ไทยแลนด์
Monday 6th of May 2024
0
نفر 0

สัญญาณบอกเหตุถึงการล่มสลายของอารยธรรมอเมริกา

อารยะธรรมต่าง ๆ ที่ปรากฏขึ้นบนหน้าประวัติศาสตร์นั้นต่างได้รับความเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุด แต่ในที่สุดก็ต้องล่มสลายลง ทิศทางดังกล่าวนี้มีแบบอย่างปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน ซึ่งการเปรียบเทียบสถานการณ์ปัจจุบันระหว่างระบอบของอเมริกากับจักรวรรดินิยมทั้งหลายที่ได้ล่มสลายลงไปแล้วในอดีต เราจะพบว่า ครั้งนี้ในประวัติศาสตร์จะเป็นคิวของอเมริกาที่จะกลายเป็นบทเรียนและบันทึกทางประวัติศาสตร์ที่วางอยู่เคียงคู่กับจักรวรรดินิยมและอารยธรรมโบราณทั้งหลาย

  อารยะธรรมต่าง ๆ ที่ปรากฏขึ้นบนหน้าประวัติศาสตร์นั้นต่างได้รับความเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุด แต่ในที่สุดก็ต้องล่มสลายลง ทิศทางดังกล่าวนี้มีแบบอย่างปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน ซึ่งการเปรียบเทียบสถานการณ์ปัจจุบันระหว่างระบอบของอเมริกากับจักรวรรดินิยมทั้งหลายที่ได้ล่มสลายลงไปแล้วในอดีต เราจะพบว่า ครั้งนี้ในประวัติศาสตร์จะเป็นคิวของอเมริกาที่จะกลายเป็นบทเรียนและบันทึกทางประวัติศาสตร์ที่วางอยู่เคียงคู่กับจักรวรรดินิยมและอารยธรรมโบราณทั้งหลาย

      ในหลายทศวรรษที่ผ่านมา อเมริกาได้รับประสบการณ์การเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ การเปลี่ยนแปลงซึ่งส่งผลกระทบอย่างมากในด้านจริยธรรมส่วนบุคคลและสังคม การเมืองและสภาพทางศาสนาของบุคคลในสังคม ผลของการเปลี่ยนแปลงนี้ก็คือ อเมริกาในปัจจุบัน ความเกียจคร้าน ความไร้ศีลธรรมและความเห็นแก่ตัว ได้กลายเป็นจิตวิญญาณที่ปกคลุมอยู่ทั่วไปในสังคม และภายใต้ความมืดมนของสภาพการณ์ดังกล่าวนี้ การปกครองของผู้มีคุณธรรมและมีความคู่ควร (meritocracy) จะถูกแทนที่ด้วยการปกครองของชนชั้นและวงศ์ตระกูล แต่จะต้องตระหนักอยู่เสมอว่า ประชาชาติใดก็ตามที่การปกครองของผู้มีคุณธรรมและมีความคู่ควรถูกแทนที่ด้วยการปกครองของชนชั้นและวงศ์ตระกูล สังคมและประชาชาตินั้นจะไม่สามารถดำรงความอยู่รอดของตนสืบไปได้ด้วยความแข็งแกร่งและมั่นคง ปัจจุบันนี้สังคมของอเมริกาไม่ว่าจะในด้านของการเมือง ด้านเศรษฐกิจ ด้านจิตวิญญาณและด้านจริยธรรมทางสังคม ที่กำลังประสบกับความเสียหายและความเสื่อมทรามด้วยมือของกลุ่มชนชั้นและวงศ์ตระกูลดังกล่าว ซึ่งโดยส่วนใหญ่ก็คือพวกไซออนิสต์ที่กำลังควบคุมและครอบงำอยู่ ซึ่งต่างก็ให้การสนับสนุนค้ำจุนซึ่งกันและกัน เกาะกุมและทรงอิทธิพล

