อัรบะอีนอิมามฮุเซน
อัรบาอีน คือ สี่สิบวันหลังจากการถูกสังหารของท่านอิมามฮุเซน บิน อะลี นั่นคือ วันที่ 20 เดือน
ซอฟัร
ท่านนบีมุฮัมมัด (ศ)วะฟาตในปีฮ.ศ.ที่11 ห้าสิบปีต่อมา คือในปีฮ.ศ.ที่ 61 บรรดามุสลิมที่เมืองชาม (ในอดีตรวมถึงซีเรีย, จอร์แดน, ปาเลสไตน์) ก็ไม่รู้เสียแล้วว่า ใครคือ อาลิมุฮัมมัด (วงศ์งานลูกหลานของท่านนบี)
ท่านอิมามฮุเซนถูกสังหารด้วยข้อหากบฏต่อกษัตริย์ยะซีด
อาลิมุฮัมมัดที่รอดชีวิตตกเป็นเชลยศึกส่งให้ไปยะซีด
เมื่อเชลยอาลิมุฮัมมัดมาถึงเมืองดามัสกัส ซีเรีย ประชาชนชาวชามที่นั่นได้โห่ร้องประณามอาลิมุฮัมมัด เอาก้อนหินขว้างปาใส่
ชายชราคนหนึ่งเดินเข้ามาด่าว่าอิมามซัยนุลอาบิดีนต่างๆนานา
ตามที่ท่านอัซ-ซุดดีรายงานจากท่านอบี อัด-ดัยลัมเล่าว่า :
لَمَّا جِيْءَ بِعَلِيِّ بْنِ الْحُسَيْنِ رَضِيَ اللهُ عَنْهُ أَسِيْراً، فَأُقِيْمَ عَلَى دَرَجِ دِمَشْق، قَامَ رَجُلٌ مِنْ أَهْلِ الشَّامِ فَقَالَ : اَلْحَمْدُ لِلَّهِ الَّذِيْ قَتَلَكُمْ وَاسْتَأْصَلَكُمْ، وَقَطَعَ قَرْنَ الْفِتْنَةِ، فَقَالَ لَهُ عَلِيُّ بْنُ الْحُسَيْنِ رَضِيَ اللهُ عَنْهُ : أَقَرَأْتَ الْقُرْآنَ ؟ قَالَ: نَعَمْ، قَالَ: أَقَرَأْتَ آلَ حم ؟ قَالَ : قَرَأْتُ الْقُرْآنَ وَلَمْ أَقْرَأْ آلَ حم ؟ قَالَ : مَا قَرَأْتَ : { قُل لاَّ أَسْـئَلُكُمْ عَلَيْهِ أَجْراً إِلاَّ ٱلْمَوَدَّةَ فِى ٱلْقُرْبَىٰ } قَالَ : وَإِنَّكُمْ لَأَنْتُمْ هُمْ ؟ قَالَ : نَعَمْ
ตอนที่ท่านอะลี (ซัยนุลอาบิดีน)บุตรชายท่านฮุเซนถูกคุมตัวเป็นเชลยมายืนอยู่ที่ถนนเมืองดามัสกัส
มีชายชาวเมืองซีเรียคนหนึ่งด่าท่านว่า : ขอบคุณอัลลอฮ์ที่ทรงสังหารพวกเจ้าและตัดความวุ่นวาย
ท่านอะลี บิน ฮุเซนได้ถามชายชาวเมืองซีเรียคนนั้นว่า : ท่านเคยอ่านอัลกุรอ่านบ้างไหม ?
ชายชาวเมืองซีเรีย : เคยอ่านสิ
ท่านอะลี บิน ฮุเซน : แล้วท่านเคยอ่านซูเราะฮ์อัชชูรอ(บทที่43)บ้างไหม
ชายชาวเมืองซีเรีย : ฉันเคยอ่านอัลกุรอ่าน แต่ไม่เคยอ่านซูเราะฮ์อัชชูรอ
ท่านอะลี บิน ฮุเซน : ท่านคงไม่เคยอ่านโองการที่อัลลอฮฺทรงตรัสว่า
“จงกล่าวเถิด(มุฮัมมัดต่อมุสลิมทั้งหลายว่า) ฉันไม่ขอค่าตอบแทนใด ๆ เพื่อการประกาศอิสลามนี้ ยกเว้น ให้แสดงความรักต่อญาติสนิท” นี้ใช่ไหม ?
