การดำรงตนอยู่ในความบริสุทธิ์ (อิฟฟะฮ์) ในอิสลาม
ส่วนหนึ่งจากคุณงามความดีแห่งความเป็นมนุษย์และคุณค่าอันสูงส่งแบบอิสลามซึ่งจะเป็นบ่อเกิดของคุณงามความดีอื่น ๆ อีกทั้งจะก่อให้เกิดผลพวงที่สุกใสทางด้านจิตวิญญาณอย่างมากมายติดตามมา นั่นก็คือ คุณลักษณะของการธำรงตนอยู่ในความบริสุทธิ์ (หรือที่เรียกว่า “อิฟฟะฮ์”)
ซึ่งสามารถนับได้ว่ามันคือหนึ่งจากบรรดารากฐานของจริยธรรม (อัคลาก) และเป็นคุณลักษณะหนึ่งที่เป็นเหมือนกุญแจสำคัญที่จะช่วยขจัดคุณลักษณะที่ไม่ ดีงาม (ร่อซาอิล) อื่น ๆ ออกไปจากมนุษย์ และจะเป็นตัวขับเคลื่อนมนุษย์เราไปสู่พัฒนาการ ไปสู่ฐานันดร (ดะรอญะฮ์) และความสมบูรณ์
(กะมาลาต) อันสูงส่งทั้งหลาย
ในคัมภีร์อัลกุรอานและในคำรายงาน (ริวายะฮ์) ต่าง ๆ ได้ให้การยกย่องสรรเสริญคุณลักษณะประการนี้ไว้อย่างมากมาย และในแนวทางการปฏิบัติหรือในจริยะวัตรของบรรดาผู้นำผู้บริสุทธิ์(อ.)เองก็ ประดับประดาไปด้วยคุณลักษณะประการนี้ ด้วยกับคำกล่าวนำนี้แล้ว เราจะขอนำเสนอเนื้อหาต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ :
ความหมายของคำว่า “อิฟฟะฮ์” (การธำรงตนอยู่ในความบริสุทธิ์)
คำ ว่า “อิฟฟะฮ์” ในรากเดิมในทางภาษานั้น หมายถึง การประคับประคองตน การดูแลตนเอง การควบคุมจิตใจของตนเอง และจุดที่ตรงข้าม ก็คือ การบูชาอารมณ์ใคร่และบูชากระเพาะ
ท่าน : “รอฆิบ อัล-อิซฟะฮานี” ได้กล่าวไว้ในหนังสือ “อัล-มุฟร่อดาต” ของตนว่า :
العفة حصول حالة للنفس تمتنع بها عن غلبة الشهوة
"คำว่า “อิฟฟะฮ์” นั้นหมายถึง การปรากฏขึ้นของสภาพหนึ่งภายในจิตใจ ซึ่งสภาพดังกล่าวจะช่วยยับยั้งจากการครอบงำของอารมณ์ใคร่”[1]
"ในหนังสือพจนานุกรม"อัตตะห์กีก"ได้ กล่าวว่า : ความแตกต่างระหว่างคำว่า “อิฟฟะฮ์” และคำว่า “ตักวา” นั้นก็คือ “อิฟฟะฮ์” หมายถึงการรักษาจิตใจ (นัฟซ์) ให้สะอาดบริสุทธิ์จากอารมณ์ใคร่และตัณหาต่าง ๆ ส่วนคำว่า “ตักวา” หมายถึง การควบคุมจิตใจจากการกระทำความชั่วและความผิดบาปต่าง ๆ ดังนั้น คำว่า “อิฟฟะฮ์” คือ สภาพ(การควบคุม)ด้านใน ส่วนคำว่า “ตักวา” คือ สภาพการควบคุมพฤติกรรมต่าง ๆ ทางภายนอก [2]
