจ้า และในสิ่งที่ฟิตรัตบอกว่ามนุษย์กำลังแสวงหาการเคารพภักดีต่อพระผู้เป็นเจ้า แต่ไม่ได้หมายความว่าต้องใช้สติปัญญาชั้นสูง สติปัญญาเบื้องต้นก็ถือว่าเพียงพอในการพิสูจน์การมีอยู่ของพระผู้เป็นเจ้า เพราะสติปัญญาเบื้องต้นเป็นสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าให้กับมนุษย์ทุกคน มนุษย์ทุกคนมีทุนทางฟิตรัตเท่ากัน มนุษย์ทุกคนมีทุนทางสติปัญญาเท่ากัน
แต่ความแตกต่าง ความฉลาดที่ไม่เท่ากันนั้น ขึ้นอยู่กับการใช้ คนที่ใช้มาก ดูแลรักษาดี มันก็จะให้ข้อมูลที่มาก ฉลาดมากกว่าคนที่ไม่ค่อยได้ใช้ ฟิตรัตและสติปัญญาเปรียบเสมือนกล่องเก็บความรู้ของมนุษย์ กลับไปหามันมากเท่าไร มนุษย์ก็จะได้ข้อมูลมากเท่านั้น พระเจ้าให้สติปัญญามาเพียงพอที่จะพิสูจน์ว่าพระองค์มี ให้สติปัญญามาเพียงพอว่าจะต้องเคารพภักดีต่อพระองค์ พระองค์ให้สติปัญญามาเพียงพอในการรับรู้การมีอยู่ของพระองค์
ตัวอย่างของ หญิงชราที่ปั้นฝ้ายที่พิสูจน์การมีอยู่ของพระเจ้าด้วยสติปัญญาเบื้องต้น แม้แต่หญิงชราก็มีสติปัญญาเพียงพอในการพิสูจน์พระผู้เป็นเจ้า แต่เมื่อมนุษย์รู้จักพระผู้เป็นเจ้ามากขึ้น เมื่อมนุษย์ใช้สติปัญญามากขึ้นมันจะเพิ่มความเข้มข้นในการรู้จักพระองค์ และความเข้มข้นในการเคารพภักดีพระองค์ และทำให้มนุษย์สามารถเผชิญปัญหาต่างได้อย่างง่ายดายยิ่งขึ้น
การรู้จักและภักดีพระผู้เป็นเจ้าด้วยสติปัญญานั้น จะมีความเข้มแข็งและลึกซึ้งกว่าการรู้จักและภักดีด้วยฟิตรัต และการรู้จักและภักดีต่อพระผู้เป็นเจ้าที่จะเพิ่มความเข้มแข็งและความลึกซึ้งขั้นสูงสุด คือ “ชูฮูดี” การรู้จักและภักดีพระผู้เป็นเจ้าในรูปแบบที่ได้พบเจอพระองค์ รู้แจ้งเห็นจริง มองเห็นพระองค์ด้วยดวงตาแห่งจิตวิญญาณ
ขอขอบคุณสถาบันศึกษาศาสนาอัลมะฮ์ดี