ชายชาวเมืองซีเรียถามว่า : พวกท่านคือกุรบา(ญาติสนิท)ของท่านศาสดามุฮัมมัดกระนั้นหรือ ?
ท่านอะลี บุตรฮูเซน ตอบว่า : ใช่แล้ว
จากหนังสือ ตัฟซีรอัฏ-ฏอบะรี อิบนุ ญะรีร เล่ม 21 หน้า 528 ดูบทอัช-ชูรอ: 23
,ตัฟซีรอิบนุ กะษีร เล่ม 7 หน้า 200 ดูบทอัช-ชูรอ : 23 สายรายงานเชื่อถือได้
กษัตริย์ยะซีดขึ้นนั่งบัลลังค์กลางท้องพระโรง ศรีษะอิมามฮูเซน หลานชายท่านนบีถูกนำมาวางตรงหน้า ยะซีดใช้ไม้ตีที่ฟันอิมามฮูเซนพลางรายกลอนว่า
لَيْتَ اَشْياخى بِبَدرٍ شَهِدُوا جَزَعَ الْخَزْرَجِ مِنْ وَقْعِ الاسَلْ
“ข้าอยากให้บรรพบุรุษข้า(อุตบะฮ์)ที่ตายในบาดัรได้เห็นจังเลย และให้พวกค็อซรอซ(ที่เป็นฝ่ายนบี)ได้เจ็บปวดจากเชลยเหล่านี้ มันเท่าเทียมกันแล้วกับที่พวกเจ้าได้สังหารปู่ทวดของข้าในสงครามบาดัรและอุฮุด”
لَعِبَتْ هاشِمُ بِالْمُلْكِ فَلا خَبَر جاءَ وَ لا وَحْيٌ نَزَلْ
“พวกฮาชิมได้เล่นกับอำนาจโดยเอาอิสลามบังหน้า ที่จริงไม่มีวะฮีใดๆถูกประทานลงมาหรอก”
لَسْتُ مِنْ خِنْدِفَ انْ لَمْ اَنْتَقِمْ مِن بَنى اَحْمَدَ ما كانَ فَعَلْ
“ข้าคงไม่ใช่ลูกหลานคินดิ๊ฟ หากข้าไม่ได้ล้างแค้นกับลูกหลานมุฮัมมัด ต่อสิ่งที่มุฮัมมัดได้สังหารบรรพบุรุษข้าไว้ในอดีต”
ท่านหญิงซัยนับ บุตรีท่านอิมามอาลีลุกขึ้นโต้ตอบยะซีดว่า อัลลอฮ์ ตะอาลาตรัสว่า
وَلَا يَحْسَبَنَّ الَّذِينَ كَفَرُوا أَنَّمَا نُمْلِي لَهُمْ خَيْرٌ لِأَنْفُسِهِمْ إِنَّمَا نُمْلِي لَهُمْ لِيَزْدَادُوا إِثْمًا وَلَهُمْ عَذَابٌ مُهِينٌ
บรรดากาเฟรทั้งหลาย จงอย่าได้คิดเป็นอันขาดว่า ที่เราประวิงให้แก่พวกเขานั้นเป็นการดีแก่ตัวของพวกเขา แท้จริงที่เราประวิงให้แก่พวกเขานั้น ก็เพื่อให้พวกเขาได้เพิ่มพูนบาปกรรมเท่านั้น และสำหรับพวกเขาคือการลงโทษอันต่ำช้า
وَلَا تَحْسَبَنَّ الَّذِينَ قُتِلُوا فِي سَبِيلِ اللَّهِ أَمْوَاتًا بَلْ أَحْيَاءٌ عِنْدَ رَبِّهِمْ يُرْزَقُونَ
เจ้าจงอย่าได้คิดเป็นอันขาดว่า บรรดาผู้ที่ถูกฆ่าในทางของอัลลอฮ์นั้นตาย มิได้พวกเขายังมีชีวิตอยู่ ณ พระเจ้าของพวกเขาในสภาพที่ได้รับปัจจัยยังชีพ