ท่าน “อัฏฏ่อรีฮี” ได้ขึยนไว้ในหนังสือ "มัจญ์มะอุลบะห์ร็อยน์" ว่า
العفافُ كَفُّ النفس عن المحرّمات، و عَنْ سؤال النّاس
“อะฟาฟ” นั้น หมายถึงการยับยั้งจิตใจ (นัฟซ์) จากสิ่งต้องห้ามทั้งหลาย และ(ในทำนองเดียวกัน คือ การยับยั้งตน) จาก (การยื่นมือ) ขอเพื่อนมนุษย์”[3]
ในคำรายงาน (ริวายะฮ์) ทั้งหลายก็จะสื่อถึงความหมายนี้เช่นเดียวกัน ด้วยเหตุนี้เอง คำว่า “อิฟฟะฮ์” จึงถือว่าเป็นคำที่มีความหมายครอบคลุมโดยรวมคำหนึ่ง แต่ส่วนใหญ่แล้วมักจะถูกใช้ในเรื่องที่เกี่ยวกับการควบคุมตนเองในสองประเด็น คือ :
1)-การควบคุมตนเอง และความพอเพียงในเรื่องต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับวัตถุและทรัพย์สินเงินทอง และ 2)-การควบคุมอารมณ์ธรรมชาติ (ฆอรีซะฮ์) ทางด้านเพศสัมพันธ์ โดยที่ประการแรกนั้นจะเป็นสื่อในการพิทักษ์ปกป้องศักดิ์ศรีและเกียรติของคน เรา และ ประการที่สองนั้นก่อให้เกิดความละอายใจและความรักในเกียรติศักดิ์ศรีที่จะ เผยกายและจิตใจ และความเบี่ยงเบนต่าง ๆ ทางด้านเพศสัมพันธ์ แน่นอนยิ่งว่าทั้งสองประเด็นนี้ในสำนวนของคำรายงาน (ริวายะฮ์)ต่าง ๆ เรียกว่า “การรักษาตนให้อยู่ในความสะอาดบริสุทธิ์ทั้งทางด้านปากท้องและด้านเพศสัมพันธ์”
ตัวอย่างเช่นท่านศาสดามุฮัมมัด(ซ็อลฯ)ได้กล่าวว่า :
أَكْثَرُ مَا تَلِجُ بِهِ أُمَّتِى النَّارَ الْأَجْوَفَانِ الْبَطْنُ وَ الْفَرْجُ
"ส่วนมากของสิ่งที่จะทำให้ประชาชาติของฉันเข้าสู่ไฟนรกนั้น คือสองสิ่งที่อยู่ด้านใน(ร่างกายของมนุษย์)อันได้แก่ : ท้อง(เรื่องของการกินและการดื่ม) และอวัยวะเพศ(การปล่อยกายปล่อยใจไปตามอารมณ์ใคร่)”[4]
คำว่า “อิฟฟะฮ์” ในคำภีร์อัลกุรอานส่วนมากแล้วจะถูกใช้ในกรณี(ความหมาย)ทั้งสองนี้ ตัวอย่างเช่น ในที่หนึ่ง อัลลอฮฺ (ซบ.)ได้ทรงตรัสว่า :
وَلْيَسْتَعْفِفِ الَّذِينَ لَا يَجِدُونَ نِكَاحاً حَتَّى يُغْنِيَهُمُ اللَّهُ مِن فَضْلِهِ
“และ บรรดาผู้ที่ไม่พบ(ปัจจัยและโอกาสอำนวยต่าง ๆ ใน)การสมรสนั้น จงสงวนตัวให้สะอาดบริสุทธิ์(จากการละเมิดความผิดทางเพศ)จนกว่าอัลลอฮฺจะทรง ทำให้พวกเขาพอเพียง อันเกิดจากความโปรดปราณของพระองค์”[5]
และในอีกที่หนึ่งพระองค์ทรงตรัสว่า :
