ความยุติธรรมแห่งพระเจ้า หมายถึงอะไร?
ความยุติธรรม ในเชิงภาษา คำนี้มีความหมายตรงกันข้ามกับคำว่า กดขี่ หมายถึงการมอบหมายทุกสรรพสิ่งเว็บไซต์ อิมาม อัลฮะซะนัยน์ (อลัยฮิมัสลาม)เพื่อคุณค่าและสารธรรมอิสลามในที่ ๆ มีความเหมาะสม หรือการกระทำทุกภารกิจที่เป็นคุณความดี ดังที่ท่านอิมามอะลี กล่าวว่า ความยุติธรรมคือ การจัดวางทุกภารกิจการงานในที่ ๆ มีความเหมาะสม
พระเจ้าทรงไว้ซึ่งความยุติธรรม หมายถึง การที่พระองค์ทรงมอบหมายให้ระบบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นระบบที่อยู่ภายใต้การสร้างสรรค์ หรือธรรมชาติ หรือทุกภารกิจการงานให้อยู่ใต้ระบบที่เหมาะสมและเฉพาะเจาะจงสำหรับตัวมัน ดังที่พระองค์ตรัสว่า เราได้จัดวางท้องฟ้าและแผ่นดินไว้ในที่ ๆ มีความเหมาะสมกับทั้งสอง ตลอดจนการจัดวางกฎเกณฑ์ในการดำเนินชีวิต ซึ่งบรรดากฎเกณฑ์ของพระองค์ล้วนวางอยู่บนความยุติธรรม และมีความเหมาะสมกับเป้าหมายในการสร้างสรรค์ของพระองค์ ไม่มีการแบ่งแยกหรือมีความแตกต่างใด ๆ ในกฎเกณฑ์เหล่านั้น ดังที่อิมามอะลี กล่าวว่า พระเจ้าทรงบริสุทธิ์จากการกดขี่มวลมนุษย์ ทรงปฏิบัติเสมอภาคกันในหมู่พวกเขา และทรงพิพากษาพวกเขาด้วยความยุติธรรม
ด้วยเหตุนี้ ความยุติธรรมของพระเจ้าที่แสดงกับมนุษย์ จึงขึ้นอยู่กับความสามารถของบุคคลนั้น อัล-กุรอาน กล่าวว่า อัลลอฮฺ จะไม่ทรงบังคับชีวิตหนึ่งชีวิตใด เว้นเสียแต่ตามความสามารถของชีวิตนั้น และชีวิตนั้นจะได้รับการตอบแทนความดีในสิ่งที่เขาได้แสวงหาไว้ และจะได้รับการลงโทษในสิ่งชั่วที่เขาได้แสวงไว้เช่นกัน ดังนั้น พระองค์จะพิพากษามนุษย์ไปตามเจตนารมณ์เสรีและตามการขวนขวายของเขา โดยพระองค์จะไม่กดขี่พวกเขา ความยุติธรรม จึงหมายถึงว่า พระเจ้าไม่ทำลายสิทธิของสรรพสิ่ง ทรงเมตตาแก่สรรพสิ่งทั้งปวงไปตามกฎเกณฑ์ของผู้มีกรรมสิทธิ์ การกดขี่เป็นการทำลายสิทธิ์ ฉะนั้น ทั้งความยุติธรรมและการกดขี่จะอยู่ในที่ ๆ มีสิทธิเท่านั้น
อีกนัยหนึ่งอาจกล่าวได้ว่า
ความยุติธรรมของพระเจ้า หมายถึง พระองค์ทรงตอบแทนต่อการประกอบกรรมดีด้วยรางวัลอันล้ำค่า และทรงตอบแทนการประกอบกรรมชั่วด้วยการลงโทษ ท่านศาสดามุฮัมมัด (ขอพระเจ้าทรงประสาทพรแด่ท่านและครอบครัวของท่าน) กล่าวว่า ไม่มีบุคคลใดสามารถเข้าสู่สรวงสวรรค์ได้ด้วยการประกอบการดีงามของตนเอง เว้นเสียแต่โดยความกรุณาปรานีของพระองค์อัลลอฮฺเท่านั้น