      ปัจจุบันการใช้ชีวิตอยู่ในความฟุ่มเฟือยและความสุขสำราญ จะเป็นเครื่องสนองความพึงพอใจของประชาชนชาวอเมริกันมากกว่าสิ่งอื่นใดทั้งหมด คุณค่าของการทำงานและความอุตสาห์พยายามในการที่จะทำให้บรรลุซึ่งชีวิตในอุดมคติกำลังหมดสิ้นไปจากสังคม และความอุตสาห์พยายามในการทำงานอย่างหนักนับว่าเป็นเรื่องที่ไร้สาระ การโกหกและการหลอกลวงกำลังถูกเปลี่ยนเป็นเครื่องมือหลักเพื่อให้บรรลุสู่เป้าหมายต่าง ๆ ซึ่งสามารถพบเห็นได้ในทุกระดับของสังคมอเมริกัน นับจากระดับสูงสุดจนถึงที่ต่ำสุด บรรดานักการเมืองจะพูดโกหกปลิ้นป้อนอย่างเปิดเผยเกี่ยวกับนโยบายต่าง ๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ และความเสื่อมทรามทางศีลธรรมของสมาชิกในสังคมเองก็เป็นเหตุทำให้การโกหกและการหลอกลวงได้แพร่ระบาดไปในหมู่ประชาชนโดยทั่วไป

       จิม เนลสัน แบล็ค (Jim Nelson Black) : นักวิจัยเกี่ยวกับปัญหาสังคมของอเมริกา เขามีหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ “เมื่อประชาชาติทั้งหลายได้ตายลง” (When nations die) ส่วนหนึ่งจากหนังสือเล่มนี้เขากล่าวว่า

       “เมื่อเราพิจารณาประวัติศาสตร์ในช่วงสามพันปีที่ผ่านมา เราจะพบว่ามีอารยะธรรมต่าง ๆ มากมายปรากฏขึ้น แต่ท้ายที่สุดก็ต้องพบกับความตกต่ำและการล่มสลาย ประวัติศาสตร์โลกก็คือประวัติศาสตร์ของประชาชาติทั้งหลายที่ถูกพิชิตโดยประชาชาติอื่น หรือผลจากการจรลาจลและความโกลาหลต่าง ๆ ที่ทำให้มันล่มสลายลง และขณะนี้พยานหลักฐานและกรณีแวดล้อมต่าง ๆ ของเหตุการณ์ลักษณะนี้ก็กำลังพบเห็นในประเทศของเรา (อเมริกา) เช่นเดียวกัน เมื่อเราพิจารณาความหายนะและเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ ความคล้ายคลึงกันที่มีอยู่ท่ามกลางสังคมทั้งหลายกับสังคมของเรานั้นนับเป็นสิ่งที่น่าทึ่ง

       สำหรับพวกเราส่วนใหญ่คิดว่าการถูกทำลายล้างของเมืองคาร์เธจ (Carthage) การปรากฏรัฐบาลต่าง ๆ ของจักรวรรดิกรีก และการล่มสลายของจักรวรรดิโรม เป็นแค่การจินตนาการเกี่ยวกับอดีตและบทเรียนต่าง ๆ อันยาวนานแห่งประวัติศาสตร์ที่ถูกหลงลืมไปแล้วเพียงเท่านั้น และเหตุการณ์ต่าง ๆ อย่างเช่น การพิชิตกรุงคอนสแตนติโนเปิล การแบ่งแยกจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ การล่มสลายของระบอบการปกครองแบบกษัตริย์ของงฝรั่งเศส และการเสื่อมสลายลงที่ละน้อยของจักรวรรดิอังกฤษนั้น ไม่ค่อยมีความสำคัญและไม่เป็นที่ชัดเจนสำหรับเราพวกเราสักเท่าใด

       ส่วนใหญ่พวกเราไม่ค่อยจดจำเกี่ยวกับบทเรียนต่าง ๆ ทางประวัติศาสตร์เท่าใดนัก เช่นในกรณีเกี่ยวกับขบวนการเคลื่อนไหวทางปัญญาของฝรั่งเศส หรือประเด็นที่นำไปสู่การปฏิวัติอเมริกา เราได้เรียนรู้บทเรียนจากประวัติศาสตร์เป็นจำนวนมาก แต่ทว่าสิ่งเหล่านี้เป็นอดีตที่ไม่อาจหลีกหนีและเป็นสถานะทางประวัติศาสตร์ของเรา นี่เป็นประเด็นที่มีความสำคัญยิ่งที่จะทำให้เราสามารถเข้าใจถึงธรรมชาติและเนื้อแท้ของการดำเนินชีวิตในยุคสมัยนั้นได้อีกครั้งหนึ่ง ทั้งนี้เนื่องจากยุคสมัยเหล่านั้นและความสัมพันธ์ต่าง ๆ ของมันจะสะท้อนให้เห็นถึงหัวใจของปัญหาที่อยู่เบื้องหน้าของเราในปัจจุบัน”

