โดย : รูมินา ฮัซซัน
คำถามหนึ่งที่ถามกันมากที่สุดในสังคมมุสลิมรุ่นใหม่ปัจจุบันนี้คือ “ทำไมเราต้องนมาซ?” บ่อยครั้งที่เราจะได้เห็นความหยิ่งผยองเกิดขึ้นในจิตใจของมนุษย์ ลำพองจนคิดว่าไม่จำเป็นอะไรที่ต้องนมาซ และถ้าทำก็ทำไปพอเป็นพิธีและให้ความสำคัญน้อยมาก
เมื่อมีคนถามว่าทำไมเราต้องนมาซ? ข้าพเจ้าคงตอบได้แต่เพียงว่า
“คุณไม่เห็นหรือว่าพระองค์คือผู้ทรงคุณค่าควรแก่การสรรเสริญและขอบคุณ พระองค์คือผู้ทรงมอบทุกสิ่งทุกอย่างให้แก่คุณ
และเป็นผู้ที่สามารถจะเอาสิ่งเหล่านั้นคืนไปจากคุณเมื่อไหร่ก็ได้ที่พระองค์ทรงประสงค์?”
ในการที่จะทำความเข้าใจว่าทำไมเราต้องนมาซ ยังมีข้อเท็จจริงอีกมากมายที่เราต้องทำความเข้าใจเสียก่อน เราจึงจะเข้าถึงแก่นแท้ของการนมาซได้ สิ่งแรกที่ต้องทำความเข้าใจและต้องเชื่อถือศรัทธาก็คือ ปรโลก ชีวิตหลังความตาย ความถาวรและเที่ยงธรรมด้วยบารมีของอัลลอฮฺ สำหรับความอยุติธรรมและความชั่วร้ายที่เกิดขึ้นในโลกนี้ จะต้องมีเวลาที่สัจธรรมความจริงต้องเปิดเผยออกมา เมื่อเรายอมรับศรัทธาแห่งอิสลาม เราก็ได้ยอมรับแล้วว่ามันจะมีวันปรโลก และโลกนี้นั้นเป็นเพียงที่พักชั่วคราวเท่านั้น
เมื่อรู้เช่นนั้นแล้ว เราก็ต้องเข้าใจแล้วว่าเราต้องนำการกระทำทุกอย่างของเราออกมาเพื่อใช้เป็นแสงสว่างและเครื่องสนับสนุนเราในวันแห่งการคิดคำนวณ ซึ่งเราต้องถูกคิดบัญชีสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่เราได้กระทำไว้ในโลกนี้ เรารู้ด้วยว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เราทำที่นี่นั้น มันย่อมจะเป็นประโยชน์หรือไม่ก็นำไปสู่การลงโทษในชีวิตหลังจากนี้ มันเป็นการเตรียมการล่วงหน้าและเตรียมตัวให้พร้อมไว้เท่านั้น
อัลลอฮฺนั้นไม่ทรงต้องการการนมาซของเราหรอก ดังนั้นคำถามเรื่องการนมาซจึงยังคงอยู่ แต่ถ้าเราเข้าใจถึงพลังอำนาจของการนมาซว่ามันเป็นเสมือนของขวัญที่เรามอบให้แก่พระองค์ สำหรับความเมตตาและความโปรดปรานทั้งหลายทั้งปวงที่พระองค์ได้ทรงมอบให้แก่เรา พระองค์ก็จะมอบมันนคืนกลับมาเพื่อเป็นแสงนำทางแก่เราในวันซึ่งทรัพย์สินเงินทองหรือลูกหลานของเราจะยืนอยู่ด้านข้าง
เราเคยคิดบ้างไหมว่าชีวิตของเรานั้นยุ่งมากแค่ไหน? เราต่างก็เร่งรีบในการไปทำงาน ทำหน้าที่การงานให้เสร็จเรียบร้อย เพื่อจะได้มีชีวิตที่มั่นคง เราดำเนินกิจการต่างๆ อยู่เสมอ แล้วเราเคยคิดบ้างไหมว่าถ้าหากอัลลอฮฺทรงประสงค์แล้ว เราก็อาจจะต้องสูญเสียงานของเรา สูญเสียครอบครัว สูญเสียความสามารถในการปฏิบัติหน้าที่และการใช้ความคิด?