อิสลามสอนว่าพระเจ้ามิทรงบังคับให้มนุษย์กระทำการใด ๆ ทั้งสิ้น พระองค์หยั่งรู้ถึงการกระทำของมนุษย์ แต่พระองค์มิได้ทรงใช้อำนาจบังคับให้มวลมนุษย์กระทำในวิถีทางที่ผิดธรรมชาติของพวกเขา มนุษย์มีอิสระในการกระทำของตน แต่มิได้หมายความว่ามนุษย์เป็นอิสระจากพระเจ้า เนื่องจากไม่มีการบังคับใดจากอัลลอฮฺ และไม่มีการมอบอำนาจโดยอิสระให้มวลมนุษย์ สถานะที่แท้จริงคือ สถานะที่อยู่ระหว่างทั้งสอง
เมื่อเป็นดังนี้ ณ จุดใดเล่าที่ความสามารถในการกระทำของมนุษย์จะเริ่มต้นขึ้นได้ อิมามผู้นำนามว่า มูซากาซิม (ขอความสันติจากพระเจ้าพึงประสบแด่ท่าน) กล่าวว่า มนุษย์สามารถที่จะกระทำสิ่งใด ๆ เมื่อเงื่อนไข 4 ข้อได้ถูกกระทำให้สำเร็จคือ
1. เมื่อไม่มีสิ่งใดมากีดขวางแผนการของเขา
2. เมื่อเขามีสุขภาพสมบูรณ์พร้อมที่จะกระทำ
3. เมื่อเขามีความสามารถในการประกอบกิจนั้น ๆ
4. เมื่อพระเจ้าทรงเปิดโอกาสแก่เขา
ดังนั้น เมื่อเงื่อนไขทั้งสี่ประการถูกทำให้สำเร็จ มนุษย์จึงสามารถที่จะกระทำการใด ๆ ให้เป็นไปตามประสงค์ของตนเองได้ ตัวอย่าง สมมุติว่ามีชายคนหนึ่งมีคุณสมบัติครบตามสามข้อแตกที่กล่าวมาคือ ไม่มีอุปสรรคกีดขวาง มีสุขภาพสมบูรณ์ และมีความสามารถในการปฏิบัติ กระนั้นเขาก็ยังมิอาจกระทำผิดประเวณีได้ เว้นเสียแต่ว่าเขาจะมีโอกาสได้อยู่โดยลำพังกับผู้หญิงสักคนหนึ่งเท่านั้น
แต่เมื่อเขาได้มีโอกาสอยู่ตามลำพังกับผู้หญิงคนหนึ่ง เมื่อถึงจุดนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าเขาจะเลือกตัดสินใจอย่างไรในสองวิถีทาง กล่าวคือเลือกที่จะควบคุมอารมณ์ปรารถนาของตน และป้องกันตนเองให้รอดพ้นจากกระทำที่ไม่ดี (การผิดประเวณี) หรือในทางตรงกันข้ามคือ เขาได้กระทำผิดประเวณีกับหญิงสาวคนนั้น ดังนั้น ถ้าเขาป้องกันตนเองโดยไม่กระทำผิดประเวณี มันก็เป็นไปโดยตัวของเขาเอง มิใช่เป็นการบังคับจากพระเจ้าดังที่บางคนเข้าใจ หรือถ้าเขาประพฤติบาป คือการผิดประเวณี ก็มิได้หมายความว่าเขาอยู่เหนืออำนาจของอัลลอฮฺ ดังที่บางคนเข้าใจเช่นกัน