       จิม เนลสัน แบล็ค : ความคล้ายคลึงกันของสถานการณ์ในปัจจุบันของอเมริกากับความหายนะและเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ นับว่าเป็นสิ่งที่น่าทึ่ง

       มีเหตุผลหลายประการที่สามารถอธิบายถึงการล่มสลายและความพินาศของแต่ละประชาชาติ ซึ่งหนึ่งในเหตุผลที่สำคัญที่สุดของมัน (ซึ่งโดยทั่วไปแล้วมักจะถูกมองข้าม) ที่สามารถกล่าวได้ก็คือ “การละทิ้งศาสนา”

      รัสเซล คิร์ก (Russell Kirk) : ผู้เชี่ยวชาญด้านทฤษฎีเกี่ยวกับการเมืองและเป็นนักวิจัยด้านประวัติศาสตร์มีความเชื่อว่า รากศัพท์ของคำว่า “culture” (วัฒนธรรม) มาจากคำว่า “cult” (การเคารพบูชาหรือพิธีปฏิบัติทางศาสนา) กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ วัฒนธรรมนั้นประกอบขึ้นบนพื้นฐานของโลกทัศน์ทางลัทธิศาสนาหรือทางจิตวิญญาณอย่างใดอย่างหนึ่ง อียิปต์โบราณเป็นสังคมแห่งพิธีกรรมที่ก่อรูปขึ้นบนพื้นฐานของการเคารพบูชาบรรดาเทพเจ้าและเทพีธรรมชาติ ส่วนกรีกและโรมันก็มีวิหารเคารพบูชารูปปั้นสักการะของตนเอง จากการศึกษาเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของอินเดีย จีนและส่วนอื่น ๆ ของโลก จะเห็นได้ว่าทั้งหมดเหล่านี้รากฐานของอารยธรรมล้วนเกิดขึ้นมาจากลักษณะหนึ่งของพิธีกรรมของทางลัทธิศาสนา และเป็นเรื่องปกติที่ว่าเมื่อความเชื่อต่าง ๆ แบบดั้งเดิมของประชาชาติหนึ่งได้อ่อนแอลง ก็จะทำให้ประชาชาติทั้งหลายตายลง และศาสนาที่เป็นหลักสำหรับการบริหารจัดการประชาชาติก็ได้ตายไปแล้วจากสังคมอเมริกา

      รัสเซล คิร์ก (Russell Kirk) “สังคมอเมริกันกำลังว่ายวนอยู่ในขั้นสุดท้ายของความหายนะ”

      วิลล์ ดูแรนท์ (Will Durant) กล่าวว่า “ก่อนยุคสมัยของเรานั้น เราจะไม่พบเห็นตัวอย่างที่เด่นชัดใด ๆ ในประวัติศาสตร์ที่ว่า สังคมหนึ่งที่ปราศจากการช่วยเหลือค้ำจุนของศาสนาจะสามารถรักษาชีวิตทางด้านศีลธรรมเอาไว้ได้” สังคมอเมริกันกำลังย่างก้าวเข้าสู่เส้นทางที่ต้องการจะรักษาตนเองโดยปราศจากฎเกณฑ์ทางศาสนา แผ่นป้ายบัญญัติสิบประการ (Ten Commandments) ถูกยกออกไป และคุณค่าต่าง ๆ ทางด้านศาสนาถูกรวบรวมออกไปจากชนชั้นของสังคม พื้นฐานความเชื่อของคริสต์ศาสนาไม่มีการเรียนการสอนในโรงเรียนต่าง ๆ ของรัฐอีกต่อไป และส่วนใหญ่มักจะถูกนำมาเย้ยหยันถากถางในเวทีต่าง ๆ ทางด้านการศึกษาและด้านสื่อ ดังนั้นจะสามารถจินตนาการอะไรได้อีกเกี่ยวกับอนาคตของประเทศนี้?!

