จริยธรรมอิสลามจากท่าน อิมามฮะซัน อัลมุจญ์ตะบา (อ) ตอนที่ 1
บรรดามุสลิมมักจะเห็นท่านศาสดาให้ฮะซันขึ้นขี่คอของท่านเสมอ แล้วกล่าวว่า
นี่คือประมุขคนหนึ่ง และหวังว่า พระเจ้าจะทรงประนีประนอมคนมุสลิมสองกลุ่มได้เนื่องด้วยเขา หลังจากนั้น ท่านก็วิงวอนขอพรต่อพระเจ้าเสมอว่า
“โอ้ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า แท้จริงข้าพระองค์รักเขา ดังนั้น ขอให้พระองค์ทรงรักเขาและทรงรักผู้ที่รักเขาด้วยเถิด”
ท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ็อล ฯ) กล่าวเสมอว่า
“ฮะซัน และฮุเซน คือประมุขของบรรดาชายหนุ่มชาวสวรรค์”
วันหนึ่งท่านศาสดากำลังนมาซอยู่ในมัสญิด ขณะที่ท่านกำลังก้มกราบแสดงความเคารพภักดี
ฮะซันได้ปีนขึ้นไปบนหลังแล้วนั่งบนคอของท่าน ท่านศาสดาจึงต้องก้มศีรษะอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งฮะซันลงไป เมื่อท่านนมาซเสร็จ มีบางคนกล่าวว่า
“โอ้ ท่านศาสดา แท้จริงท่านได้ปฏิบัติต่อเด็กอย่างที่ไม่เคยมีใครปฏิบัติมาก่อนเลย”
ท่านศาสดาจึงตอบว่า “แท้จริงหลานคนนี้คือกลิ่นหอมของฉัน เป็นบุตรของฉัน เป็นประมุขคนหนึ่งและหวังว่า อัลลอฮฺจะทรงประนีประนอมระหว่างมุสลิมทั้งสองฝ่ายได้เนื่องด้วยเขา”
คุณธรรมและการเผื่อแผ่ของอิมามฮะซัน(อ)
วันหนึ่ง ในขณะที่ท่านฮะซันกำลังเดินทาง ท่านได้พบกับชาวซีเรียคนหนึ่ง ซึ่งเป็นคนที่เกลียดชัง อะฮฺลุลบัยตฺโดยเฉพาะความชิงชังที่มีต่ออาลี(อ) อย่างยิ่ง ชายคนนั้นได้บริภาษด่าทอ และลบหลู่ท่านฮะซันอย่างรุนแรง แต่ท่านก็ยังวางเฉยมิได้ตอบโต้เขาแต่ประการใด จนกระทั่งเขาหยุดไปเอง เมื่อเขาหยุดแล้ว ท่านฮะซัน (อ) จึงยิ้มแล้วพูดกับเขาหลังจากที่ได้ให้สลามว่า
“โอ้ท่านผู้อาวุโส ฉันเชื่อแน่ว่าท่านต้องเป็นคนที่มาจากต่างถิ่น ถ้าท่านจะขออะไรจากเรา เราก็ยินดีที่จะมอบให้ท่าน หรือถ้าหากท่านจะขอคำชี้แนะจากเรา เราก็จะให้การแนะนำแก่ท่าน หรือถ้าว่าท่านหิว เราก็จะเลี้ยงดูท่านจนอิ่มหนำ และถ้าท่านไม่มีเสื้อผ้าสวมใส่ เราก็จะให้เสื้อผ้าแก่ท่านเพื่อจะได้สวมใส่ และถ้าท่านเป็นผู้ขัดสนเดือดร้อนเราก็จะให้ท่านมีอย่างเพียงพอ หรือถ้าหากท่านเป็นคนที่ถูกขับไล่ไสส่งมา เราก็ยินดีที่จะให้ความช่วยเหลือ และถ้าหากท่านมีความเป็นในเรื่องใดเรื่องหนึ่งเราก็จะช่วยเหลือปลดปล่อยให้แก่ท่านได้”