ดังนั้น บุคคลใดเชื่อในเรื่องพรหมลิขิต เขาไม่สามารถเชื่อวันแห่งการตัดสินได้ในเวลาเดียวกัน เพราะว่า ถ้าอัลลอฮฺ ทรงใช้อำนาจบังคับในการกระทำทุกประเภทที่มนุษย์กระทำขึ้นด้วยมือของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นบาป การประกอบกรรมชั่ว การเชื่อในพระเจ้าหลายองค์ การไม่เชื่อในบทบัญญัติทางศาสนาและอื่น ๆ อีกมากมาย ก็หมายถึงว่าสิ่งเหล่านี้ถูกลิขิตและถูกกำหนดลงมาโดยอัลลอฮฺ และจะเป็นความยุติธรรมได้อย่างไรถ้าพระองค์จะทรงลงโทษมนุษย์ อันเนื่องจากความประพฤติที่เขากระทำลงไปตามการลิขิตของพระองค์
มนุษย์จึงไม่อาจเชื่อได้ว่า พระเจ้าจะทรงกระทำความผิด การที่เชื่อว่า อัลลอฮฺ ไม่ทรงกระทำผิด หมายถึง พระองค์ทรงอำนาจอยู่นิรันดรพระองค์จึงไม่กระทำผิด ผู้ที่กระทำผิดหรืออยุติธรรม เนื่องจากเขาล่วงรู้ไม่ถึงว่าสิ่งนั้นเป็นความผิด แต่อัลลอฮฺ ทรงรอบรู้ทุกสิ่ง
หรือบุคคลใดที่ต้องการบางสิ่งบางอยาง ซึ่งเขาไม่สามารถจะบรรลุถึงสิ่งนั้นได้โดยปราศจากการกระทำผิดเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งนั้น ขณะที่อัลลอฮฺ ไม่ทรงมีความต้องการหรือปรารถนาในสิ่งต่าง ๆ จึงไม่มีความจำเป็นที่พระองค์ต้องกระทำผิด
บางคนอาจกระทำความผิดเนื่องจากถูกคนอื่นบังคับ ขณะที่อัลลอฮฺ คือผู้ทรงอานุภาพยิ่งเหนือสรรพสิ่งทั้งหลาย ไม่มีใครสามารถบังคับให้พระองค์กระทำสิ่งใด ๆ ได้ ดังนั้น โดยหลักแห่งความจริงแล้วจึงเป็นไปไม่ได้ที่อัลลอฮฺ จะทรงอยุติธรรมหรือทรงกระทำความผิด
อิสลามเชื่อว่า อัลลอฮฺ ทรงสร้างมวลมนุษย์ขึ้นมาเพื่อให้พวกเขาแสวงหาสัจธรรม และคุณความดีเพื่อเป็นหนทางในการนำพวกเขาให้เข้าใกล้ชิดกับพระเจ้ายิ่งขึ้นในภายภพหน้า มนุษย์มาสู่โลกเหมือนกับแผ่นกระดาษที่ว่างเปล่า ระหว่างเวลาในช่วงชีวิของเขาลายลิขิตต่าง ๆ จะถูกบันทึกลงบนแผ่นกระดาษนั้น โดยผลแห่งการกระทำของตนเอง คุณความดีต่าง ๆ ที่ได้ประกอบขึ้นจะปรากฏตัวบนแผ่นกระดาษด้วยลายลักษณ์อันงามวิจิตร ส่วนความชั่วร้ายจะปรากฏตัวออกมา ด้วยลายลักษณ์อันน่าขยะแขยงและน่าสะพรึงกลัว
อิสลามเชื่อว่า อัลลอฮฺ ทรงประทานวิทยปัญญาให้แก่มนุษย์ พร้อมกับความสามารถในการตัดสิ้นใจ และอำนาจเพื่อการแสวงหาคุณธรรมความดีต่าง ๆ พระองค์ทรงแสดงให้มวลมนุษย์รู้ถึงแนวทางอันถูกต้อง และทรงเตือนให้พวกเขาพ้นจากการหลงไปสู่แนวทางที่ผิด แต่พระองค์มิได้ทรงบังคับเขาให้ประกอบกรรมดี หรือประกอบกรรมชั่วใด ๆ เพราะว่าพระองค์ทรงประทานอำนาจในอ้นที่จะทำให้สิ่งใดดังใจประสงค์ พร้อมด้วยวิทยปัญญาเพื่อการไตร่ตรองในสิ่งที่ถูกที่ควรแก่เขาแล้วอย่างสมบูรณ์