ความเสื่อมทรามทางด้านสังคม

     ในหนังสือของ “เนลสัน แบล็ค” ได้ชี้ให้เห็นถึงสามด้านของการล่มสลาย คือ “วิกฤติของความไร้กฎระเบียบ” “การสูญเสียระบบทางด้านเศรษฐกิจ” และ “การเข้ามาของระบบเจ้าขุนมูลนาย” (Bureaucracy) ในประวัติศาสตร์เราจะพบเห็นตัวอย่างที่ชัดเจนมากมายที่เกิดจากผลต่าง ๆ ที่นำมาซึ่งความหายนะจากการล่มสลายของกฎหมายและความเป็นระบบระเบียบ ในสมัยกรีกโบราณ สัญญาณแรกของความหายนะก็คือ การสูญสิ้นการเคารพให้เกียรติของสาธารณชนต่อจารีตประเพณี ความมักง่าย ความเปรอะเปื้อนและไร้ขื่อแปรของบรรดาเยาวชน ซึ่งผลติดตามมาก็คือ ศิลปะและความบันเทิงต่าง ๆ ที่ชักนำไปสู่ความเสียหาย นักปรัชญาและนักวิทยาศาสตร์เองก็ได้ทำให้บรรยากาศของการพูดคุยและความสัมพันธ์ต่าง ๆ บิดเบี้ยวไป การบรรยายและการปาฐกถากลายเป็นสถานที่ของการต่อสู้และการแข่งขันชิงชัยกัน ปัญญาชนเริ่มที่จะหัวเราะเยาะและถากถางซึ่งกันและกัน และโจมตีรากฐานต่าง ๆ ทางจารีตประเพณีดั้งเดิมของสังคมแบบกรีกโบราณ (Hellenistic) บรรดานักคิดสมัยใหม่จะพูดแต่เรื่องเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐานต่าง ๆ และเรียกร้องให้มอบสิทธิในการแสดงทัศนะความคิดเห็นให้แก่เยาวชนคนหนุ่มสาวในสังคม โดยปราศจากการชี้นำทางด้านจารีตประเพณีแบบดั้งเดิม ผู้ที่เริ่มเข้าสู่ยุคใหม่กลายเป็นพวกป่าเถื่อนและเริ่มที่จะทำลายระบบแบบแผนเก่า ๆ และชาวกรีกก็ค่อย ๆ กลายเป็นประชาชาติที่ไร้กฎระเบียบและประสบกับความอัปยศ
ความเสื่อมทรามทางด้านวัฒนธรรม

      มี 4 กระแสหลัก ที่เป็นสาเหตุนำพาวัฒนธรรมไปสู่ความเสื่อมสลาย ได้แก่ “ความเสื่อมถอยของระบบการศึกษา” “ความอ่อนแอของรากฐานทางวัฒนธรรม” “การสูญเสียความเคารพในจารีตประเพณี” และ “การแพร่ขยายของลัทธิวัตถุนิยม” นี่คือ 4 ปัจจัย ที่ทำให้วัฒนธรรมทั้งหลายเกิดความเสียหาย

     โดนัลด์ ดัดลีย์ (Donald R.Dudley) : จากการศึกษาวิจัยของเขาเกี่ยวกับอารยธรรมโรมันซึ่งกล่าวว่า “มิใช่มีแค่เพียงปัจจัยเดียวเท่านั้นที่ทำให้จักรวรรดินี้ต้องล่มสลาย ทว่าการล่มสลายนั้นเป็นมาจากความอ่อนเปลี้ยเพลียแรงและความอ่อนแอที่เกิดขึ้นในสังคมของโรมัน แม้ว่าผลกระทบของความอ่อนแอเหล่านี้อาจจะแตกต่างกัน แต่โดยรวมแล้วมันคือสาเหตุที่ทำให้อารยธรรมนั้นต้องล่มสลายลง”

      ความเสื่อมทรามทางวัฒนธรรมของประชาชาติหนึ่ง ๆ จะนำไปสู่การการล่มสลายทางสังคมและวัฒนธรรมอย่างรวดเร็ว และตัวอย่างของการล่มสลายดังกล่าวนี้จะมีความคล้ายคลึงกันในอารยธรรมต่าง ๆ ที่หลากหลาย จากการศึกษาวิจัยประวัติศาสตร์เกี่ยวกับอารยธรรมทั้งหลาย ความคล้ายคลึงกันเหล่านี้จะเป็นที่ประจักษ์ได้อย่างชัดเจนมากขึ้น แม้จะมีความแตกต่างทางวัฒนธรรมระหว่างจักรวรรดิทั้งหลายที่ล่มสลายลงไปแล้วก็ตาม แต่ลักษณะวิธีการที่นำไปสู่การล่มสลายของวัฒนธรรมเหล่านี้มีความคล้ายคลึงกัน ตัวอย่างเช่น ความสุดโต่งในการใช้ชีวิตที่หรูหราฟุ่มเฟือย การแสวงหาความสุขสำราญและความมัวเมาในโลกีย์ ซึ่งถูกกล่าวถึงในจักรวรรดิโรมันว่าเป็นหนึ่งในสาเหตุที่สำคัญของการล่มสลายทางวัฒนธรรมของจักรวรรดิดังกล่าว
ความเสื่อมทรามทางด้านศีลธรรม

