ภายหลังอาชูรอ ตะวันแห่งกัรบะลาคล้อยลงไว้อาลัยแก่บรรดาวีรชนอย่างอาดูร ศัตรูจู่โจมเข้าปล้นสดมภ์ค่ายพักแห่งวงศ์วานนบีอย่างบ้าคลั่ง บ้างตบตีดวงหน้าไร้เดียงสาของเด็กๆด้วยมือสากสกปรกของตน บ้างกระชากต่างหูจากเด็กหญิงจนติ่งหูขาดวิ่น เด็กๆหวาดผวาและวิ่งหนีกระเจิงไปคนละทิศละทางแม้จะอ่อนเปลี้ยเพลียแรงและกระหายน้ำอย่างหนัก
เมื่อเหล่าทหารอำมหิตสามารถจับกุมบรรดาหน่อเนื้อของท่านนบีอย่างทารุณได้สำเร็จ พวกมันได้คล้องเชือกพันธนาการเรือนร่างวงศ์วานนบี เหยียดหยามเกียรติยศในฐานะเชลยศึกผู้ก่อกบฎ เชือกหยาบเหล่านี้มัดและเสียดถูผิวพรรณกระทั่งเกิดบาดแผลบริเวณลำคอและเรือนร่างของท่านอิมามซัจญาดอย่างน่าอนาถใจ ท่านอิมามซัจญาดซึ่งป่วยไข้อย่างหนักจนไม่สามารถลุกขึ้นด้วยตนเองได้ ต้องกล้ำกลืนทนพิษไข้เดินเคียงข้างกองคาราวานของอาลิมุฮัมมัดอย่างทรมานด้วยแรงแซ่ที่กระหน่ำตีพวกเขาอย่างบ้าคลั่ง
แผลใจจากชาวกูฟะฮ์ เชลยแห่งวงศ์วานนบีถูกฉุดกระชากผ่านสายตาชาวเมืองกูฟะฮ์ที่ชุมนุมชมกองคาราวานอย่างใจจดใจจ่อ บ้างก่นด่าประณามวงศ์วานนบีอย่างแสบสันต์ถึงก้นบึ้งหัวใจ บ้างระดมขว้างปาก้อนหินใส่กองคาราวานอย่างเคียดแค้น หญิงบางคนร่ำไห้อย่างขมขื่นเมื่อเห็นซัยนับและเครือญาติในสภาพที่น่าเวทนาเช่นนี้ แต่หยาดน้ำตาเหล่านี้จะมีประโยชน์ใดเล่าเมื่อสิ่งที่จะซับน้ำตาสตรีเหล่านี้คือเศษผ้าจากอาภรณ์บรรดาชะฮีดแห่งกัรบะลาที่สามีของพวกนางปล้นสดมภ์ในวันวานเมื่อถึงวังของอิบนิซิยาด จอมอหังการ์ผู้นี้ได้เย้ยหยันบรรดาอะฮ์ลุลบัยต์ด้วยคำพูดเหน็บแนมต่างๆนานา มันหันมาพูดกับท่านอิมามซัจญาดว่า “เจ้าเป็นใคร?” ท่านตอบว่า “ข้าคืออลีบุตรของฮุเซน” มันถามเชิงเยาะเย้ยว่า “อัลลอฮ์มิได้ฆ่าอลีบุตรของฮุเซนไปแล้วหรืออย่างไร?”