لِلْفُقَرَاء الَّذِينَ أُحصِرُواْ فِي سَبِيلِ اللّهِ لاَ يَسْتَطِيعُونَ ضَرْبًا فِي الأَرْضِ يَحْسَبُهُمُ الْجَاهِلُ أَغْنِيَاء مِنَ التَّعَفُّفِ تَعْرِفُهُم بِسِيمَاهُمْ لاَ يَسْأَلُونَ النَّاسَ إِلْحَافًا
“(การบ ริจาค(อินฟาก)นั้น)เป็นสิทธิ์ของบรรดาผู้ยากจนที่ถูกจำกัดตัวเองในหนทางของ อัลลอฮฺที่ไม่สามารถท่องไปในหน้าแผ่นดินได้ ผู้โง่เขลานั้นคิดว่าพวกเขาเป็นคนร่ำรวย (ทั้ง ๆที่พวกเขายากจน แต่)เนื่องจากการรักษาตนอยู่บนความบริสุทธิ์ (ของพวกเขา) เจ้าจะรู้จักพวกเขาได้ด้วยเครื่องหมายของพวกเขา คือ พวกเขาจะไม่พิรี้พิไรขอ (ความช่วยเหลือ) จากมนุษย์”[6]
เกี่ยวกับคุณงามความดีและความประเสริฐของมนุษย์ผู้ที่ระวังรักษาตนให้อยู่ใน ความสะอาดบริสุทธิ์(อัลอะฟีฟ)นั้น ถือเป็นความเพียงพอแล้ว ที่ท่านอะมีรุลมุอ์มุนีน (อ.)ได้กล่าวว่า :
مَا الْمُجَاهِدُ الشَّهِيدُ فِي سَبِيلِ اللَّهِ بِأَعْظَمَ أَجْراً مِمَّنْ قَدَرَ فَعَفَّ لَكَادَ الْعَفِيفُ أَنْ يَكُونَ مَلَكاً مِنَ الْمَلَائِكَةِ
"(รางวัลของ) ผู้ที่ต่อสู้ที่เป็นชะฮีดลงในหนทางของอัลลอฮฺนั้นไม่ยิ่งใหญ่ เท่ารางวัลของผู้ที่มีความสามารถดังนั้นเขาจึงได้ดำรงตนอยู่ในความบริสุทธิ์ แน่นอนยิ่งคนที่ดำรงตนอยู่ในความบริสุทธิ์ (อะฟีฟ) นั้นเกือบจะเป็นหนึ่งจาก ปวงมะลาอิกะฮ์ (ทูตสวรรค์)”[7]
บางตัวอย่างของการดำรงตนอยู่ในความบริสุทธิ์ของบรรดาอิมาม (อ.)
1—เกี่ยวกับท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺ (ซ็อลฯ)นั้น พวกเขาได้กล่าวว่า : ท่าน เป็นผู้ที่ดำรงตนอยู่ในความบริสุทธิ์มากที่สุดในหมู่มนุษย์ทั้งหลาย ในทุก ๆ ด้านท่านจะท่านจะบริหารจัดการกิจการต่าง ๆ ด้วยความระมัดระวังตนเองอย่างน่าพิศวง ในสงครามอุฮุดนั้น ฟันหน้าของท่านได้หักหลายซี่ และใบหน้าของท่านได้ถูกทำให้แตกเป็นแผลโดยฝ่ายศัตรู บางคนขอให้ท่านสาปแช่งศัตรู ท่านศาสนทูต(ซ็อลฯ)ได้กล่าวด้วยความระมัดระวังตนในความบริสุทธิ์ว่า : “ฉัน ไม่ได้ถูกแต่งตั้งมาเพื่อด่าประณามผู้ใด แต่ฉันได้ถูกส่งมา ในฐานะเป็นผู้เชิญชวน และเป็นความเมตตาสำหรับมนุษยชาติ ต่อจากนั้น แทนการสาปแช่งท่านได้วิงวอนขอ (ดุอาอฺ) ช่นนี้ว่า :