ท่านหญิงซัยนับถามยะซีดว่า
اَمِنَ الْعَدْلِ يَابْنَ الطُّلَقاءِ تَخْدِيْرُكَ حَرائِرَكَ وَاَمائَكَ وَ سُوقَكَ بَناتِ رَسُولِ اللّهِ سَبايا ؟
قَدْ هَتَكْتَ سُتُورَهُنَّ، وَ اَبْدَيْتَ وُجُوهَهُنَّ، تَحْدُو بِهِنَّ الاعْداءُ مِنْ بَلَدٍ الى بَلَدٍ
وَ حَسْبُكَ بِاللّهِ حاكِما، وَ بِمُحَمَّدٍ ص خَصيما وَ بِجَبْرَئيلَ ظَهيرا
بِئْسَ لِلظّالِمينَ بَدَلاً وَأَيُّكُمْ شَرُّ مَكاناً وَ اَضْعَفُ جُنْدا
มันคือความยุติธรรมกระนั้นหรือ ? โอ้บุตรของทาส(ที่ท่านนบี)ปล่อยให้เป็นอิสรภาพในวันพิชิตมักกะฮ์ การที่เจ้าเอาผ้าม่านคลุมภรรยา สตรีที่เป็นเครือญาติเจ้าและนางสนมของเจ้า
แต่เจ้ากลับจูงมือบรรดาสตรีที่เป็นลูกหลานของรอซูลุลลอฮ์ในสภาพของเชลยศึก เจ้าฉีกผ้าคลุมของพวกนาง เจ้าให้ใบหน้าของพวกนางต้องปรากฏต่อหน้าบรรดาศัตรูอิสลาม จากเมืองหนึ่งไปยังอีกเมืองหนึ่ง
เพียงพอแล้วสำหรับเจ้า ที่อัลลอฮ์และนบีมุฮัมมัดจะเป็นคู่กรณีกับเจ้า และท่านญิบรออีลจะเป็นศัตรูต่อต้านเจ้า
ช่างต่ำทรามยิ่งสำหรับบรรดาคนอธรรมทั้งหลาย พวกเจ้าจะได้อยู่ในสถานที่อันเลวร้ายและกองทัพเจ้าช่างอ่อนแอที่สุด ( คือรังแกคนป่วย สตรีและเด็กๆที่ไม่ทีทางสู้)
ยาซีดได้สั่งให้คอเตบประจำสำนักขึ้นมิมบัร ทำการประณามท่านอิมามฮูเซนและท่านอิมามอาลี จากนั้นคอเตบชั่วก็ได้ยกย่องสรรเสริญมุอาวียะฮ์และยะซีด
อิมามซัยนุลอาบิดีน บิน ฮูเซน จึงตะโกนใส่คอเตบชั่วว่า
وَيْلَكَ اَيُّهَا الْخاطِبُ، اِشْتَرَيْتَ مَرْضاةَ الْمَخْلُوقِ بِسَخَطِ الْخالِقِ، فَتَبَوَّأْ مَقْعَدَكَ مِنَ النّارِ
โอ้เจ้าคอเตบ ความวิบัติจงมีแด่เจ้าเถิด ที่เจ้าได้ขายความพอใจของมนุษย์เยี่ยงยะซีด กับความพิโรธของอัลลอฮ์ เจ้าจงเตรียมตัวลงนรกเถิด
ท่ามกลางความสับสนของผู้คนที่เฝ้ามองดูอยู่ในท้องพระโรงอย่างหนาแน่นกับเชลยศึกกลุ่มนี้ อิมามซัยนุลอาบิดีนได้ฉวยโอกาสเปิดเผยความจริงว่า ท่านเป็นใคร?
