ตัฟซีรซูเราะฮ์เกาษัร ตอนที่ 2
โองการได้ยืนยันว่าสิ่งนี้เป็นความโปรดปรานและเป็นความดีงามที่มากมายมหาศาล ดังนั้นการขอบคุณที่ยิ่งใหญ่ต่อความโปรดปรานนั้นถือว่าเป็นสิ่งที่จำเป็น แม้ว่าสรรพสิ่งถูกสร้างจะไม่มีวันทำการขอบคุณพระผู้สร้างได้อย่างสมศักดิ์ศรีก็ตาม แต่ทว่าความสำเร็จในการทำการขอบคุณก็เป็นความโปรดปรานอีกประเภทหนึ่งจากพระองค์ ฉะนั้นพระองค์จึงตรัสว่า
فَصَلِّ لِرَبِّكَ وَانْحَرْ
ดังนั้นเจ้าจงนมาซเพื่อพระผู้อภิบาลของเจ้าและจงเชือดสัตว์พลี
แน่นอนพระองค์คือผู้ทรงประทานความโปรดปรานทั้งหลาย ด้วยเหตุนี้นมาซและการกุรบานซึ่งถือว่าเป็นอิบาดะฮฺประเภทหนึ่งจึงต้องทำเพื่อพระองค์ หากได้ทำเพื่อสิ่งอื่นแล้วจะไม่มีคุณค่าและความใดๆ ทั้งสิ้น
การทำเช่นนี้เพื่อเป็นการแสดงให้เห็นความแตกต่างระหว่างมุสลิม กับบรรดาผู้ปฏิเสธทั้งหลายที่ทำการเคารพบูชารูปปั้นต่างๆและทำการเชือดพลีโดยยึดถือว่าสิ่งนั้นเป็นเทพเจ้าของตนขณะที่พวกเขาทราบดีว่าความโปรดปรานที่พวกเขาได้รับอยู่ในขณะนั้นมาจากพระผู้อภิบาลผู้ทรงสูงส่ง
إِنَّ شَانِئَكَ هُوَ الْأَبْتَرُ
แท้จริงศัตรูของเจ้าคือผู้ถูกตัดขาด
โองการสุดท้ายของซูเราะฮ์นี้ได้ประกาศอย่างชัดเจนแก่บรรดาผู้นำพวกปฏิเสธทั้งหลายที่พวกเขาได้เย้ยหยันท่านศาสดา(ศ็อลฯ) และสบประมาทว่าเป็นอับตัร ว่าพวกเจ้าพึงสังวรไว้เถิดว่าพวกที่เป็นอับตัรฺนั้นไม่ใช่ท่านศาสดาแต่เป็นพวกเจ้า อัล-กุรอานกล่าวว่า แท้จริงศัตรูของเจ้าคือผู้ถูกตัดขาด
คำว่า ชานิอะกะ ได้อธิบายถึงสภาพความจริงประการหนึ่งกล่าวคือ พวกเขาได้ประกาศการเป็นศัตรูกับท่านศาสดา (ศ็อลฯ)แม้แต่มารยาทเพียงเล็กน้อยพวกเขาก็ไม่มี การเป็นศัตรูและความอคติได้ฝังแน่นอยู่ในใจ ประกอบกับพวกเขาเป็นพวกที่มีหัวใจแข็งกระด้างและชอบก้าวร้าวเป็นที่สุด
ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์กับเกาษัร
กล่าวไปแล้วว่า เกาษัร นั้นมีความหมายที่กว้างซึ่งสิ่งนั้นเป็นความดีงามที่มากมาย แต่นักปราชญ์ของชีอะฮ์ส่วนมาก กล่าวว่าหนึ่งในตัวอย่างที่ชัดเจนของเกาษัรฺคือ การมีอยู่ของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (อ.) เนื่องจากว่าสาเหตุของการประทานซูเราะฮ์นี้ (อัสบาบุลนุซูล) กล่าวว่า พวกเขาได้เย้ยหยันท่านศาสดาว่าเป็นผู้ที่สายตระกูลถูกตัดขาด ซึ่งอัลกุรอานได้ปฏิเสธคำพูดของพวกเขาพร้อมกับปลอบประโลมท่านศาสดาว่า ฉันจะมอบเกาษัร (ความดีงามที่มากมาย) แก่เจ้า และจากพระดำรัสที่พระองค์ตรัสว่า ฉันจะมอบเกาษัรแก่เจ้านั้น สามารถพิสูจน์ได้ว่าความดีงามที่มากมายนั้นหมายถึง ท่านหญิงฟาฏิมะฮ (อ.) นั่นเอง เนื่องจากว่าทายาทและสายตระกูลของท่านศาสดา (ศ็อลฯ) ได้สืบทอดผ่านมาทางท่านหญิงฟาฏิมะฮ์และขจรขจายทั่วทุกมุมโลกอยู่ในขณะนี้ ซึ่งสายตระกูลนั้นไม่ใช่ทายาทของท่านศาสดา (ศ็อลฯ) ที่เป็นเพียงตัวบุคคล หรือการปกปักษ์รักษาแนวทาง อุดมการณ์และคำสอนที่ท่านศาสดาได้สอนสั่งเอาไว้และเผยแพร่ต่อยังบุคคลอื่น และไม่ใช่ทั้งบรรดาอิมามมะฮ์ซูมที่มีความพิเศษเฉพาะตัวเท่านั้น
ท่านฟัครุรรอซีย์ เจ้าของตัฟซีร อัลกะบีร ขณะที่ได้อธิบายความหมายของเกาษัรในมุมมองต่างๆแล้ว ท่านได้กล่าวอธิบายในอีกมิติหนึ่งว่า ซูเราะฮ์ดังกล่าวเป็นการปฏิเสธคำพูดและความคิดของบรรดามุชริกีนที่ดูถูกว่าท่านศาสดา (ศ็อลฯ) เป็นผู้ที่สายตระกูลถูกตัดขาด ด้วยเหตุนี้ ความหมายของซูเราะฮ์คือ พระองค์อัลลอฮ์ (ซบ.) จะประทานบุตรหลานและทายาทแก่ท่านศาสดา พวกเขาจะมีชีวิตอยู่ในทุกยุคสมัย โปรดพิจารณาดูว่าบรรดาอะห์ลุลบัยต์ของท่านศาสดาถูกทำชะฮีดไปเป็นจำนวนมาก แต่กระนั้นโลกก็ยังเต็มไปด้วยลูกหลานของท่านศาสดา (ศ็อลฯ) ขณะที่สายตระกูลของบนีอุมัยยะฮ์ (ซึ่งเป็นศัตรูตัวฉกาจของอิสลาม) ไม่มีบุคคลที่มีชื่อเสียงหลงเหลืออยู่เลยและในหมู่บรรดาทายาทของท่านศาสดา (ศ็อลฯ) ยังมีผู้รู้และนักปราชญ์ที่มีชื่อเสียงเฉกเช่น ท่านบากิร ท่านซอดิก ท่านริฎอ และท่านมะฮ์ดี
และยังมีอุละมาอ์นักปราชญ์อีกเป็นพันๆ คนที่เป็นลูกหลานของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ที่อาศัยอยู่ทั่วโลกในขณะนี้ ในหมู่ของพวกเขามีทั้งนักปราชญ์ นักเขียน นักนิติศาสตร์ นักฮะดีษ นักตัฟซีรและอื่นๆ อีกมากมายซึ่งพวกเขาได้เสียสละชีวิตและทรัพย์สินทำการปกป้องอิสลามอยู่ในขณะนี้
ขอขอบคุณเว็บไซต์ทีวีชีอะฮ์