      ความเสื่อมทรามทางด้านศีลธรรมมักจะเกิดจากผลการปัจจัยหลัก 3 ประการ ได้แก่ “ความไร้ศีลธรรม” “การทำลายความเชื่อทางศาสนา” และ “การดึงชีวิตของมนุษย์ไปสู่ความว่างเปล่าและความไร้แก่นสาร”

      เอ็ดเวิร์ด กิบบอน ( Edward Gibbon) : นักประวัติศาสตร์คนหนึ่งได้เขียนเกี่ยวกับการล่มสลายของจักรวรรดิโรมันไว้เช่นนี้ว่า “ผู้นำของจักรวรรดิต้องประสบกับความอ่อนแอ ความเสื่อมเสียและความเชื่อในเรื่องเหลวไหล ค่านิยมทางศีลธรรมและกฎหมายต่าง ๆ ที่เข้มงวดได้สิ้นสลายลง การกดขี่และการปราบปรามถูกนำมาใช้ การใช้อำนาจอย่างไม่ถูกต้องทำให้ประชาชาติต้องอ่อนแอลงเมื่อต้องเผชิญหน้ากับการรุกรานของต่างชาติ การกดขี่และการปราบปรามที่กำลังเกิดขึ้นในสังคมอเมริกาปัจจุบัน ภายใต้ข้ออ้างของการพิทักษ์ปกป้องความมั่นคงของชาติที่กลายเป็นเรื่องปกติไปเสียแล้ว เพียงพอแล้วที่เราจะพิจารณาจากคำรายงานต่าง ๆ ที่มีการเผยแพร่เกี่ยวกับการเผชิญหน้าของเจ้าหน้าที่ตำรวจของอเมริกาที่ปฏิบัติต่อกลุ่มผู้ชุมนุมประท้วงของขบวนการ 99 เปอร์เซ็นต์”(ขบวนการเคลื่อนไหวแห่งวอลสตรีท)

      จากมุมมองทางประวัติศาสตร์ บรรดาจักรวรรดิทั้งมวลในช่วงยุคสุดท้ายของพวกเขาจะมีการปราบปรามประชาชนอย่างกว้างขวาง

      แคทเธอรีน เอ็ดเวิร์ดส์ (Catherine Edwards) : นักประวัติศาสตร์ชาวอังกฤษกล่าวว่า “สภาพการณ์ที่ไร้ศีลธรรมที่เรากำลังประสบอยู่ในขณะนี้ ไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด การคุมกำเนิดและการทำแท้งเพื่อหลีกเลี่ยงการมีบุตรก็เคยเป็นส่วนหนึ่งจากวิธีการที่เป็นเรื่องปกติที่มีอยู่ในกรุงโรมในยุคสมัยนั้น เมื่อผู้เป็นสามีไม่ยอมรับลูกของตนเองที่ถือกำเนิดขึ้นมา ดังนั้นในความเป็นจริงแล้วทำให้เด็กกลายเป็นสิ่งมีอยู่ที่ไร้ซึ่งอัตลักษณ์ ในช่วงวันสุดท้ายของจักรวรรดิโรมัน ชีวิตกลายเป็นสิ่งไร้คุณค่า กฎหมายต่าง ๆ กลายเป็นเรื่องยุ่งยากและเป็นภาษีอากรที่หนักหน่วง การค้าและการผลิตเป็นสิ่งที่ไม่ก่อให้เกิดผลกำไร ในที่สุดเด็ก ๆ (การมีบุตร) กลายเป็นภาระรับผิดชอบที่เพิ่มขึ้นสำหรับการดำเนินชีวิต การทำแท้งและการฆ่าทารกกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดา บางครั้งเด็ก ๆ ถูกขายไปเป็นทาส การดำเนินชีวิตและมารยาทต่าง ๆ คือความสนุกสนานเฮฮาอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง การชุมนุมพบปะที่เต็มไปด้วยความสำเริงสำราญ รักร่วมเพศและการมีเพศสัมพันธ์กับสัตว์กระทำกันอย่างเปิดเผย ชาวคริสต์ผู้เคร่งครัดศาสนาและผู้คัดค้านจะถูกเข่นฆ่าสังหาร”
สถิติการทำแท้งในหมู่สตรีชาวอเมริกัน