ชาวซีเรียคนนั้นรู้สึกประหลาดใจในคำตอบของท่านฮะซัน และเข้าใจได้ทันทีว่า
มุอาวิยะฮฺเป็นคนหลอกลวงประชาชน และได้เผยแพร่เรื่องราวเกี่ยวกับท่านอาลี (อ) ตลอดถึงบรรดาลูก ๆ ของท่านในหมู่ประชาชนทั้งๆที่ไม่เป็นความจริงแต่ประการใด
ชายคนนั้นรู้สึกสะเทือนใจเป็นอย่างยิ่ง เขาร้องไห้ แล้วได้กล่าวว่า
“ฉันขอปฏิญาณตนว่า แท้จริงท่านคือเคาะลีฟะฮฺแห่งพระเจ้า บนหน้าแผ่นดินของพระองค์ และแท้จริงพระเจ้า ทรงรอบรู้ว่าจะทรงจัดการกับสาส์นของพระองค์อย่างไร แน่นอนที่สุดแต่ก่อนนี้ ท่านและบิดาของท่านเป็นที่เกลียดชังที่สุดสำหรับฉันในบรรดามนุษย์ที่อัลลอฮฺทรงสร้างมา แต่บัดนี้ ท่านและบิดาของท่านเป็นที่รักของฉันมากที่สุดในบรรดามนุษย์ที่พระเจ้าทรงสร้างมา”
ชายคนนั้นได้เดินไปกับท่านฮะซันจนถึงบ้าน แล้วได้อยู่ในฐานะแขกคนหนึ่งจนกระทั่งเขาได้เดินทางจากไป และเป็นคนที่มีความมั่นคงในความรักต่อบรรดาอิมามทั้งหลายตั้งแต่บัดนั้น
(จากหนังสือ มะนากิบ เล่ม 2 หน้า 158)
ท่านอิมามฮะซัน (อ) เป็นผู้ที่หมั่นเพียรในการเคารพภักดีต่อพระผู้เป็นเจ้ามากที่สุด ในสมัยของท่าน ท่านไปบำเพ็ญหัจญ์ด้วยการเดินเท้าเปล่าถึง 25 ครั้งด้วยกัน
เมื่อท่านเริ่มลงมือทำน้ำนมาซและจะนมาซ สีหน้าของท่านก็ซีดเผือดเนื่องจากความเกรงกลัวต่อพระเจ้า ท่านเคยกล่าวว่า
“เป็นสัจธรรมอย่างหนึ่งสำหรับคนที่ยืน ณ เบื้องพระพักตร์ของพระผู้อภิบาลแห่งบัลลังก์ที่จะต้องมีอาการเกรงกลัวจนหน้าซีด ประหนึ่งว่าวิญญาณจะหลุดออกจากร่าง”
เมื่อท่านไปถึงประตูมัสญิดท่านได้แหงนหน้าขึ้นสู่ท้องฟ้า แล้วกล่าวอย่างนอบน้อมว่า
“โอ้พระผู้ทรงไว้ซึ่งความดี บัดนี้ ผู้ทำความผิดได้มาหาพระองค์แล้ว ดังนั้น ขอให้พระองค์ทรงขจัดความเลวที่มีอยู่ในตัวฉันออกไปด้วยความดีงามที่มีอยู่ ณ พระองค์ด้วยเถิด โอ้พระผู้ทรงเกียรติ”
ข้อบัญญัติเรื่องตำแหน่ง “อิมาม” ของฮะซัน บิน อาลี (ฮ.ศ. 40-50)
เมื่อท่านอิมามอาลี (อ)ได้กลับไปสู่ความเมตตาของพระผู้เป็นเจ้าในวันที่ 21 ของเดือนรอมาฎอนอันจำเริญ โดยสาเหตุที่ท่านได้ถูก “อับดุรเราะฮฺมาน บุตรของ มุลญิม” ซึ่งเป็นพวกนอกรีดลบสังหาร แล้วท่านฮะซัน (อ.) บุตรชาย ก็ได้เข้ารับตำแหน่งคอลีฟะฮ์สืบต่อแทน โดยบรรดามุสลิมได้ให้สัตยาบันแก่ท่าน ท่านฮะซันทำหน้าที่เป็นผู้นำประชาชาติ และรับผิดชอบในตำแหน่งคอลีฟะฮ์เมื่อท่านมีอายุได้ 37 ปี