อิมามซัยนุลอาบิดีนหันไปบอกกับยะซีดว่า ฉันต้องการขึ้นมิมบัรปราศรัย ยาซีดยินยอมให้บุตรชายอิมามฮูเซนขึ้นไปอย่างไม่พอใจนัก
อิมามซัยนุลอาบิดีนได้ทำการสรรเสริญอัลลอฮ์และซอลาวาตต่อท่านนบี จากนั้นกล่าวว่า
أيها الناس أنا ابنُ مكة ومنى، أنا ابنُ المروة والصفا، أنا ابنُ محمد المصطفى أنا ابنُ علي المرتضى، أنا ابنُ فاطمة الزهراء أنا ابنُ ذبيحُ كربلاء أنا ابنُ الْمَجزُوزِ الرأسِ مِنَ القِفاَ
โอ้ประชาชนทั้งหลาย ฉันคือบุตรของมักกะฮ์และมีนา ฉันคือบุตรของมัรวะฮ์และศอฟา ฉันคือบุตรของมุฮัมมัด มุศตอฟา ฉันคือบุตรของอะลี มุรตะฎอ ฉันคือบุตรของฟาติมะฮ์ ซะฮ์รอ
ฉันคือบุตรของผู้ถูกสังหารที่แผ่นดินกัรบาลา และฉันคือบุตรของผู้ถูกตัดเศียรที่วางอยู่ตรงนี้...
สิ้นสุดคำพูดท่านอิมามซัยนุลอาบิดีนได้ร้องไห้ออกมา
ส่วนประชาชนพอได้ยินเช่นนั้นทุกคนในท้องพระโรงต่างส่งเสียงร้องไห้โฮออกมา
ยาซีดแลเห็นสถานการณ์ไม่ค่อยดีนัก เขาจึงรีบตัดบทมิให้อิมามซัยนุลอาบิดีนประจานเขาได้อีก โดยสั่งมุอัซซินให้ทำการอาซาน เมื่อมุอัซซิน อาซานว่า
“อัลลอฮุอักบัร “ ท่านอิมามฯกล่าวว่า ใช่แล้ว ไม่มีสิ่งใดใหญ่เกินอัลลอฮ์
พอมุอัซซินกล่าวว่า
“อัชฮะดุ อันลาอิลาฮะ อิลัลลอฮ์ “อิมามฯกล่าวว่า ข้าขอปฏิญาณตนตามที่เขากล่าวสิ่งนั้น
เมื่อมุอัซซินกล่าวว่า
“อัชฮะดุ อันนะ มุฮัมมะดัร รอซูลุลลอฮ์” อิมามฯกล่าวว่า
يا يَزِيْدُ هذا جَدِّي أو جَدُّكَ ؟ فإن قُلتَ جدُّكَ فقد كَذِبْتَ، وإن قُلتَ جَدِّيْ فَلِمَ قَتَلْتَ أَبِي وسَبَيْتَ حَرَمَهُ وَسَبَيْتَنِيْ ؟
โอ้ยะซีด ! มุฮัมมัดคนนี้คือ ปู่ของฉัน หรือ ปู่ของเจ้า ?
หากเจ้าบอกว่า เขาคือ ปู่ของเจ้า แน่นอนเจ้าคือคนโกหก
และหากเจ้าบอกว่า เขาคือปู่ของฉัน ขอถามเจ้าว่า ทำไมเจ้าต้องสังหารบิดาของฉันด้วย ทำไมเจ้าจึงจับครอบครัวเป็นเชลย และทำไมเจ้าจึงจับฉันเป็นเชลย ?