     ในสังคมอเมริกาขณะนี้ อัตราสูงสุดของการทำแท้งที่พบเห็นในหมู่สตรีชาวอเมริกันคือในช่วงอายุระหว่าง 20 ถึง 24 ปี ซึ่งอยู่ในช่วงวัยที่ดีที่สุดของการเจริญพันธุ์และการให้การอบรมสั่งสอนแก่ชนในอนาคต ในช่วงวัยนี้เองที่จะตกเป็นเป้าของกระแสการโหมโฆษณาชวนเชื่อที่จะชักจูงไปสู่ความไร้ศีลธรรมในคุณค่าต่าง ๆ ในการดำเนินชีวิตของชาวอเมริกันมากกว่าวัยใด

บทสรุปสำหรับอนาคตของอเมริกา

      จากการพิจารณาถึงสภาพการณ์ของสังคมปัจจุบันของเอมริกาในทั้ง 3 ปัจจัยแห่งการล่มสลายที่ได้กล่าวถึงในข้างต้น สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน

      รัสเซล คิร์ก (Russell Kirk) ได้กล่าวว่า “ในทัศนะของผม สังคมอเมริกันกำลังว่ายวนอยู่ในขั้นตอนสุดท้ายของความหายนะ ในขณะที่หลายคนกล่าวว่า การมาถึงขั้นตอนนี้นับเป็นความเฟื่องฟูของอารยธรรมของเรา แต่ความจริงแล้วสภาพการณ์เช่นนี้เป็นผลมาจากการใช้อำนาจต่าง ๆ ที่กำลังอยู่ในสภาพของการทำลายล้างวัฒนธรรมของตนเอง การคุยโวโอ้อวดเกี่ยวกับความเป็นเสรีภาพประชาธิปไตย (Democratic freedoms) ที่มีอยู่ในสังคมเสรีนิยม (Liberal society) ในความเป็นจริงมันคือความเป็นทาสแห่งตัณหาและเป็นภาพลวงตา ที่กำลังทำลายล้างความเชื่อต่าง ๆ ทางด้านศาสนา และจากการมุ่งเน้นในการสร้างวัตถุและสร้างชุมชนเมืองศิวิไลนั้น จะนำพาสังคมไปสู่การล่มสลาย จะลบทำลายแบบแผน มารยาทและจารีตประเพณีที่ดีงามต่าง ๆ ในชีวิตให้หมดไป”

      หากเราพิจารณาถึงปัจจัยต่าง ๆ ของการล่มสลายของอารยธรรมอันยิ่งใหญ่ทั้งหลายนั้น เราจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าอเมริกากำลังตั้งอยู่ในความสูงชันขั้นสุดท้ายของหุบเหวที่คล้ายคลึงกันกับสิ่งที่เกิดขึ้นในกรีก โรมัน อียิปต์โบราณและในอารยธรรมอื่น ๆ และในวันนี้ก็อาจเกิดขึ้นได้อย่างง่ายดายเช่นเดียวกันสำหรับอารยธรรมตะวันตก

      ศาสตราจารย์อัลลาน บลูม (Allan Bloom) ได้กล่าวไว้ในหนังสือ “จุดจบของแนวคิดแบบอเมริกัน” ว่า “ประวัติศาสตร์ของโลกในครั้งนี้กำลังจะเป็นคิวของอเมริกา ซึ่งจะเป็นปรากฏการณ์ที่เราจะใช้เป็นตัวตัดสินสำหรับมันตลอดไป”
บลูม : ประวัติศาสตร์ครั้งนี้จะเป็นคราวของอเมริกา!