اللهم اهد قومي فإنهم لا يعلمون
“ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ได้โปรดนำทางกลุ่มชนของข้าพระองค์ด้วยเถิด เพราะแท้จริงพวกเขาไม่รู้”
วันหนึ่ง ชาวมุสลิมจากมะดีนะฮ์กลุ่มหนึ่งได้มาพบท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺ(ซ็อลฯ)และกล่าวกับท่านว่า : “ได้ โปรดให้การค้ำประกันสรวงสวรรค์จากพระผู้เป็นเจ้าแก่พวกเราด้วยเถิด” ท่านศาสนทูต (ซ็อลฯ) ภายหลังจากนิ่งเงียบอยู่ชั่วครู่หนึ่ง ท่านกล่าวว่า : “ฉันจะให้การค้ำประกันดังกล่าวแก่พวกท่าน แต่ด้วยกับเงื่อนไขข้อหนึ่ง” พวกเขาถามว่า : “เงื่อนไขที่ว่านั้น คืออะไร?” ท่านกล่าวว่า :
اَنْ لاتسْئلوا احدا شَیْئا
"พวกท่านจะต้องไม่ขอสิ่งใดจากผู้ใด”
พวก เขาได้ให้คำมั่นสัญญาว่าในชีวิตพวกเขาจะไม่ร้องขอต่อผู้ใด ท่านศาสนฑูตนั้นแม้จะนั่งอยู่ในวงสำรับอาหารและถ้าหากมือเอื้อมไม่ถึงน้ำ ท่านก็จะไม่กล่าวกับผู้ใดว่า เอาน้ำให้ฉันหน่อย แต่ท่านจะลุกขึ้นและไปหยิบภาชนะน้ำด้วยตัวเองและดื่มมัน แน่นอนยิ่งว่าท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺ (ซ็อลฯ) นั้นดำเนินชีวิตเช่นนี้ และท่านก็ได้สั่งเสียบรรดาสาวกของท่านให้ดำรงชีวิตเช่นนี้[8]
2—ในกรณีที่เกี่ยวกับความรักในเกียรติศักดิ์ศรี ความรักนวลสงวนตัวและการธำรงตนอยู่ในความบริสุทธิ์ภายในครอบครัวของท่านศาสน ทูตแห่งอัลลอฮฺ(ซ็อลฯ)ก็เช่นเดียวกัน มีเรื่องเล่าอยู่มากมาย ตัวอย่างเช่น ท่านหญิงอุมมุซะลามะฮ์-ภรรยาคนหนึ่งของท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺ (ซ็อลฯ) ได้ เล่าว่า : ฉันได้อยู่กับท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺ (ซ็อลฯ) ภรรยาอีกคนหนึ่งของท่านซึ่งมีนามว่า“มัยมูนะฮ์”ก็อยู่ร่วมที่นั่นด้วย ในช่วงเวลานี้เองที่ อิบนุอุมมิ-มัคตูมซึ่งเป็นชายตาบอดได้มายังที่แห่งนั้น ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺ (ซ็อลฯ)ได้กล่าวกับพวกเราว่า : "พวกเธอจงแต่งกายคลุมฮิญาบให้เรียบร้อยเมื่ออยู่ต่อหน้าอิบนุอุมมิ-มัคตูม” พวกเราได้ถามว่า : แต่เขาเป็นคนตาบอดไม่ใช่หรือ? ดังนั้นการแต่งกายคลุมฮิญาบของพวกเรา จะมีความหมายอะไร?”
