ข้อเท็จจริงในปัญหาเรื่อง ที่ดินฟะดัก ของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ อัซซะฮ์รอ (ซ)
คำถามจากอะฮ์ลิซซุนนะฮ์ วัลญะมาอะฮ์ (ซุนนี)
เชคกุลัยนีได้ตั้งบทหนึ่งไว้ในหนังสืออัลกาฟีย์ หัวข้อเรื่องว่าด้วย
إنّ النساء لا يرثن من العقار شيئا
“สตรีย่อมไม่ได้รับมรดกใดๆที่เป็นอสังหาริมทรัพย์”
โดยมีรายงานจากท่านอะบีญะอ์ฟัร กล่าวคือ อิมามมุฮัมมัด บิน อะลี อัลบากิร (อ) กล่าวว่า “สตรีนั้นย่อมไม่ได้รับมรดกประเภทที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ใดๆ”
เชคฏูซีย์ได้รายงานไว้ในหนังสือ “อัตตะฮ์ซีบฯ”จากรายงานของมัยซิร กล่าวว่า ข้าพเจ้าเคยถามท่านอะบาอับดิลลาฮ์ (อ) หมายถึง อิมามญะอ์ฟัร อัซซอดิก (อ) เกี่ยวกับเรื่องของสตรีว่ามีอะไรเป็นมรดกสำหรับนางได้บ้าง?
ท่านตอบว่า “สำหรับพวกนางคือมูลค่าของอิฐ, อาคาร, เครื่องไม้, และกกเท่านั้น ส่วนที่ดินและอสังหาริมทรัพย์อื่นๆ กล่าวคือ ในสองสิ่งนี้ มิใช่มรดกสำหรับพวกนาง”
และยังมีรายงานจากท่านมุฮัมมัด บิน มุสลิม จากอะบี ญะอ์ฟัร (อ) กล่าวว่า “สตรีนั้นย่อมไม่ได้รับมรดกประเภทที่ดิน และอสังหาริมทรัพย์ใดๆ” อีกทั้งยังมีรายงานจากอับดุลมาลิก บิน อะอ์ยุน ซึ่งได้เล่ารายงานจากอิมามทั้งสองท่าน (อ) ว่า “สตรีย่อมไม่มีสิทธิในที่ดิน และอสังหาริมทรัพย์ใดๆ” และบทรายงานเหล่านี้ก็มิได้ระบุว่า มีข้อยกเว้นเป็นกรณีพิเศษกับท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ร.ฎ) และสตรีคนอื่นๆ
ด้วยเหตุนี้ จะเห็นได้ว่า ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ร.ฎ)ย่อมไม่มีสิทธิที่จะเรียกร้องมรดกของท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ ศ็อลฯ (หมายถึงตามทัศนะของริวายะฮ์ต่างๆของชีอะฮ์)
และในทำนองเดียวกัน สำหรับทรัพย์สินทุกอย่างของท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ ศ็อลฯ จึงตกเป็นของอิมาม ดังมีรายงานจากมุฮัมมัด บิน ยะห์ยา จากอะห์มัด บิน มุฮัมมัด จากอัมร์ บิน ชิมร์
จากญาบิร จากอะบี ญะอ์ฟัร (อ) กล่าวว่า
ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ ศ็อลฯกล่าวว่า อัลลอฮ์ทรงสร้างอาดัมและทรงแบ่งโลกดุนยาส่วนหนึ่งให้แก่เขา ดังนั้นอันใดที่เป็นสิทธิของอาดัม อันนั้นก็เป็นสิทธิของท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ ศ็อลฯและอันใดที่เป็นสิทธิของท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ ศ็อลฯ อันนั้นย่อมเป็นสิทธิของบรรดาอิมามที่มาจากอาลิของมุฮัมมัด และอิมามท่านแรกถัดจากท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ ตามความเชื่อของชีอะฮ์ก็คือ อะลี (ร.ฎ)ด้วยเหตุนี้ ผู้มีสิทธิในการเรียกร้องที่ดินฟะดักควรจะเป็นท่านอะลี(ร.ฎ) มิใช่ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ร.ฎ) แต่เราไม่เห็นว่าจะเป็นเช่นนั้น
คำตอบ
ประการแรก