ท่านอิมามซัยนุลอาบิดีนหันไปกล่าวกับประชาชนว่า
معاشِرَ الناس هَل فِيكُم مَن أَبُوهُ وجَدُّهُ رسولُ الله ؟
โอ้ท่านทั้งหลาย มีใครในหมู่พวกท่านไหม ที่บิดาของเขาและปู่ของเขาคือท่านรอซูลุลลอฮ์ (ศ)
คำถามนี้ทำให้ผู้คนในท้องพระโรงส่สงเสียงร้องไห้ดังลั่นออกมา
ยาซีดโมโหมากที่ถูกอิมามซัยนุลอาบิดีนและท่านหญิงซัยนับฉีกหน้า เขาจึงออกคำสั่งให้ทหารคุมตัวอาลิมุฮัมมัดไปกักขังไว้ที่คิรบะตุชชาม ( เรือนจำ ) ไม่มีหลังคากันร้อนกันหนาว ใบหน้าของอาลิมุฮัมมัดไหม้เกรียมในยามกลางวัน พวกถูกขังไว้ที่นี่สามวัน
คืนหนึ่งรุก็อยยะฮ์ บุตรสาวอิมามฮุเซน วัยสามขวบหลับอยู่และฝันเห็นพ่อที่เรือนจำหลังนี้ จึงตื่นมาร้องหาพ่อ ท่านหญิงซัยนับและบรรดาสตรีช่วยกันปลอบเท่าไหร่ก็ไม่หยุดร้อง ทุกคนในเรือนจำจึงส่งสารเด็กและส่งเสียงร้องไห้ไปตามกัน เสียงร้องไห้ดังไปถึงหูของยะซีดที่กำลังบรรทมอยู่บนที่นอนอันอ่อนนุ่มในวัง เขาเรียกทหารมาสอบถามก็ความว่า เด็กน้อยรุก็อยยะฮ์ร้องไห้คิดถึงพ่อ ยะซีดจึงสั่งทหารให้เอาศรีษะอิมามฮูเซนใส่ผ้าคลุมไปให้เด็กซะ นางจะได้หยุดร้องเสียที เมื่อทหารนำถาดมาตั้ง หนูน้อยรุก็อยยะฮ์จึงเปิดผ้าออกพอเห็นศรีษะบิดา นางก็ร้องไห้จนเป็นลมหมดสติ จนวิญญาณหลุดจากร่างไป
ยะซีดกักขังเชลยอาลิมุฮัมมัดไว้ที่ดามัสกัสได้ไม่นานนัก ก็เกรงว่าจะเกิดฟิตนะฮ์(ความไม่สงบขึ้น) เพราะคำปราศัยของท่านหญิงซัยนับและอิมามซัยนุลอาบิดีนได้ปฏิวัติความคิดในหมู่ประชาชนจนโจษขานกันว่า พวกอุมัยยะฮ์โกหกว่าเชลยคือคอวาริจญ์ แต่ที่จริงพวกเขาคืออาลิมุฮัมมัด
ประชาชนทั้งใกล้และไกลเริ่มออกมาประท้วง ต่อต้านการกระทำของยะซีด ยะซีดจึงเห็นว่าต้องรีบส่งตัวอาลิมุฮัมมัดกลับไปยังนครมะดีนะฮ์บ้านเกิดของพวกเขา เพื่อเขาจะได้รอดตัวจากกรรมที่เขาไว้
ก่อนที่ยะซีดจะปล่อยอาลิมุฮัมมัดกลับนครมะดีนะฮ์ ยะซีดได้เอาผ้าไหมอย่างดี รวมทั้งทรัพย์สินเงินทองมากมายมาให้อาลิมุฮัมมัดเป็นการชดเชยกับการที่เขาสังหารอิมามฮูเซนรวมทั้งสิ่งที่ทหารยะซีดได้ฉกชิงสิ่งของไปจากอาลิมุฮัมมัด
ท่านหญิงซัยนับได้กล่าวกับยาซีดว่า
مَا أَقَلُّ حَياَئِكَ تَقْتُلُ أَخِيْ وَأَهْلَ بَيْتِيْ وَتُعْطِيْنِيْ عَوَضَهُمْ
เจ้าช่างมีความละอายน้อยเสียเหลือเกิน เจ้าสังหารพี่ชายฉันและครอบครัวของฉัน แล้วเจ้าจะเอาทรัพย์นี้มาทดแทนให้ฉันกระนั้นหรือ ?