ท่านศาสนทูต (ซ็อลฯ) กล่าวว่า : "แล้วพวกเธอตาบอดด้วยอย่างนั้นหรือ? พวกเธอมองไม่เห็นเขากระนั้นหรือ?”[9]
3— ในเรื่องราวของสงครามซึ่งเกิดขึ้นในปี ฮ.ศ. ที่ 36 เมื่อกองทัพของท่านอิมามอะลี (อ.)ได้รับชัยชนะเหนือฝ่ายศัตรู ท่านหญิงอาอิชะฮ์ได้อยู่ในเฮาดัจญ์ (ที่นั่งบนหลังอูฐ) ท่านอิมามอะลี (อ.) ได้เดินมาพบนาง พร้อมกับกล่าวขึ้นว่า : “..... ขอสาบานต่ออัลลอฮฺ บรรดาผู้ที่ปกป้องรักษาสตรีของตนเองให้อยู่เบื้องหลังม่านปกปิดแห่งความ บริสุทธิ์ แต่ในขณะเดียวกันพวกเขากลับนำพาท่านออกมาจากบ้าน พวกเขาได้ปฏิบัติต่อท่านอย่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย” ต่อจากนั้นท่านอิมามอะลี (อ.) ไม่ปล่อยให้ชายแปลกหน้าคนใดเดินมาข้างหน้า แต่ ท่านได้ออกคำสั่งแก่มุฮัมมัด บินอบีบักร-น้องชายของท่านหญิงอาอิชะฮ์-ให้นำตัวนางออกมาจากเฮาดัจญ์ (ที่นัง บนหลังอูฐ) แล้วนำพานางไปพักอาศัยอยู่ในบ้านของซ่อฟียะฮ์ บุตรสาวของฮาริษ[10]
แล้วต่อจากนั้นท่านได้ส่งนางกลับสู่นครมะดีนะฮ์ด้วยการรักษาเกียรติศักดิ์ศรีและความบริสุทธิ์ให้นางอย่างสมบูรณ์
4—สานุสิทธิ์คนหนึ่งของท่านอิมามบากิร (อ.) ซึ่งมีนามว่าอบูบะซีรได้กล่าวว่า ในเมืองกูฟะฮ์ฉันได้สอนการอ่านโองการต่าง ๆ ของคัมภีร์อัลกุรอานให้แก่สตรีคนหนึ่ง ในวันหนึ่งฉันได้พูดจาหยอกล้อนางในเรื่องหนึ่ง(ซึ่งขัดต่อความรักนวลสงวนตัว ของนาง) ภายหลังจากเหตุการณ์นี้ได้ผ่านไปอย่างเนิ่นนาน ในนครมะดีนะฮ์ฉันได้ไปพบท่านอิมามบากิร (อ.) ท่านอิมาม (อ.) ได้กล่าวกับฉันว่า : “คน ที่ทำบาปในที่ลับตาคนนั้น พระผู้เป็นเจ้าจะละสายตาแห่งความเมตตาของพระองค์ไปจากเขา เจ้าได้พูดเช่นนี้กับสตรีผู้นั้นไปได้อย่างไร?” ฉันรู้สึกอับอายและเกิดความละอายใจอย่างรุนแรง และได้สำนึกผิดพร้อมกับทำการสารภาพผิด(เตาบะฮ์)ต่อพระผู้เป็นเจ้า ท่านอิมามบากิร(อ.)ได้กล่าวต่อว่า : "เจ้าจงระวังตนอย่าได้ทำเช่นนี้อีก (และอย่าได้พูดจาเย้าหยอกต่อสตรีคนใดอีก)[11]
5— ท่านอิมามซอดิก (อ.) มีสหายรักคนหนึ่งซึ่งมักจะอยู่ด้วยกันอยู่เสมอ วันหนึ่งสหายคนนี้ได้ปฏิบัติต่อคนใช้(ผู้ชาย)ของตนอย่างรุนแรง และได้ทำลายเกียรติแห่งความบริสุทธิ์ของเขาด้วยคำพูดที่หยาบคายอย่างยิ่ง โดยเขากล่าวว่า : “โอ้ ลูกซินา (ลูกที่เกิดจากการละเมิดประเวณีของแม่) เจ้าไปอยู่ที่ไหนมา?” เมื่อท่านอิมามได้ยินคำพูดที่ขัดต่อความดีงาม (อิฟฟะฮ์) ของเขา,ท่านไม่พอใจอย่างมาก ถึงกับยกมือของตนเองขึ้นและตบไปที่หน้าผากของตัวเองอย่างแรง พร้อมกับกล่าวว่า : “ซุบ ฮานัลลอฮ์ (มหาบริสุทธิ์ยิ่งแด่อัลลอฮฺ) เจ้ากำลังกล่าวหาว่ามารดาของคนรับใช้ผู้นี้เป็นหญิงชั่วกระนั้นหรือ? ฉันเคยคิดว่าเจ้าเป็นคนมีตักวา (ความยำเกรงต่อพระผู้เป็นเจ้า) แต่บัดนี้ฉันได้เห็นแล้วว่า เจ้าไม่ใช่คนมีตักวา”
สหายของท่านอิมาม (อ.) ได้กล่าวว่า : ข้าพเจ้าขอพลีเพื่อท่าน! แม่ ของเด็กหนุ่มคนนี้เป็นชาวซินด์ (เมืองหนึ่งในประเทศอินเดีย)และเป็นผู้เคารพ บูชารูปเจว็ด(ฉะนั้นการพูดจาด่าประณามแบบนี้ต่อเขาคงไม่เป็นอะไร) ท่านอิมามซอดิก (อ.)ได้กล่าวว่า : "เจ้าไม่รู้หรอกหรือว่า แต่ละประชาชาตินั้นในระหว่างพวกเขาจะมีข้อบัญญัติเกี่ยวกับการสมรสอยู่? เจ้าจงออกไปให้ไกลจากฉัน!"
จากนั้นเป็นต้นมา ระหว่างเพื่อนคนนั้นและอิมามซอดิก (อ.) ก็ได้แยกทางกัน และการแยกทางกันครั้งนี้ได้ดำเนินไปจวบจนกระทั่งบั้นปลายชีวิต[12]
เรื่อง ราวดังกล่าวนี้ก็เช่นเดียวกัน ได้เรียกร้องพวกเราไปสู่การรักษาความบริสุทธิ์และความระมัดระวังตน(อิฟฟะฮ์) ในคำพูดและการควบคุมตนเองจากการพูดจาที่หยาบคายและไม่สุภาพ และ เป็นสื่อที่แสดงให้เห็นว่าปัญหาเกี่ยวกับการรักษาศีลธรรมและความบริสุทธิ์ ของสังคมนั้น แม้กระทั่งกับคนต่างเชื้อชาติและต่างศาสนาก็ถือว่ามีความจำเป็นและมีความ สำคัญอย่างมาก จำเป็นที่เราจะต้องรู้จักขอบเขตและพยายามระวังรักษามันให้ดีที่สุด
เชิงอรรถ
[1] อัล-มุฟร่อดาต , หน้าที่ 339.
[2] อัตตะห์กีก ฟี กะลิมาติล-กุรอาน , ฮะซัน มุสฏอฟะวี , คำว่า “อิฟฟะฮ์”
[3] มัจญ์มะอุลบะห์ร็อยน์ , คำว่า “อิฟฟะฮ์”
[4] อุซูลุลกาฟี , เล่มที่ 2 , หน้าที่ 79. ,บิฮารุลอันวาร , เล่มที่ 77 , หน้าที่ 390.
[5] ซูเราะฮ์อันนูร / อายะฮ์ที่33.
[6] ซูเราะฮ์อัลบะกอเราะฮ์ / อายะฮ์ที่ 273.
[7] นะฮ์ญุลบะลาเฆาะฮ์ , ฮิกมะฮ์ที่ 474.
[8] ฟุรูอุลกาฟี , เล่มที่ 4 , หน้าที่ 21,
[9] บิฮารุลอันวาร , เล่มที่ 104 , หน้าที่ 37.
[10] ตะติมมะตุลมุนตะฮา , หน้าที่ 12.
[11] บิฮารุลอันวาร , เล่มที่ 46 , หน้าที่ 247.
[12] วะซาอิลุชชีอะฮ์ เล่มที่ 11 , หน้าที่ 331.
เขียนโดย มุฮัมมัด มุฮัมมะดี อิชติฮารดี
ขอขอบคุณเว็บไซต์อัตตักรีบมะซาฮิบอิสลาม