คำว่า “สตรี” ในริวายะฮ์ที่บันทึกว่า จะไม่ได้รับมรดกประเภทอสังหาริมทรัพย์ หรือที่ดินนั้น หมายถึง “ภรรยา” เท่านั้น คือหมายความว่า ภรรยาจะไม่มีสิทธิรับมรดกประเภทที่ดิน แต่ให้รับมรดกประเภทอาคารได้ แต่ทั้งนี้มิได้หมายถึงบุตรหญิง กล่าวคือ สำหรับบุตรหญิงนั้น นางย่อมมีสิทธิในการสืบมรดกของบิดาได้ทุกประเภท
ที่ดินฟะดัก มีความหมายเป็นของขวัญ ของกำนัล สำหรับท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ ซะฮ์รออ์ มิใช่ในความหมายว่า เป็นมรดก หากแต่ที่ถูกกล่าวถึงว่า เป็นมรดกในการเรียกร้องนั้น มีขึ้นเมื่ออะบูบักร์ปฏิเสธคำร้องของนางและของท่านอะลี อีกทั้งยังปฏิเสธคำขอของท่านฮะซัน ,ฮุเซน และของท่านอุมมุอัยมัน ขณะที่พวกเขาเป็นพยานยืนยันว่า ที่ดินนั้นเป็นของขวัญหรือของกำนัล
ในหนังสือบัยตุลอะห์ซาน ของเชคอับบาส กุมมี หน้า ๑๓๓ มีใจความว่า
“อะบูบักร์ได้ส่งคนไปขับไล่วะกีล(ตัวแทน)ของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์(อ)ออกจากฟะดัก”
เจ้าของหนังสือ อัลอิห์ติยาจญ์ และเชค อัลอะญัล อะลี บิน อิบรอฮีม อัลกุมมีย์ รับบทรายงานมาจากฮัมมาด บิน อุสมาน เป็นรายงานจากอะบีอับดิลลาฮ์ (อ) กล่าวว่า
“เมื่ออะบูบักร์ได้รับการให้บัยอัตและขึ้นเป็นผู้ปกครองบรรดาชาวมุฮาญิรีนและชาวอันศอรทั้งมวลนั้น เขาได้ส่งคนไปยังที่ดินฟะดักเพื่อขับไล่ตัวแทนของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ บุตรสาวของท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ็อลฯ)ออกจากที่นั่น”
ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์(อ)จึงได้ออกไปหาอะบูบักร์ แล้วนางได้กล่าวว่า
“โอ้อะบูบักร์ ทำไมท่านจึงยับยั้งมรดกของฉันที่ได้รับจากบิดาของฉัน รอซูลุลลอฮ์ ศ็อลฯ แล้วยังขับไล่ตัวแทนของฉันออกจากที่ฟะดัก ทั้งๆที่ท่านรอซูลุลลอฮ์ ศ็อลฯ ได้กำหนดให้ที่นั่นเป็นของฉัน”
อะบูบักร์ตอบว่า “เธอจงนำพยานสำหรับเรื่องนี้มาเถิด” แล้วนางก็ได้ไปนำท่านอุมมุอัยมันมาเป็นพยาน
อุมมุอัยมันกล่าวว่า “โอ้อะบูบักร์ ฉันยังไม่เป็นพยานยืนยันสิ่งใด จนกว่าจะได้เสนอหลักฐานต่อท่านประการหนึ่ง ตามที่ท่านรอซูลุลลอฮ์ ศ็อลฯได้กล่าวไว้ ฉันขอถามท่านด้วยพระนามของอัลลอฮ์ว่า ท่านรู้หรือไม่ว่า ท่านรอซูลุลลอฮ์ ศ็อลฯ เคยกล่าวว่า
“แท้จริงอุมมุอัยมัน เป็นสตรีชาวสวรรค์คนหนึ่ง?”
อะบูบักร์ตอบสั้นๆว่า “รู้แล้ว”
นางกล่าวอีกว่า “ดังนั้น ฉันขอยืนยันว่าอัลลอฮ์ ผู้ทรงยิ่งใหญ่ เกรียงไกร ทรงมีวะห์ยูลงมายังท่านรอซูลุลลอฮ์ (ศ็อลฯ) ว่า
“และจงมอบให้แก่ผู้เป็นญาติซึ่งสิทธิของเขา”
(๒๖/บทอัลอิสรออ์)
แล้วท่านก็ได้ยกที่ฟะดักให้แก่ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ ตามคำสั่งของอัลลอฮ์ แล้วในขณะนั้นเองอะลี (อ) ก็ได้มาถึง ซึ่งเขาก็ได้กล่าวยืนยันอย่างนั้นเช่นกัน ดังนั้น อะบูบักร์จึงเขียนจดหมายให้แก่นางฉบับหนึ่ง
ขณะนั้นเอง อุมัร ก็เดินเข้ามา เขาได้ถามขึ้นว่า นี่เป็นจดหมายอะไร ?”