เมื่อเชลยศึกอาลิมุฮัมมัดออกจากเมืองชามไปนครมะดีนะฮ์ เชลยศึกเดินทางมาถึงประเทศอิรัก
อาลิมุฮัมมัดกล่าวกับนุอ์มาน บิน บะชีร คนคุมกองคาราวานตามคำสั่งยาซีดว่า :
จงพาเราผ่านไปทางกัรบาลา พวกเขาเดินทางมาถึงสถานที่อิมามฮุเซนถูกสังหาร บังเอิญได้พบกับซอฮาบะฮ์ชื่อ ท่านญาบิร บิน อับดุลลอฮ์ รวมทั้งบนีฮาชิมกลุ่มหนึ่งด้วย พวกเขาเดินทางจากนครมะดีนะฮ์มาที่นี่เพื่อซิยารัตสุสานอิมามฮูเซน
ทั้งสองฝ่ายเจอกันในเวลาเดียวกัน จึงร่วมกันร้องไห้และจัดมัจลิสมุซีบัตและทำการมะตั่มอย่างเจ็บปวดรวดร้าว
ผู้คนที่อาศัยอยู่บริเวณนั้นก็เข้ามาร่วมด้วย พวกเขาได้จัดพิธีกรรมไว้ทุกข์ให้กับอิมามฮูเซนเป็นเวลาหลายวัน
ท่านหญิงซัยนับรำพันที่ข้างหลุมว่า โอ้พี่ฮูเซน ก่อนพี่จะจากน้องไป พี่ได้สั่งเสียให้น้องดูแล
รุก็อยยะฮ์ให้ดี น้องละอายใจเหลือเกิน บัดนี้น้องกลับต้องมาบอกพี่ว่า รุก็อยยะฮ์เสียชีวิตแล้ว
อาลิมุฮัมมัดร่ำร้องไม่หยุดอยู่ที่หลุมอิมามฮุเซน
จนอิมามซัยนุลอาบิดีนเกรงว่า พวกเขาเหล่านี้คงต้องเสียชีวิตแน่จึงสั่งให้เคลื่อนกองคาราวาน
เชลยอาลิมุฮัมมัดมุ่งหน้ากลับสู่นครมะดีนะฮ์ พอใกล้ถึงตัวเมือง อิมามซัยนุลอาบิดีนสั่งให้กองคาราวานหยุดลงและตั้งกระโจมพักนอกเมือง
อิมามซัยนุล สั่งบาชีรบิน ญุซลัม ซึ่งเป็นนักกวีว่า
اُدْخُلِ الْمَدِيْنَةَ وَانْعِ أَباَ عَبْدِ الله ع
จงเข้าไปประกาศข่าวในเมืองว่า อบาอับดิลลาฮิลฮูเซน เสียชีวิตแล้ว
บาชีรควบม้าเข้าเมืองมะดีนะฮ์ไปจนมาถึงหน้ามัสยิดินนบี เขาประกาศก้องด้วยน้ำตาว่า
يَا أَهْلَ يَثْرِبَ لاَ مُقَامَ لَكُمْ بِهَا قُتِلَ الْحُسَيْنُ فَأَدْمُعِي مِدْرَارُ
أَلْجِسْمُ مِنْهُ بِكَرْبَلاَءَ مُضَرَّجٌ وِالرَّأْسُ مِنْهُ عَلَى الْقَنَاةِ يُدَارُ
โอ้ชาวมะดีนะฮ์เอ๋ย ต่อไปนี้มะดีนะฮ์ไม่ใช่ที่สำหรับพวกท่านอีกต่อไปแล้ว
อิมามฮูเซนถูกสังหารเสียแล้ว น้ำตาของฉันยังไหลไม่หยุดเลย
ร่างของฮูเซน แหลกเป็นชิ้นๆที่กัรบาลา ส่วนศรีษะเขาเสียบอยู่ที่ปลายหอกวนเวียนไปทั่ว
ประชาชนต่างเข้ารุมล้อมตัวบาชีร พวกเขาถามหา อาลิมุฮัมมัดว่า ตอนนี้อยู่ที่ไหน ?