เช้าวันแรกท่านได้ขึ้นกล่าวคำปราศรัยบนมิมบัร อย่างเป็นทางการโดยประกาศเจตนารมณ์ที่จะสานต่อแนวทางการเมืองของบิดาที่ได้ปกครอง โดยยึดหลักความยุติธรรม และความเสมอภาค อีกทั้งขจัดแผนการร้ายต่าง ๆ ของบรรดาผู้ที่หันเหออกจากแนวทางอิสลาม ดังมีใจความตอนหนึ่งว่า
“แน่นอนที่สุด บุรุษผู้หนึ่ง ซึ่งไม่มีผู้ใดทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคตอันยาวนานจะล้ำหน้าไปกว่าเขา หรือทัดเทียมกับเขาในการทำงาน ได้สิ้นชีวิตไปแล้วเมื่อคืนนี้ แน่นอนที่สุด เขาเคยต่อสู้เสียสละร่วมกับท่านศาสดาจนนับครั้งไม่ถ้วน ด้วยความกล้าหาญชาญชัย กล่าวคือ เขาเอาตัวเข้าปกป้องท่านศาสดา ในขณะที่ศาสดามอบธงของท่านให้เขาถือ ญิบรออีลได้ยืนหยัดเคียงข้างเขาทางด้านขวามือ และมีกาอีลอยู่ทางด้านซ้ายมือ เขาจะไม่กลับมาจากสนามรบจนกว่า อัลลอฮฺจะให้เขาได้รับชัยชนะ แน่นอนที่สุดเขาได้วายชนม์ไปในคืนที่ผ่านมา อีซา บุตรของมัรยัมได้ถูกยกขึ้นไปสู่ฟากฟ้า และเป็นคืนที่ ยูชะอ์ บิน นูน (ตัวแทนของศาสดามูซา (อ)ได้เสียชีวิต เขามิได้ทิ้งทรัพย์สินอย่างหนึ่งอย่างใดไว้เลยนอกจากเงิน 700 ดิรฮัม ซึ่งฉันได้สะสมเอาไว้ ฉันต้องการจะเอาเงินจำนวนนี้จ้างคนรับใช้ไว้ที่ครอบครัวของเขา 1 คน ”
หลังจากนั้น ท่านฮะซันร้องไห้ ประชาชนก็ร้องไห้ตามไปด้วย ท่านได้กล่าวต่อไปว่า
ฉันคือบุตรของ อัล บะชีร (ผู้แจ้งข่าวดีหมายถึงท่านศาสดา)
ฉันคือ บุตรของ อัน นะซีร (ผู้ตักเตือนหมายถึงท่านศาสดา)
ฉันคือ บุตรของผู้ประกาศศาสนาเพื่อพระเจ้า โดยการอนุมัติของพระองค์
ฉันคือ บุตรของผู้ให้แสงสว่างอันบรรเจิดจ้า
ฉันคือ คนหนึ่งจากอะฮฺลุลบัยตฺ ที่พระเจ้าทรงขขัดความโสมมออกไปจากพวกเรา และทรงชำระขัดเกลาพวกเราให้สะอาดบริสุทธิ์
ฉันคือ คนหนึ่งจากอะฮฺลุลบัยตฺ ที่พระเจ้าทรงกำหนดให้จงรักภักดีกับพวกเราซึ่งเป็นบทบัญญัติที่มีอยู่ในคัมภีร์ของพระองค์ดังโองการที่กล่าวว่า
قُل لَّا أَسْأَلُكُمْ عَلَيْهِ أَجْرًا إِلَّا الْمَوَدَّةَ فِي الْقُرْبَى وَمَن يَقْتَرِفْ حَسَنَةً نَّزِدْ لَهُ فِيهَا حُسْنًا