แล้วอะบูบักร์ได้กล่าวว่า แท้จริงฟาฏิมะฮ์ (อ) ได้มาเรียกร้องในเรื่องที่ฟะดัก โดยนางอุมมุอัยมันและท่านอะลีก็มาเป็นพยานยืนยัน ดังนั้นฉันจึงเขียนจดหมายนี้ขึ้น ครั้นแล้วอุมัรก็รีบฉวยจดหมายฉบับนั้นจากท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ ไปฉีกทิ้งเสีย พลางกล่าวว่า “อันนี้เป็นผลประโยชน์ของชาวมุสลิมต่างหาก”
มีรายงานอีกว่า เอาซ์ บิน ฮัดษานาน ,ท่านหญิงอาอิชะฮ์ ,ฮัฟเศาะฮ์ ได้เป็นพยานยืนยันว่า
ท่านรอซูลุลลอฮ์ ศ็อลฯ ได้กล่าวว่า “แท้จริงพวกเราบรรดานบี ไม่มีมรดกให้ใครสืบทอด สิ่งใดก็ตามที่เราละทิ้งไว้ ถือว่าสิ่งนั้นๆเป็นกุศลทาน”
ในเมื่อท่านอะลี (อ)ก็คือสามีของนางเอง และอุมมุอัยมัน ก็คือหญิงที่ดีมีคุณธรรม แน่นอนเราจะพิจารณาในเรื่องนี้ จากคำอุทธรณ์ของท่านอะลี (อ) ต่ออะบูบักร์ ในกรณีที่ฟะดัก
(หลังจากอุมัรเจ้ามาแย่งจดหมายไปฉีกแล้ว) ตามรายงานระบุว่า ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (อ) ได้เดินร้องไห้ออกไปด้วยความเสียใจ
ต่อมาหลังจากนั้น ท่านอะลี (อ)ได้ไปหาอะบูบักร์ ซึ่งกำลังอยู่ในมัสยิด และรายรอบไปด้วยพวก
มุฮาญิรีน และพวกอันศอร ท่านอะลีกล่าวว่า โอ้อะบูบักร์ ทำไมท่านจึงได้หวงห้ามมรดกของฟาฏิมะฮ์ที่นางได้รับมาจากท่านรอซูลุลลอฮ์ ศ็อลฯทั้งๆที่ในสมัยท่านรอซูลุลลอฮ์ ศ็อลฯ มีชีวิตอยู่ นางก็ครอบครองที่ดินตรงนั้นอยู่แล้ว”
อะบูบักร์ตอบว่า “ที่ตรงนี้เป็นทรัพย์สินของมวลมุสลิม และถึงแม้นางจะสามารถนำพยานมายืนยันได้ว่า ท่านรอซูลุลลอฮ์ ศ็อลฯ ได้ยกที่ตรงนั้นให้แก่นางแล้วก็ตาม อย่างไรเสียนางก็ไม่มีสิทธิจะได้รับในที่ดินนั้น
ท่านอะมีรุลมุมินีน (อ) ได้กล่าวว่า “โอ้อะบูบักร์ ท่านตัดสินในหมู่พวกเราด้วยการขัดแย้งกับกฎของอัลลอฮ์ในบรรดามุสลิม”
อะบูบักร์ แย้งว่า “หามิได้”
ท่านอะลีกล่าวว่า “ดังนั้น สมมติว่ามีสิ่งของอย่างหนึ่งอยู่ในการครอบครองของคนมุสลิม ต่อมาฉันได้อ้างสิทธิในสิ่งของนั้น ขอถามว่า ใครกันแน่ที่จะถูกขอให้นำหลักฐานมาพิสูจน์?