พอบาชีรตอบว่า พักอยู่ที่หน้าเมืองมะดีนะฮ์ พอชาวเมืองรู้ว่าอะฮ์ลุลบัยต์พักอยู่นอกเมืองทุกคนต่างรีบมุ่งหน้าออกไปหาทันที
ชาวมะดีนะฮ์ต่างออกมาตามหา อาลิมุฮัมมัด พบกระโจมปักอยู่ พวกเขาเดินเข้าไปพบอิมามซัยนุลอาบิดีนนั่งอยู่บนเก้าอี้ มีบรรดาสตรีและเด็กนั่งรวมอยู่ด้วย
อิมามอยู่ในสภาพน้ำตาไหลพราก เอามือเช็ดน้ำตา ซึ่งไหลไม่หยุด ชาวมะดีนะฮ์ทั้งหมดจ้องมองไปที่อิมามซัยนุลอาบิดีนต่างส่งเสียงร้องไห้ออกมาดังลั่นไปทั่วสารทิศ
อิม่ามซัยนุลอาบิดีน ยกมือส่งสัญญาณให้พวกเขานิ่งเงียบลง แล้วท่านได้ปราศัยว่า
الحمد لله رب العالمين، الرحمن الرحيم، مالك يوم الدين، باريء الخلق اجمعين
อัลฮัมดุลิลลาฮิ ร็อบิลอาละมีน อัรเราะห์มานิรเราะฮีม มาลิกิเยามิดดีน ผู้สร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย...
ايها الناس: ان الله وله الحمد ابتلانا بمصائب، وثُلم الاسلام ثلمة عظيمة،
โอ้ประชาชนทั้งหลาย แท้จริงการสรรเสริญทั้งมวลคือสิทธิของอัลลอฮ์ ทรงทดสอบพวกเราด้วย
มุซีบัตต่างๆมากมาย อิสลามได้แตกร้าวลง อันเป็นรอยร้าวที่ยิ่งใหญ่
قُتل ابو عبد الله الحسين عليه السلام، وعترته، وسُبيت نساءه، وصبيته
ท่านอบู อับดุลเลาะฮ์ อัลฮูเซน อะลัยฮิสลาม ถูกสังหารเสียแล้ว และอิตเราะฮ์ของเขาด้วย ส่วนบรรดาสตรีของเขาและลูกหลานของเขาตกเป็นเชลยศึก
พวกทหารยาซีดนำศรีษะฮูเซนเสียบไว้ที่ปลายหอก แล้วพาเวียนไปทั่วหัวเมืองต่างๆ
وهذه رَزِيَّةُ الَّتِي لاَ مِثْلَهاَ رِزِيَّةٌ
และรอซียะฮ์(ความวิปโยค)นี้ จะไม่มีรอซียะฮ์ใดเหมือนมันอีกเลย
عَنْ عَلِيِّ بْنِ الْحُسَيْنِ : أَنَّهُمْ حِيْنَ قَدَمُوْا الْمَدِيْنَةَ مِنْ عِنْدَ يَزِيْدِ بْنِ مُعَاوِيَّة مَقْتَلِ الْحُسَيْنِ ابْنِ عَلِيٍّ رَضِيَ اللهُ عنهما لَقِِيَهُ الْمِسْوَرُ بْنُ مخرمة فَقَالَ لَهُ هَلْ لَكَ إِلَيَّ مِنْ حَاجَةٍ تَأْمُرُنِيْ بِهَا قَالَ فَقُلْتُ لَهُ لاَ
ท่านอะลี บุตร ฮูเซน เล่าว่า : เมื่อพวกท่านเข้ามาที่เมืองมะดีนะฮ์ จากกษัตริย์ยะซีด(ที่ส่งตัวกลับมาหลังจากที่)ท่านฮูเซน บินอะลีถูกสังหาร
อัลมิสวัร บินมัคร่อมะฮ์ได้เข้ามาพบท่านแล้วกล่าวกับท่านว่า ท่านมีความเดือดร้อนอันใดที่จะให้ข้าพเจ้าช่วยเหลือไหม โปรดสั่งข้าพเจ้าให้ทำสิ่งนั้นเถิด ท่านอะลี บิน ฮูเซนกล่าวกับเขาว่า ไม่มี....