ท่านตอบอย่างองอาจแม้เจ็บปวดตามร่างกายด้วยพิษไข้และรอยแซ่ว่า “ข้ามีพี่ชายที่ชื่ออลี ซึ่งฝูงชนได้รุมสังหารเขา” อิบนิซิยาดตอบโต้ด้วยความหยิ่งผยองในอำนาจว่า “อัลลอฮ์ต่างหากที่สังหารเขา” ท่านกล่าวตอบด้วยอายะฮ์กุรอานอย่างมั่นคงโดยมีใจความว่า “พระองค์ทรงเก็บชีวิตทั้งหลายเมื่อความตายของพวกเขามาถึง” เพื่อต้องการจะกล่าวแก่อิบนิซิยาดว่าผู้สังหารอลีอักบัรคือฝูงทหารสวะของมันนั่นเอง อิบนิซิยาดบันดาลโทสะอย่างยิ่งเมื่อรู้สึกว่าตนเองถูกท้าทาย มันได้ตะคอกใส่ผู้เป็นดังที่ระลึกของอิมามฮุเซนว่า “แกกล้าโต้ตอบคำพูดของข้าเชียวหรือ? นำมันไปตัดคอเดี๋ยวนี้”
ท่านอิมามหาได้สะทกสะท้านต่อประกาศิตปลิดชีพของจอมอำมหิตแต่อย่างใด ท่านกล่าวตอบโต้อย่างหาญกล้าเยี่ยงบรรพบุรุษของท่านว่า “เจ้าจะขู่ปลิดชีวิตข้าหรืออย่างไร โอ้ลูกของมัรญานะฮ์ เจ้าไม่รู้หรือย่างไรว่าการถูกปลิดชีพเป็นสิ่งปกติและการเป็นชะฮีดคือเกียรติยศสูงส่งในสายตาของเรา” เหตุการณ์เริ่มตึงเครียดอย่างหนัก เมื่อท่านหญิงซัยนับในสภาพอิดโรยและเหนื่อยล้าเห็นว่าชายหนุ่มผู้สืบสานเจตนารมณ์ของนบีท่านที่สี่กำลังจะถูกปลิดชีวิตด้วยน้ำมือเหล่าเดรัจฉานกลุ่มนี้ ท่านหญิงได้โผเข้ากอดหลานรักแน่นพร้อมกับหันไปกล่าวแก่อิบนิ ซิยาดว่า “พอซักทีเถิดกับการหลั่งเลือดพวกเรา !” หากเจ้าจะสังหารเขาก็จงปลิดชีพฉันไปด้วย” เมื่อเห็นเช่นนี้อิบนิซิยาดจึงสั่งให้ปล่อยท่านอิมามซัจญาด
เมืองชามสยบราบคาบด้วยปลายลิ้น เมื่อกองคาราวานเชลยแห่งวงศ์วานนบีที่มีศีรษะของท่านอิมามฮุเซนและเครือญาติพร้อมกับบรรดาสหายถูกชูขึ้นบนปลายหอกนำหน้ามุ่งสู่เมืองชาม ท่านอิมามซัจญาดถูกผลักไสให้เดินทางสู่วังของยะซีดในสภาพที่มีมือและเท้าของท่านถูกล่ามโซ่ตรวนผูกกับเครือญาติอีกสิบเอ็ดท่าน เมื่อได้ยินเสียงโซ่ตรวนลากพื้นใกล้เข้ามา ยะซีดกระหยิ่มยิ้มย่องที่สามารถล้างแค้นให้บรรพบุรุษของตนที่ถูกคมดาบซุลฟิกอรปลิดวิญญาณได้สำเร็จ เมื่อท่านอิมามซัจญาดมาถึงเบื้องหน้าของยะซีด ท่านได้กล่าวอย่างกล้าหาญว่า “โอ้ยะซีด เจ้าคิดว่าหากท่านรอซูลเห็นพวกเราในสภาพนี้ ท่านจะมีปฏิกิริยาเช่นใด?” ยะซีดถึงกับอึ้งและไม่สามารถกล่าวสิ่งใดออกไปเพื่อเหยียดหยามท่านอีกต่อไป
ท่านได้กล่าวแก่ประชาชนว่า “ ฉันคือบุตรของมุฮัมมัดมุศตอฟา” “ฉันคือบุตรของอลีมุรตะฏอ” “ฉันคือบุตรของฟาฎิมะฮ์ อัซซะฮ์รอ” “ฉันคือบุตรของผู้ที่ถูกสังหารอย่างอธรรม” “ฉันคือบุตรของผู้ที่ถูกบั่นเศียรหลุดจากบ่า” “ฉันคือบุตรของผู้ที่กระหายน้ำอย่างน่าเวทนากระทั่งสิ้นลมหายใจ” “ฉันคือบุตรของผู้ที่ถูกปล่อยให้ศพถูกแผดเผาท่ามกลางผืนดินกัรบะลา” “ฉันคือบุตรของผู้ที่ถูกปล้นสดมภ์แม้ผ้าโพกศีรษะและผ้าคลุมกาย”
ท่านไม่อาจลืมเลือนเหตุการณ์กัรบะลาได้ตลอดชั่วชีวิตของท่าน มีผู้ถามท่านถึงสาเหตุของการร่ำไห้อย่างระทมทุกข์ของท่านทุกครั้งที่ท่านรำลึกถึงโศกนาฎกรรมดังกล่าว ท่านกล่าวตอบว่า “จะไม่ให้ฉันโศกสลดเช่นนี้ได้อย่างไรเล่า ในเมื่อท่านนบียะอ์กูบร่ำไห้จนสูญเสียการมองเห็นไปเมื่อทราบเพียงว่าบุตรของตนหายไป แต่ฉันเห็นการถูกสังหารของบรรดาเครือญาติของฉันถึงสิบหกคนอย่างอนาถใจด้วยสองตาของฉันเอง”