จากสิ่งสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ อัซซะฮ์รอเป็นที่โดดเด่น ก็คือวจนะที่เป็นที่รู้จักกันดีซึ่งท่านศาสนทูตผู้ทรงเกียรติได้กล่าวถึงท่านหญิงไว้ว่า “เธอนั้นคือนายหญิงของบรรดาสตรีแห่งสรวงสวรรค์”
(1) ศอฮีฮฺ อัลบุคอรีย์ ชัรฮุ อัลกัรมานีย์ี เล่มที่ 15 หน้า 4, อะมาลี ของเชคศอดูก หน้า 187 , บิฮารุ อัลอันวาร เล่มที่ 21 บาบที่ 27 หน้า 142 ริวายะฮ์บทที่ 5, มุสนัด อัลอิมาม อะห์มัด เล่มที่ 3 หน้า 498 และเล่มที่ 6 หน้า 542
และได้กล่าวไว้อีกว่า “เธอคือนายหญิงของบรรดาสตรีแห่งสากลโลก”
(2) มุสนัด อะบีดาวูด หน้า 196 ฮะดีษที่ 1373, มุสตัดร่อก อัลฮากิม เล่มที่ 3 หน้า 156, อะวาลิม อัซซะฮ์รอ หน้า 88
และได้กล่าวไว้อีกว่า “เธอคือนายหญิงของบรรดาสตรีผู้ศรัทธา”
(3) ศอฮีฮฺ มุสลิม เล่มที่ 4 หน้า 1905, ฟะฎออิล อัลคอมซะฮ์ เล่มที่ 3 หน้า 137-146
และในวจนะอีกบทหนึ่งกล่าวว่า “เธอคือนายหญิงของบรรดาสตรีแห่งประชาชาตินี้”(4)
ซึ่งวจนะต่างๆเหล่านี้เป็นวจนะที่ถูกรายงานไว้ทั้งในสายซุนนีและชีอะฮ์
ในศอฮีฮฺอัลบุคอรีย์ ได้บันทึกรายงานหนึ่งจากท่านหญิงอาอิชะฮ์ว่าฟาฏิมะฮ์ได้ย่างก้าวเข้ามาด้วยการย่างก้าวที่ประดุจดั่งการย่างก้าวของท่านศานทูตแห่งอัลลอฮ์ครั้นนั้นท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ก็ได้กล่าวต้อนรับนางว่า
“ขอต้อนรับบุตรีของฉัน”แล้วท่านก็นำนางไปนั่งที่ข้างขวาของท่านและบอกความลับเรื่องหนึ่งกับนางจนนางร้องไห้และฉันได้ถามนางเกี่ยวกับการร้องไห้นั้นหลังจากนั้นท่านศาสนทูตก็ได้บอกความลับกับนางอีกแล้วนางก็หัวเราะเมื่อเห็นเช่นนั้นจึงกล่าวว่าฉันไม่เคยเห็นความสุขใดที่ใกล้เคียงกับความโศกเศร้าเช่นในวันนี้ดังนั้นฉันจึงถามนางเกี่ยวกับสิ่งนั้นอีก นางก็ตอบว่า “ฉันไม่เคยที่จะเปิดเผยความลับของท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์”จนกระทั่งท่านศาสดาเสียชีวิตฉันก็ได้ถามนางเกี่ยวกับสิ่งที่ท่านกล่าวไว้นางก็ได้ตอบว่า ท่านศาสนทูตกล่าวว่า“ญับรออีลเคยนำกุรอานมาให้ฉันหนึ่งครั้งในทุก ๆ ปี แต่ในปีนี้ได้นำมาให้ฉันถึงสองครั้งแล้วฉันก็ไม่ได้พบท่านอีกเว้นเสียแต่ว่าเวลาของฉันได้มาถึงแล้วและเธอคือคนแรกจากอะห์ลุลบัยต์ที่จะตามฉันมา”
ด้วยเหตุนี้ฉันจึงร้องไห้แล้วท่านศาสนทูตก็กล่าวว่า “เธอไม่พอใจดอกหรือที่เธอจะได้เป็นนายหญิงของบรรดาสตรีแห่งสรวงสวรรค์และนายหญิงของบรรดาสตรีผู้ศรัทธา”ด้วยเหตุนี้ฉันจึงหัวเราะ
(5) (ศอฮีฮฺ อัลบุคอรีย์ บาบอะลามาต อัินนุบูวะฮ์ เล่มที่ 4 หน้า 247, ศอฮีฮฺ มุสลิม เล่มที่ 4 หน้า 1905, กัชฟุ อัลฆุมมะฮ์ เล่มที่ 1 หน้า 453)
มีริวายะฮ์อีกบทหนึ่งปรากฏอยู่ในหนังสือฮิลยะตุ อัลเอาลิยาอิ ของ อะบูนะอีม ซึ่งมีบันทึกไว้ว่า ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ได้กล่าวกับท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ว่า “โอ้ลูกน้อย เธอไม่พอใจดอกหรือที่เธอได้เป็นนายหญิงของบรรดาสตรีแห่งสากลโลก” ท่านหญิงก็ถามว่า “โอ้พ่อจ๋า แล้วมัรยัมบุตรีของอิมรอนไปอยู่ไหนเสียเล่า” ท่านศาสนทูตก็ตอบว่า “ท่านเป็นนายหญิงของบรรดาสตรีในโลกของท่าน (ในสมัยของท่าน-ผู้แปล-) และเธอก็เป็นนายหญิงของบรรดาสตรีในโลกของเธอ และฉันขอสาบานด้วยกับอัลลอฮ์ว่า ฉันได้สมรสเธอกับผู้ที่เป็นนายทั้งในโลกนี้และโลกหน้า”
(6) ฮิลยะตุ อัลเอาลิยาอิ เล่มที่ 2 หน้า 42, อะวาลิม อัซซะฮ์รออ์ หน้า 98