สถานะหะดีษ : ซอฮิ๊ฮ์ ดู ซอเฮียะฮ์ อบีดาวูด หะดีษที่ 1821 ตรวจทานโดยเชคอัลบานี
พออาลิมุฮัมมัดเข้าสู่นครมะดีนะฮ์ บ้านเกิดของพวกเขา สิ่งแรกที่ท่านหญิงซัยนับวัย 55 ปีกระทำคือ นางเดินตรงไปที่มัสยิดินนบี พอถึงมัสยิดนางจับขอบประตูมัสยิด พลางร้องตะโกนด้วยความทุกข์ระทมว่า
ياَ جَـدَّاهُ ! إِنِّيْ ناَعِـيَةٌ إِلَيْكَ أَخِي الْحُسَيْنُ
โอ้ตาจ๋า ! หนูนำข่าวการเป็นชะฮาดัตของพี่ฮูเซนกลับมาบอกตา
บัดนี้เองพวกทหารชามที่คุมอาลิมุฮัมมัดมาส่งจึงรับรู้ว่า เชลยศึกเหล่านี้คือ ลูกหลานของนบี
มุฮัมมัด(ศ)นั่นเอง
น้ำตาซัยนับไม่เคยเหือดแห้งและไม่ยอมเลิกคร่ำครวญ ทุกครั้งที่นางแลมองซัยนุลอาบิดีนหลานชาย ความโศกเศร้าของนางก็หวลกลับมาใหม่อีกครา
หลังจากท่านหญิงซัยนับอาลัยร่ำไห้ที่กุโบรท่านนบีเสร็จ นางเดินไปที่บ้านของอิมามฮูเซน บ้านที่อิมามฮุเซนใช้เป็นที่นมาซ ต้อนรับแขกและเป็นที่พักพิงของคนยากจนขัดสนและเด็กกำพร้าทั้งหลาย
อิมามซัยนุลอาบิดีนและอาลิมุฮัมมัดได้จัดมัจลิสไว้อาลัยอยู่ในบ้านอิมามฮูเซน และเล่าเรื่องการถูกสังหารของอิมามฮูเซนให้ประชาชนรับฟัง
อัมร์ บิน สะอีด อัลอัชดัก ผู้ปกครองเมืองมะดีนะฮ์เฝ้ามองการจัดมัจลิสบรรยายเรื่องราวของอิมาม
ฮูเซนต่อประชาชนว่ากำลังจะเกิดผลกระทบกระเทือนต่อบัลลังค์ราชวงศ์อุมัยยะฮ์
เขาจึงส่งสารไปรายงานต่อยะซีดที่ดามัสกัสให้รับรู้ถึงอันตรายของมัจลิสอาชูรอ
ยาซีดมีสารมายังสั่ง อัมร์ บิน สะอีดว่า
จงเนรเทศซัยนับออกจากเมืองมะดีนะฮ์ ซัยนับเดินทางออกจากบ้านเกิดเป็นครั้งสุดท้ายจนนางมาเสียชีวิตที่ดินแดนซีเรีย
อินนาลิลลาฮ์ วะอินนา อิลัยฮิรอญิอูน
إِنَّا لِلَّهِ وَإِنَّا إِلَيْهِ رَاجِعُونَ
وَسَيَعْلَمُ الَّذِينَ ظَلَمُوا أَيَّ مُنْقَلَبٍ يَنْقَلِبُونَ
ขอขอบคุณเว็บไซต์q4wahabi.com