ด้วยความเมตตาของพระองค์ที่เราได้ตื่นขึ้นมาในตอนเช้า และก็ด้วยความเมตตาของพระองค์อีกเช่นกันที่เราได้นอนหลับในตอนกลางคืน
ในโลกนี้ เราเชื่อกันอย่างเปิดเผยว่าคุณธรรมที่ดีงามคือการแสดงความขอบคุณเมื่อมีใครสักคนให้ความช่วยเหลือหรือทำความดีให้แก่เราในทางใดทางหนึ่ง แล้วทำไมเรามีกฎเช่นนี้ต่อมนุษย์ด้วยกันได้แต่ไม่ใช้มันกับพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงอำนาจยิ่งใหญ่ของเราเล่า? ไม่ใช่ต่อพระองค์หรอกหรือที่เราต้องตอบคำถาม? แต่เรากลับใส่ใจต่อสิ่งที่คนอื่นจะคิดกับเรามากกว่า
ดังนั้น ถ้าเรายอมรับคุณธรรมที่ดีงามที่ต้องทำดีต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันแล้ว ดังนั้น เราก็ต้องยอมรับด้วยว่าเราต้องขอบคุณต่ออัลลอฮฺที่พระองค์ทรงโปรดปรานทำให้เราสามารถหายใจ พูดคุย และเดินไปมาได้ เราต้องขอบคุณพระองค์สำหรับความสามารถทุกอย่างที่เรามี เพราะเรารู้ดีเป็นอย่างยิ่งว่า สิ่งทั้งหมดเหล่านั้นพระองค์สามารถเอาไปจากเราได้ในเสี้ยววินาที และจะมีวิธีการใดที่จะขอบคุณพระองค์ได้ดีไปกว่าการนมาซ?
ในการสร้างอาณาจักรแห่งชั้นฟ้าและแผ่นดินทั้งหลาย อัลลอฮฺได้ทรงประทานความโปรดปรานแก่เราอย่างมากมาย ดังนั้นเราจึงสามารถเพิ่มพูนการกระทำที่ดีของเราได้ด้วยการรำลึกถึงพระองค์สำหรับความเมตตานั้นและเพื่อเป็นรางวัลแก่เราด้วยเช่นกัน
ในขณะที่เรายืนขึ้นตามเวลาที่กำหนด ต่อเบื้องพระพักตร์ของพระผู้อภิบาลของเราและยกมือของเราขึ้นเพื่อเป็นพยานว่าอัลลอฮฺคือผู้ทรงยิ่งใหญ่เกรียงไกร เท่ากับเราได้ตอกย้ำการยอมรับของเราถึงความสูงส่ง ความเมตตา และอำนาจของพระองค์ เราจะขอบคุณพระองค์พระผู้ทรงสร้างเราและมอบทุกสิ่งทุกอย่างให้แก่เราด้วยวิธีใดที่ดีไปกว่านี้ได้หรือ?
ในชีวิตที่ยุ่งวุ่นวายกับกิจการงานต่างๆ ไม่จบสิ้นของเรานั้น ไม่มีอะไรที่จะขาดตกบกพร่องไปเลยถ้าเราจะหยุดทุกสิ่งทุกอย่างที่เราทำในเวลาที่กำหนดไว้ เมื่อเสียงเรียกจากอิบรอฮีมสะท้อนก้องไปทั่วโลก เพื่อจะทำการสรรเสริญพระองค์ผู้ทรงมอบความสามารถแก่เราในการลุกขึ้นมาในตอนเช้า และพระองค์ผู้ทรงให้เกียรติเราในการให้ได้เกิดและเติบโตมาในศาสนาที่ชี้นำประชาชาติไปสู่พระผู้สร้าง
จงขอบคุณพระองค์เถิด เพราะการขอบคุณพระองค์โดยการทำนมาซประจำวันห้าเวลานั้น คือการเพาะปลูกเมล็ดพันธุ์แห่งผลรางวัลที่เราจะได้เก็บเกี่ยวในวันที่การกระทำอื่นของเราจะไม่สามารถช่วยเหลืออะไรเราได้เลย