และริวายะฮ์บทนี้ถึงแม้จะไม่ครอบคลุมวงกว้างเหมือนกับริวายะฮ์บทอื่น ๆ แต่ทั้งนี้ก็ไม่ได้มีความขัดแย้งใดๆในความหมายของมัน เพราะอย่างไรก็ตามท่านหญิงก็คือนายหญิงของบรรดาสตรีในโลกของท่านหญิงและในสากลโลก และเป็นนายหญิงของบรรดาสตรีผู้ศรัทธา และนายหญิงของบรรดาสตรีแห่งสรวงสวรรค์
การพิจารณาอย่างถี่ถ้วนในการมอบตำแหน่ง
และในที่นี้มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องหยุดคิดสักครู่กับปัญหาข้อหนึ่งคือตำแหน่งการเป็นผู้นำหรือนายหญิงนั้นเป็นเพียงฉายานามที่ท่านศาสนทูตมอบให้กับท่านหญิงฟาฏิมะฮ์เพียงเพื่อเป็นการเทิดเกียรติท่านหญิงหรือไม่ (โดยที่ตำแหน่งนั้นไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง)
คำตอบของเราก็คือ แน่นอนอย่างยิ่งท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ย่อมห่างไกลจากข้อสงสัยนี้ เพราะว่าท่านจะไม่มอบตำแหน่งให้ผู้ใดโดยปราศจากการไตร่ตรอง แต่ท่านจะมอบให้ก็ต่อเมื่อท่านได้พิจารณาถึงคนคนนั้นเสียก่อน ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นญาติสนิทของท่านเองก็ตาม โดยที่ท่านจะพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วนเพื่อความเหมาะสมตามความเป็นจริงในสิ่งที่ท่านกล่าวถึงคนคนนั้น แต่ถ้าหากว่าตำแหน่งนั้นไม่ได้มาจากคุณสมบัติที่มีอยู่ในตัวของบุคคลซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้คนคนนั้นมีความเหมาะสมกับตำแหน่งนั้นแล้วไซร้ ตำแหน่งนั้นก็จะไม่ใช่สิ่งใด แต่จะเป็นเพียงเป็นถ้อยคำที่ท่านกล่าวออกไปด้วยอารมณ์ส่วนตัวเท่านั้น
แต่อัลลอฮ์ผู้ทรงสูงส่งได้ตรัสถึงศาสนทูตของพระองค์ไว้ว่า
“และเขาจะไม่กล่าวสิ่งใดออกมาจากอารมณ์ เว้นเสียแต่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นวิวรณ์ที่ถูกดล”
(อัน-นัจมุ โองการที่ 4)
ดังนั้นในการที่ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์เป็นนายหญิงของบรรดาสตรีแห่งสรวงสวรรค์นั้นก็หมายความว่า สติปัญญา จิตใจ และความประเสริฐต่างๆ ของบรรดาสตรีแห่งสรวงสวรรค์ได้รวมเข้ามาอยู่ในตัวของท่านหญิงทั้งหมด และไม่เพียงเท่านั้น แต่ท่านหญิงยังเหนือกว่าพวกนางอีกด้วย
และในการที่ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์เป็นนายหญิงของบรรดาสตรีแห่งสากลโลก และบรรดาสตรีผู้ศรัทธานั้นก็หมายความว่า ทุก ๆ ความประเสริฐและคุณลักษณะของศรัทธา และความดีงามทั้งหมดของบรรดาสตรีผู้ศรัทธาได้รวมอยู่ในตัวของท่านหญิง ถ้าไม่เช่นนั้นแล้วล่ะก็ จะเป็นไปได้อย่างไรที่ท่านหญิงจะเป็นนายหญิงของคนกลุ่มหนึ่งที่ท่านไม่ได้ประเสริฐไปกว่าพวกเขา และไม่ได้มีความโดดเด่นใด ๆ ที่จะทำให้ท่านหญิงเป็นนายเหนือพวกเขา
ด้วยเหตุนี้ ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ผู้ซึ่งคำพูดของท่านนั้นคืออิสลามผู้ซึ่งเคลื่อนไหวและถอดแบบอย่างของอิสลาม และชีพจรของท่านนั้นก็ดำเนินไปด้วยอิสลามผู้ซึ่งในตัวตนของท่านนั้นไม่มีแม้แต่ความรู้สึกส่วนตัวซึ่งความหมายของอิสลามนั้นเลือนหายไปในห้วงลึกของมันทั้งนี้ก็เพราะว่าท่านคือรัศมี คืออิสลาม และเป็นกุรอานที่มีชีวิตดังนั้น ในขณะที่ท่านมอบคุณลักษณะเหล่านี้ให้กับท่านหญิงฟาฏิมะฮ์จึงจำเป็นที่ท่านจะต้องพิจารณาถึงความรู้ของท่านหญิงที่จะต้องเหนือกว่าบรรดาสตรีทั้งหมดในสากลโลกและความบริสุทธิ์ของท่านหญิงที่จะต้องเหนือกว่าพวกนางและในด้านจิตวิญญาณอีกทั้งคุณค่าในความเป็นมนุษย์ที่ท่านหญิงจะต้องเหนือกว่าบรรดาสตรีทั้งมวล
ขอขอบคุณเว็บไซต์อัชชีอะฮ์