سورة الشورى : ۲۳
“จงกล่าวเถิด (โอ้มุฮัมมัด) ฉันมิได้ขอรางวัลใด ๆ จากพวกท่านสำหรับงานนี้ เว้นแต่ความจงรักภักดีในญาติสนิท และผู้ใดที่ได้แสวงหาความดีประการหนึ่ง เราจะเพิ่มให้แก่เขาซึ่งความดีต่างๆ”
อิมามฮะซันได้อธิบายว่า ความดี ในโองการนี้หมายถึงความจงรักภักดีต่อพวกเราบรรดาอะฮ์ลุลบัยต์อับดุลลอฮ์บุตรของ อับบาส ได้ลุกขึ้นกล่าวว่า
“ประชาชนทั้งหลายจงฟัง นี่คือบุตรชายของราชสีห์ที่อยู่ท่ามกลางพวกท่าน เขาเป็นทายาทจากอิมามผู้บริสุทธิ์ของพวกท่าน ดังนั้น พวกท่านจงให้สัตยาบันแก่เขาเถิด”
ประชาชนได้ให้การยอมรับต่อท่าน และกล่าวว่า
“ท่านเป็นที่รักของพวกเรามากที่สุด และสิทธิของท่านคือความจำเป็นเหนือพวกเราที่ต้องปฏิบัติตาม”
และคนเหล่านั้นต่างเข้าไปมอบสัตยาบัน ในตำแหน่งเคาะลิฟะฮฺให้แก่ท่าน
การให้สัตยาบันของประชาชนกับอิมามฮะซัน (อ)
หลังจากอิมามอะลี (อ) ถูกฟันที่มัสญิดกูฟะฮฺ ท่านล้มเจ็บทันที จึงสั่งให้อิมามฮะซัน (อ) นำนมาซและในช่วงสุดท้ายแห่งชีวิตอันจำเริญของท่านท่านสั่งเสียว่า :
“โอ้บุตรชายของฉัน หลังจากพ่อจากไปแล้ว เจ้าคือผู้สืบตำแหน่ง และตัวแทนของพ่อ”
รายงานจากท่าน สะลีม บิน ก็อยซ์ ว่า ข้าขอยืนยันว่า ท่านอมีรุ้ลมุมีนีน(อ)ได้สั่งเสียแก่ท่านฮะซัน(อ)ผู้เป็นบุตร และข้าขอยืนยันต่อคำสั่งเสียของท่านที่มีแก่ท่านฮุเซน(อ) และท่านมุฮัมมัดฮะนาฟี และลูกๆของท่านทั้งหมด และบรรดาผู้นำของบรรดาผู้ปฏิบัติตามอะลุลบัยต์ของท่านต่อจากนั้นท่านได้มอบดาบ และคัมภีร์แก่อิมามฮะซัน พร้อมทั้งกล่าวว่า โอ้ลูกรัก ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ได้มีบัญชาให้ข้าสั่งเสียไว้กับเจ้า และให้ข้ามอบคัมภีร์ของข้าและดาบของข้าให้แก่เจ้าเหมือนเมื่อตอนที่ท่านได้สั่งแก่ข้า และมอบคัมภีร์และดาบของท่านให้แก่ข้าและได้สั่งข้าว่าให้สั่งเจ้าไว้ว่า ในยามที่ความตายจะมาถึงเจ้า เจ้าก็ต้องมอบมันให้แก่น้องชายของเจ้า นั่นคือ ฮุเซน ต่อจากนั้นท่านก็ได้หันไปยังอิมามฮุเซน(อ) ผู้เป็นบุตรของท่านแล้วกล่าวว่า ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ได้บัญชาให้เจ้ามอบมันต่อไปยังบุตรของเจ้าคนนี้