     ประชาชาติอเมริกาขณะนี้กำลังอยู่ในเส้นทางที่กำลังจะได้สัมผัสกับประสบการณ์อันน่าตื่นตาตื่นใจอย่างมาก จากปัจจัยต่าง ๆ ที่ได้เคยนำพาอารยธรรมทั้งหลายก่อนหน้านี้ไปสู่การล่มสลาย ความเชื่อต่าง ๆ และผู้นำที่ไร้ความคู่ควรจะถูกโฆษณาในสื่อของระบบการศึกษาและการวางนโยบายต่าง ๆ อย่างง่ายดาย และแบบอย่างพฤติกรรมทางเพศของอเมริกาในปัจจุบันมีความน่าเกลียดยิ่งกว่าที่เคยเป็นอยู่ในอารยธรรมทั้งหลายที่ได้ล่มสลายไปแล้วเสียอีก ชีวิตของมนุษย์กลายเป็นสิ่งไม่มีค่า ทารกแรกเกิดถูกทิ้งขว้างไว้ที่นี่ที่นั่น ทารกในครรภ์จะถูกทำแท้ง และเด็ก ๆ จะถูกขายไปเป็นทาส หรือที่น่าแปลกประหลาดยิ่งไปกว่าทั้งหมดนั่นก็คือ พวกเขาจะถูกนำไปเชือดพลีบูชายัญต่อหน้าบรรดารูปเจว็ดและเทพเทพีต่าง ๆ ของโลกยุคโบราณ เพื่อให้ได้มาซึ่งการดำเนินชีวิตและผลประโยชน์ที่มากยิ่งขึ้น และอีกด้านหนึ่งของพฤติกรรมที่ตรงข้ามกับมนุษยธรรม นั่นก็คือ สาขาวิชาเกี่ยวกับการช่วยเหลือทางด้านการแพทย์ถูกเปลี่ยนเป็นเครื่องมือสำหรับการฆ่าตัวตายของคนชรา ที่กลายเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไป

     เมื่อเทียบกับชนรุ่นต่าง ๆ ก่อนหน้านี้ ครอบครัวของชาวอเมริกันในวันนี้มีเสถียรภาพต่ำกว่ามาก การแต่งงานได้สูญเสียความสำคัญของมันไปแล้ว การหย่าร้างและเด็ก ๆ ที่เกิดจากความสัมพันธ์ในเชิงชู้สาวที่ผิดกฎหมาย ชีวิตทางเพศสัมพันธ์หมู่กลายเป็นที่แพร่หลาย เด็ก ๆ ต้องตกอยู่ในความเสี่ยงและอันตรายมากมายที่ไม่มีการปกป้องใด ๆ สำหรับพวกเขา มุมมองของประชาชนเกี่ยวกับการสมรสและจริยธรรมทางเพศ การเลี้ยงดูและการอบรมขัดเกลาเด็ก ๆ เป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสมเป็นอย่างมาก ถึงขั้นที่ว่าปรากฏการณ์ต่าง ๆ อย่างเช่น การใช้ชีวิตครอบครัวร่วมกับบุคคลที่มีผู้ให้กำเนิด (พ่อ) คนเดียวกัน และการแต่งงานของพวกรักร่วมเพศนั้น กำลังเป็นภัยคุกคามต่อโครงสร้างแบบดั้งเดิมของครอบครัว ซึ่งกำลังจะเป็นตัวทำลายการคุ้มกันต่าง ๆ ทางด้านกฎหมายและทางศีลธรรมให้หมดไป

เบรสซินสกี (Brzezinski) กับการประกาศอันตรายของการล่มสลาย

      สภาพการณ์ของอเมริกา มีความคล้ายคลึงกันกับช่วงเวลาแห่งการล่มสลายของอดีตสหภาพโซเวียต

      ซบิกนีเยฟ เบรสซินสกี (Zbigniew Brzezinski) : ถือกำเนิดในวันที่ 28 มีนาคม 1928 ในกรุงวอร์ซอเมืองหลวงของโปแลนด์ ในปี 1953 เขาได้รับปริญญาเอกสาขารัฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ด และในปี 1958 ได้กลายเป็นพลเมืองของอเมริกา ปัจจุบันนี้เขาสอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยจอนส์โฮพกินส์ (Johns Hopkins University) หลังจากใช้ชีวิตอยู่ในประเทศนี้มาเป็นเวลายาวนานหลายปี ทำให้เขารู้จักสังคมอเมริกาทั้งในด้านการเมืองและวัฒนธรรมเป็นอย่างดี เขาเป็นนักยุทธศาสตร์ ซึ่งเคยเป็นที่ปรึกษาอดีตคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติของอเมริกาและปัจจุบันก็เช่นกัน เขามีบทบาทสำคัญในการกำหนดนโยบายในระยะยาวต่าง ๆ ของอเมริกา เขาได้เขียนไว้ในบทหนึ่งจากหนังสือเล่มล่าสุดของเขาที่มีชื่อว่า “วิสัยทัศน์เชิงกลยุทธ์ : อเมริกากับวิกฤตอำนาจโลก”(Strategic Vision: America and the Crisis of Global Power) โดยกล่าวว่า “อเมริกาในขณะนี้อยู่ในสถานการณ์ที่คล้ายกับช่วงเวลาแห่งการล่มสลายของอดีตสหภาพโซเวียต”
สงครามข้ามพรมแดนของอเมริกา ที่มีค่าใช้จ่ายที่หนักหน่วงแต่ไร้ผล