อิสลามเชื่อว่าการกระทำทุกรูปแบบของอัลลอฮฺ ทรงกระทำขึ้นเพื่ออำนวยประโยชน์แก่ทุกสรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างสรรค์ขึ้นมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งมวลมนุษย์ อุปมาประหนึ่งบุคคลผู้ขึ้นไปอุดรอยรั่วบนหลังคาท่ามกลางสายฝนที่โปรยลงมา เขาจะรู้สึกว่าถูกรบกวนด้วยสายฝนที่กระหน่ำลงมาบนเรือนร่างของเขา แต่สายฝนที่โปรยปรายลงมาบนพื้นดิน ต่างให้ประโยชน์กับพื้นดินไม่ทางตรงก็ทางอ้อมอย่างไม่เสื่อมคาย
บรรดาผู้ศรัทธาในความยุติธรรมของพระเจ้า ไม่เชื่อว่าการกระทำต่าง ๆ ของเขาถูกกำหนดขึ้นโดยอำนาจของอัลลอฮฺ และถึงแม้ว่ามันเป็นการกระทำที่เกิดขึ้นโดยอำนาจของอัลลอฮฺ เป็นหน้าที่ของมนุษย์ที่จะต้องรับผิดชอบต่อการกระทำเหล่านั้น พวกเขากล่าวว่า นั่นเป็นความอยุติธรรมอย่างเห็นได้ชัดทีพระเจ้าทรงบันดาลให้มนุษย์ขโมย ฆ่าคนตาย หรือประกอบกรรมชั่วอื่น ๆ หลังจากนั้นพระองค์ทรงลงโทษพวกเขาเนื่องจากการกระทำอันเลวร้ายเหล่านั้น ทั้งที่พวกเขาถูกบันดาลให้กระทำลงไปโดยผู้พิพากษานั่นเอง
แน่นอน อิสลามสอนว่าพระเจ้าไม่ทรงบังคับให้มนุษย์กระทำสิ่งใดที่เกินกำลังความสามารถ หรือเกินขอบเขตแห่งอำนาจของมนุษย์ อิสลามสอนว่าสัญชาติญาณและความปรารถนาทุกชนิดได้ถูกสร้างขึ้นในมวลมนุษย์เพื่อเหตุผลบางประการ สัญชาติญาณและความปรารถนาเหล่านี้จะต้องไม่ถูกทำลายให้หมดไป แต่มันจะต้องถูกควบคุมให้อยู่ในขอบเขตเพื่อผลประโยชน์ทั่ว ๆ ไปอันเป็นธรรมชาติของมวลมนุษย์ สำหรับกรณีแม้แต่สัญชาติญาณทางเพศก็รวมอยู่ในตัวมนุษย์ด้วยอำนาจของอัลลอฮฺ ดังนั้น การที่จะขจัดสัญชาติญาณทางธรรมชาติ เช่น สัญชาติญาณทางเพศ เท่ากับเป็นการกระทำที่ขัดต่อพระประสงค์ของอัลลอฮฺ ซึ่งจะต้องไม่เป็นไปด้งนั้น และไม่อาจถูกขจัดไปได้ แต่แน่นอนว่า การกระทำต่าง ๆ ของมันจะต้องอยู่ในระเบียบแบบแผนเพื่อประโยชน์ของมวลมนุษย์ และ ณ จุดนี้เองอิสลามจึงถือว่าการสมรสคือสิ่งจำเป็นสำหรับมนุษยชาติ
เช่นเดียวกันกับความกลัวและความปรารถนา คือ สัญชาติญาณทางธรรมชาติของมนุษย์ ซึ่งต้องถูกใช้ให้เป็นประโยชน์เพื่อยกฐานะมวลมนุษย์ มุสลิมถูกสอนว่าไม่ให้กลัวผู้หนึ่งผู้ใด หรือสิ่งหนึ่งสิ่งใดนอกจากอัลลอฮฺ และต้องไม่ปรารถนาสิ่งใดในโลกนี้ยิ่งไปกว่าความปรารถนาที่จะได้รับความเมตตากรุณาจากอัลลอฮฺเท่านั้น
ขอขอบคุณเว็บไซต์อัชชีอะฮ์
source : alhassanain