ต่อจากนั้นท่านก็ได้จับมือของท่านอาลี บินฮุเซน แล้วกล่าวว่าและท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ได้สั่งเจ้าว่าให้มอบมันต่อไปยังมุฮัมมัด บินอาลี บุตรของเจ้า แล้วจงนำสลามจากท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์และจากฉันฝากไปถึงเขาด้วย
(จากหนังสือบิฮารุลอันวาร เล่ม10 หน้า 89)
หลังจากนั้นอิมามฮะซันเดินทางไปมัสญิด ท่านกล่าวสุนทรพจน์ต่อหน้าผู้คน ถึงความเศร้าโศกอันยิ่งใหญ่จากการลอบสังหารบิดาของท่าน อาลี (อ)ด้วยกับการกล่าวที่ตรึงใจและซาบซึ้งเป็นอย่างยิ่งที่ได้เข้าไปสิงสถิตอยู่ในหัวใจของผู้รับฟังทุกๆคนซึ่งในตอนท้ายของสุนทรพจน์ว่า
“แน่นอนที่สุด บุรุษผู้หนึ่ง ซึ่งไม่มีผู้ใดทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคตอันยาวนานจะล้ำหน้าไปกว่าเขา หรือทัดเทียมกับเขาในการทำงาน ท่านกล่าวถึง ความกล้าหาญ ความเสียสละ และความอุตสาหะของท่านอิมามอะลี ที่ได้ทุ่มเทให้แก่อิสลาม ชัยชนะในสงครามต่าง ๆ ที่อิมามนำมาสู่อิสลาม อิมามอะลีเหลือทรัพย์ก่อนชะฮีดเพียง 700 ดิรฮัม เป็นส่วนแบ่งที่ได้รับจากเงินกองคลังอิสลาม ซึ่งท่านเตรียมไว้เพื่อจัดหาคนรับใช้ช่วยทำงานภายในครอบครัว
เวลานั้น อุบัยดิลลาฮฺ บุตรของอับบาซ ยืนขึ้นและกล่าวปลุกให้ผู้คนให้สัตยาบันกับ อิมามฮะซัน (อ) ประชาชนหลั่งไหลให้สัตยาบันกับอิมามอย่างแน่นถนัด ซึ่งตรงกับวันที่อิมามอาลี บิดาของท่านชะฮีด
มุอาวิยะฮ์ได้ปฏิเสธการให้สัตยาบันต่ออิมามฮะซัน(อ)
ประชาชนจากกูฟะฮฺ มะดีนะฮฺ อิรัก ฮิญาซ และเยเมนต่างสมัครใจให้สัตยาบันกับอิมาม ยกเว้นมุอาวิยะฮฺที่ยังคงดื้อดึง และแสดงความจองหองเหมือนกับที่กระทำกับอิมามอาลี (อ) บิดาของท่าน หลังจากประชาชนให้สัตยาบันแล้ว ท่านกล่าวเชิญชวนให้พวกเขาปฏิบัติตาม อะฮฺลุลบัยตฺของท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ผู้มีฐานะภาพเคียงข้างกับอัล กุรอาน ดังที่ท่านศาสดากล่าวไว้ในฮะดีษ ซะเกาะลัยน์ อิมามเชิญชวนให้ประชาชนหลีกเลี่ยงการลวงล่อของซาตานมารร้าย และออกห่างจากคุณสมบัติอันเลวทรามของมัน