อะบูบักร์ตอบว่า แน่นอน ท่านนั่นเองจะถูกขอให้นำหลักฐานพิสูจน์”
ท่านอะลีกล่าวว่า “แล้วเป็นไฉนกับกรณีฟาฏิมะฮ์ (ซ) ซึ่งท่านได้ขอหลักฐานจากนางเป็นข้อพิสูจน์ ทั้งๆที่สิ่งของนั้นอยู่ในครอบครองของนางมาก่อนตั้งแต่ในสมัยท่านรอซูลุลลอฮ์ ศ็อลฯ ยังมีชีวิตอยู่และหลังจากนั้น แต่ท่านมิได้ถามหาหลักฐานจากบรรดาคนมุสลิม ให้ตรงกับหลักการที่ควรจะเป็นไปตามที่ท่านได้กล่าวไปแล้ว ถึงตอนนี้ปรากฏว่าอะบูบักร์นิ่งเงียบ
ดังนั้นอุมัรได้กล่าวว่า “โอ้อะลี ปล่อยเราให้พ้นจากคำพูดของท่านเถิด แท้จริงเราไม่สามารถโต้แย้งกับข้ออ้างของท่านได้ ดังนั้น ท่านต้องนำพยานที่ยุติธรรมมายืนยัน หาไม่แล้ว เราถือว่า ที่ฟะดัก เป็นทรัพย์สมบัติของคนมุสลิมทั้งมวล ไม่ใช่สิทธิของท่าน และไม่ใช่ของฟาฏิมะฮ์”
ท่านอะมีรุลมินีน (อ) กล่าวว่า โอ้อะบูบักร์ ท่านเคยอ่านอัลกุรอานไหม ?
อะบูบักร์ตอบว่า “เคย” ท่านอะลีถามต่อไปว่า ท่านเคยอ่านไหม โองการความว่า
“อันที่จริงแล้ว อัลลอฮ์ทรงประสงค์เพียงแต่ขจัดมลทินออกจากพวกเจ้าอะฮ์ลุลบัยต์ และชำระขัดเกลาพวกเจ้าให้สะอาดบริสุทธิ์” โองการนี้ถูกประทานลงมารับรองพวกเราหรือว่าคนกลุ่มอื่นนอกเหนือจากพวกเรา”
อะบูบักร์ตอบว่า “ถูกประทานลงมารับรองพวกท่าน”
ท่านอะลี กล่าวอีกว่า “ดังนั้นถ้าหากสักขีพยานมายืนยันว่าฟาฏิมะฮ์ บุตรีของท่านรอซูลุลลอฮ์ ศ็อลฯ ทำความชั่ว ท่านจะทำอย่างไรกับนาง?
อะบูบักร์ตอบว่า “ฉันก็จะตัดสินลงโทษนาง เหมือนกับได้ลงโทษผู้หญิงคนอื่นๆ”
ท่านอะลีกล่าวว่า “ถ้าเช่นนั้น ท่านก็เป็นคนหนึ่งที่ปฏิเสธอัลลอฮ์”
อะบูบักร์ “เพราะอะไร?
ท่านอะลีกล่าวว่า “เพราะว่าท่านปฏิเสธการเป็นพยานของอัลลอฮ์ที่ทรงยืนยันรับรองนาง ว่าสะอาดบริสุทธิ์ แต่ยอมรับการเป็นพยานของมนุษย์ที่ใส่ความแก่นาง เช่นเดียวกับการที่ท่านปฏิเสธกฎของอัลลอฮ์ และของท่านรอซูลุลลอฮ์ ในการที่ท่านยกที่ดินฟะดักให้แก่นางตั้งแต่ในสมัยที่ท่านมีชีวิต ต่อมาท่านยอมรับการเป็นพยานของชาวอาหรับที่กลับกลอกต่อศาสนา แล้วยึดที่ฟะดักคืนจากนาง และนำไปแจกจ่ายเพื่อผลประโยชน์ของชาวมุสลิม...................
หลังจากนั้น ท่านอะลีได้กลับไปยังบ้านของท่าน ในรายงานมีบันทึกต่อไปว่า
“แล้วท่านหญิงฟาฏิมะฮ์(อ)ก็ได้เข้าในมัสยิด ครั้นเมื่อนางได้เยี่ยมสุสานของบิดานางก็กล่าวคำพรรณนาอย่างมากมาย”
ขอขอบคุณเว็บไซต์เลิฟฮุเซน
source : alhassanain