      เบรสซินสกี กล่าวว่า “ความคล้ายคลึงกันที่สำคัญที่สุดระหว่างสถานการณ์ในปัจจุบันของอเมริกากับอดีตสหภาพโซเวียตอยู่ในสิ่งนี้คือ ทั้งสองประเทศนั้น ระบอบของรัฐได้กลายเป็นอัมพาต และทั้งสองได้สูญเสียศักยภาพในการที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงใหม่ ๆ ให้เกิดขึ้นในทางการเมือง และเพื่อที่จะครอบงำเหนือภูมิภาคต่าง ๆ ที่เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญของโลก จึงต้องสูญเสียค่าใช้จ่ายและงบประมาณทางทหารจำนวนมหาศาลแต่ก็ไร้ผล สหภาพโซเวียตเองก็ได้กระทำเช่นนี้มาก่อนเป็นระยะเวลาถึงหนึ่งทศวรรษ เพื่อที่จะครอบงำอัฟกานิสถาน และอเมริกาเองก็ได้สูญเสียค่าใช้จ่ายจำนวนมากมายไปในอิรักและในอัฟกานิสถาน อิทธิพลระหว่างประเทศของอเมริกาได้ลดน้อยลงไปมาก และภายในประเทศก็ต้องเผชิญกับปัญหาความไม่พึงพอใจทางสังคม” (ซึ่งหนึ่งในตัวอย่างที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่สามารกล่าวได้ก็คือ ขบวนการเคลื่อนไหวแห่ง Wall Street)

       เบรสซินสกี ได้วิเคราะห์ตรวจสอบไว้ในหนังสือของเขาเกี่ยวกับสัญญาณต่าง ๆ ของการล่มสลายของอเมริกา กระแสการถดถอยในด้านการบริหารจัดการทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ และลักษณะการสูญเสียโอกาสต่าง ๆ ในเวทีระหว่างประเทศหลังจากสงครามเย็น สาสน์ที่ได้รับจากการวิเคราะห์และวิจัยของเบรสซินสกี ซึ่งถือเป็นสัญญาณเตือนภัยทางประวัติศาสตร์ ที่บ่งบอกถึงการเริ่มต้นการล่มสลายของอารยธรรมตะวันตกและอเมริกา
แหล่งอ้างอิง :

http://www.operationrescue.org/about-abortion/abortions-in-america/

www.rohama.org/en/content/439

www.rense.com/general93/demys.htm

www.thecommonconservative.com/?p=211

http://www.nolanchart.com/article7132-the-coming-collapse-of-american-society.html

http://www.independent.co.uk/news/uk/home-news/love-honour-and-no-way-why-get-married-518951.html

www.akdart.com/culture2.html

0
0% (نفر 0)
 
نظر شما در مورد این مطلب ؟
 
امتیاز شما به این مطلب ؟
اشتراک گذاری در شبکه های اجتماعی:

latest article

วันที่ 24 เดือนซุลฮิจญะฮ์ คือ ...
ชื่อและสายตระกูลของซุฟยานี
อาชญากรรมยะซีด ...
ผิดด้วยหรือที่เราหลั่งน้ำตา
มักกะห์ ดินแดนแห่งพันธะสัญญา
ความสำคัญของบิสมิลลาฮ์ ...
อักษรย่อในอัลกุรอาน
บ้านที่ส่องสกาว-บ้านสุสาน
คนชั่วมั่งมี คนดีทุกข์เข็ญ!?
ทำไมต้องกล่าวบิสมิลลาฮ์?

 
user comment