วิถีชีวิตของท่านอิมามฮะซันในกูฟะฮฺคือ จุดศูนย์รวม และเป็นความหวังสำหรับประชาชน อิมามฮะซันมีคุณสมบัติครบทุกประการสำหรับการเป็นผู้นำ อันดับแรกท่านเป็นบุตรของท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ความรักและมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญของความศรัทธา อีกประการที่จำเป็นต้องให้สัตยาบันกับท่านเนื่องจาก ท่านเป็นผู้บังคับบัญชา อิมาม (อ) สร้างความเป็นระเบียบเรียบร้อยแก่สังคม โดยแต่งตั้งผู้ปกครองประจำเขตหัวเมืองต่าง ๆ
แต่เวลาผ่านไปได้ไม่นานนักประชาชนเริ่มเห็นแล้วว่า อิมามฮะซัน มิได้ผิดแปลกไปจากบิดาของท่านแม้แต่น้อย ความยุติธรรมคือหัวใจหลักในการปกครองของอิมามฮะซัน (อ) บางกลุ่มเริ่มรับหลักการของอิมามไม่ได้พวกเขาเริ่มคิดก่อกบฏ วางแผนการร้ายต่าง ๆ ในที่สุดพวกเขาเขียนจดหมายถึงมุอาวิยะฮฺเชิญชวนให้ยกทัพมายังกูฟะฮฺ และรับปากว่าเมื่อกองทัพของมุอาวิยะฮฺมาถึงกูฟะฮ์เมื่อใด พวกเขาจะจับตัวอิมามฮะซันส่งมอบให้มุอาวิยะฮฺทันทีหรือสังหารอิมามย่างฉับพลัน พวกนอรีต เคาะวาริจญ์ ร่วมมือกันต่อต้านรัฐบาลของวงศ์วานฮาชิม และตั้งตนเป็นปรปักษ์มาตั้งแต่สมัยที่ท่านอิมามอาลี (อ) ยังมีชีวิตอยู่ พวกเขาจึงให้ความร่วมมือกับกลุ่มกบฏอย่างเต็มที่ กลุ่มที่ต่อต้านกลุ่มกบฏคือ บรรดาชีอะฮฺของอาลี (อ) และบางกลุ่มจากพวกอพยพ และพวกอันซอรที่เดินทางมายังกูฟะฮฺ และตั้งถิ่นฐานอยู่ที่กูฟะฮฺ คนกลุ่มนี้มีความบริสุทธิ์ใจอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะก่อนการแต่งตั้ง หรือหลังการแต่งตั้งศาสดา พวกเขาแสดงตนเสมอตนเสมอปลายมาโดยตลอด
เมื่ออิมามเห็นความจองหองของมุอาวิยะฮ์เมื่ออยู่ต่อหน้าท่าน จึงส่งจดหมายเชิญให้มาภักดีกับท่าน แต่มุอาวิยะฮฺไม่ยอม และโต้ตอบด้วยการแสดงความดื้อดึงว่า เรื่องการปกครองฉันมีประสบการณ์สูงกว่าท่าน ฉันผ่านร้อนผ่านหนาวมามากกว่า ที่สำคัญฉันอาวุโสกว่าท่าน จะให้คนอย่างฉันปฏิบัติตามเจ้ากระนั้นหรือคงเป็นไปไม่ได้เด็ดขาด กระนั้นบางครั้งมุอาวิยะฮฺ เขียนไว้ในจดหมายของตน ถึงการยอมรับสารภาพในความดีของอิมามว่า หลังจากฉันตำแหน่ง คอลิฟะฮฺเป็นของเจ้า เนื่องจากเจ้าดีกว่าใครทั้งสิ้น แต่จดหมายฉบับสุดท้ายที่ตอบอิมามโดยผ่านผู้ถือสาส์นของท่าน เขาเขียนว่า เจ้าจงลืมเสียเถิด ระหว่างเรากับเจ้าไม่มีสิ่งใดต้องเจรจากันอีกนอกจากคมดาบเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้ บรรดาศัตรูที่รายล้อยมุอาวิยะฮฺ ได้แสดงท่าความแข็งกร้าวกับอิมามทันที เขาเป็นผู้เริ่มต้นการก่อการร้าย ใช้เล่ห์เพทุบายทุกอย่าง หยิบฉวยโอกาส สร้างสถานการณ์ที่ไม่เป็นจริงขึ้น แสดงท่าทีฝ่าฝืน เขาเริ่มใช้อุบายในการซื้อและติดสินบนแม่ทัพนายกองของอิมาม โกหกต่าง ๆ นานา เพื่อทำลายขวัญและกำลังใจของผู้คน เหล่าทหารของมุอาวิยะฮฺล้วนหิวกระหายทรัพย์สินเงินทอง ตลอดทหารฝ่ายอิมามจำนวนมากมายก็ถูกซื้อไปเป็นฝ่ายมุอาวิยะฮฺ ดังกล่าวไปแล้วข้างต้น
ส่วนทหารที่เหลือ และยืนหยัดกับอิมามมีชีอะฮ์ที่แท้จริงเพียงไม่กี่คนเท่านั้น เช่น ฮะญัร บุตรของ อะดีย์ อบูอัยยูบอันซอรีย์ อะดีย์ บุตรของฮาตัม และคนอื่น ๆ อีกไม่กี่คน อิมามกล่าวถึงพวกเขาว่า มีพวกเขาเพียงคนเดียวเหมือนมีทหารอยู่หนึ่งกองทัพ ส่วนพวกที่เหลือล้วนแล้วแต่ขี้ขลาดตาขาว หลงโลกและความสุขสบาย อิมามเริ่มสงคราม ด้วยเหล่าทหารที่ไม่เอาไหน ซึ่งคาดการณ์ได้ว่า กองทัพของอิมามไปไม่ถึงจุดหมายอย่างแน่นอน
มุอาวิยะฮ์ วางแผนการร้ายของตนเพื่อต่อต้านอิมามฮะซัน (อ) อยู่เสมอเช่นเดียวกับที่ทำในสมัยของท่านอิมามอาลี(อ)จนมีการทำสงครามซีฟฟีนต่อจากนั้นก็เป็นสงครามนะฮ์ระวอน ด้วยสาเหตุที่เขาต้องการตำแหน่งคอลีฟะฮ์ และความพยายามของเขาในการยึดครองตำแหน่งนี้จากเจ้าของตำแหน่งที่ถูกต้องตามบทบัญญัติของอิสลาม
แน่นอนประชาชนได้เลือกอิมามฮะซัน (อ) ขึ้นเป็นคอลิฟะฮ์สืบต่อจากอิมามอาลี และเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดของบรรดาผู้ศรัทธา แต่มุอาวิยะฮ์ได้ปฏิเสธการให้สัตยาบันต่ออิมาม และแทนที่เขาจะปฏิบัติตามแต่โดยดี เขากลับส่งหน่วยสอดแนมเข้าไปในเมืองกูฟะฮ์ และเมืองบัศเราะฮ์และมอบสินบนไปให้แก่คนบางกลุ่ม
อิมามฮะซัน พยายามขัดขวางแผนการร้ายของมุฮาวิยะฮ์ ยิ่งกว่านั้นท่านยังสำเร็จโทษพวกสอดแนมอีกด้วย แล้วส่งสาส์นกลับไปยังมุอาวิยะฮ์โดยได้เตือนให้เขาระวังตัว หากยังอยู่ในความบิดพลิ้วอยู่อีกต่อไป ใจความจดหมายมีความว่า “นอกจากนี้แล้ว ขอแจ้งให้ทราบว่าตามที่ท่านได้ส่งพวกสอดแนมไปหาฉันนั้น เหมือนกับว่าท่านชอบในการจะเผชิญหน้าไม่ต้องสงสัยเลยว่า เรื่องนี้จะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ถ้าหากอัลลอฮ์ทรงประสงค์”
โดย เอกภาพ