เหลืออีกสองวันก่อนจะสิ้นเดือนซอฟัร คือวันแห่งความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่อีกวันหนึ่งของโลกอิสลาม เพราะว่า นั่นคือ วันที่ ๒๘ เดือนซอฟัร เป็นวันครบรอบการเสียชีวิตของท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ.) เหตุการณ์อันขมขื่น และเศร้าสลดของประชาชาติอิสลามในวันนั้น ยังคงปรากฏเป็นเรื่องเล่าอย่างละเอียดอยู่ในตำราของบรรดานักปราชญ์ ผู้ทรงเกียรติ ที่ให้ความสนใจต่อเหตุการณ์วิปโยคอย่างยิ่งเหตุการณ์หนึ่ง ที่เกิดขึ้นในวันนั้น
ท่านศาสดาแห่งพระองค์อัลลอฮ์ (ศ.) เป็นผู้ที่อัลลอฮ์ส่งมาเพื่อชี้นำ และสั่งสอนมนุษย์ให้รู้จักระเบียบแบบแผนการดำเนินชีวิต ตามที่พระองค์ในฐานะผู้สร้างทรงประสงค์ เพื่อไม่ให้มนุษย์ระหกระเหินอยู่กับความเป็นอยู่ที่ผิดพลาด เพราะจะทำให้สังคมมนุษย์พบกับความเลวร้าย
ท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ.) ได้นำหลักศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียวมาประกาศเผยแพร่ พร้อมกับหลักศรัทธาอันสูงส่งนี้ ท่านได้ให้ข้อพิสูจน์ถึงความเป็นคอตะมีนนะบียีน ศาสดาหรือนบีที่มาประทับรับรองความสมบูรณ์ ของบรรดาศาสดาทั้งหมด นับจากอดีตจนถึงท่าน ซึ่งมีสภาวะแห่งศาสดาเป็นคนสุดท้าย ความศรัทธาในการเป็นศาสดาของท่าน ได้ถูกยกย่องขึ้นเป็นหลักที่เคียงคู่กับความศรัทธาในความเป็นพระเจ้าของอัลลอฮ์ผู้ทรงเกรียงไกร
จากสถานะอันสูงส่งของท่าน ทำให้โลกอิสลามยอมรับว่า ท่านคือผู้เป็นที่รักของพระผู้เป็นเจ้า การกระทำ การพูด การแสดงออกของท่าน ล้วนเป็นไปตามพระบัญชาของพระองค์เท่านั้น
ก่อนที่จะจากโลกนี้ไป ท่านได้ประกาศแต่งตั้งท่านอะลี เป็นอิมาม เป็นคอลีฟะฮ์ แทนตัวท่าน ท่ามกลางประชาชาติทั้งหลาย และประกาศให้บรรดาอะฮ์ลุลบัยต์เป็นผู้นำ ที่มีน้ำหนักเท่าเทียมกับคัมภีร์อัลกุรอาน และยืนยันว่า ทั้งสองประการ ทั้งอะฮ์ลุลบัยต์ และอัลกุรอาน คืออันหนึ่งอันเดียวกัน ที่แยกออกจากกันไม่ได้
ความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความเที่ยงตรง ชัดเจนที่สุด หรือ "ศิรอฏอลมุสตะกีม" ของประชาชาตินี้ อยู่ที่อะฮ์ลุลบัยต์ และอัลกุรอานเท่านั้น
เราจะย้อนกลับไปหาเหตุการณ์อันแสนเศร้าระทมของประชาชาติมุสลิม เมื่อ ๒๘ ซอฟัร ปีสุดท้ายของชีวิตท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ.) เพื่อเป็นการแสดงความรำลึก และความอาลัย ยกย่องเกียรติคุณอันสูงส่งของผู้มีพระคุณสูงสุดแห่งมวลมนุษยชาติ ขั้นตอนสุดท้ายแห่งชีวิตก่อนการวายชนม์ของท่านในวันนั้น
มีหลายประการที่ยังตราตรึงในความทรงจำของมวลมุสลิม นครมะดีนะฮ์ อันมุเนาวะเราะฮ์ ซึ่งเป็นเมืองที่เคยเบิกบาน สดชื่นมาเป็นเนืองนิจ ตลอดเวลาที่ท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ.) อพยพมาตั้งถิ่นฐานเป็นบ้านเรือนแห่งใหม่ แต่ทว่า วันนั้น นครมะดีนะฮ์ทั้งเมือง กำลังตกอยู่ในภวังค์แห่งความโศกเศร้า และหม่นหมอง เมื่อศอฮาบะฮ์กลุ่มหนึ่งที่รายล้อมอยู่รอบๆ บ้านของท่านศาสดาแห่งอัลลอฮ์ (ศ.) ร่ำไห้โดยหัวใจที่โศกาอาดูร เมื่อพวกเขารับรู้เกี่ยวกับสุขภาพของท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ.)
อาการป่วยหนักของท่านเป็นข่าวคราวที่แพร่ไปจากบ้านเรือนของท่านอย่างรวดเร็ว ทุกคนต่างหมดหวังจะเยี่ยวยาให้สุขภาพร่างกายของท่านให้คืนดีกลับมาสู่สภาพเดิม คนทั้งหลายล้วนตระหนักดีในขณะนั้นแล้วว่า ชีวิตของท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ.) ไม่สามารถยื้อเวลาอยู่กับพวกเขาได้นานกว่านี้อีกแล้ว ดวงประทีปที่ฉายแสงส่องทางนำอันศักดิ์สิทธิ์ กำลังจะมอดดับลงในไม่ช้านี้
สาวกกลุ่มหนึ่งของท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ.) ต้องการจะเข้าเยี่ยมอาการของท่านผู้นำ และประมุขของพวกเขา ในขณะนั้นอย่างใกล้ชิด แต่สุขภาพของท่านตอนนั้น อ่อนระโหยที่สุดแล้ว ไม่สามารถอำนวยให้ท่านต้อนรับพวกเขาได้ ทำให้บรรดาสาวกกลุ่มนั้นไม่สามารถเข้าไปหาท่านในห้องของท่านได้ นอกจากบรรดาอะฮ์ลุลบัยต์ของท่านโดยเฉพาะเท่านั้น
บัดนั้นฟาฏิมะฮ์ (อ.) บุตรสาวคนเดียวของท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ.) นั่งอยู่บนที่นอนของบิดาของนาง ท่านหญิงกำลังเพ่งมองไปที่ใบหน้าของบิดาด้วยความอาวรณ์ เมื่อแลเห็นเหงื่อสัญลักษณ์การจากลา ซึ่งมีลักษณะปรากฏคล้ายไข่มุกที่หน้าผาก และแก้มทั้งสองข้าง ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (อ.) ได้เปล่งคำออกมาเป็นกวี ด้วยดวงใจที่แสนเศร้า และด้วยหยาดน้ำที่เอ่อท้นในดวงตา "เม็ดฝนสีขาวกำลังร่วงหล่นลงบนใบหน้า เป็นหมายเหตุของลูกกำพร้า และสัญญาณของหญิงหม้าย"
เป็นวินาทีที่ท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ.) ได้เผยอเปลือกตาของท่าน แล้วกล่าวกับบุตรสาวของท่านด้วยเสียงแผ่วเบาว่า "โอ้ลูกสาวสุดที่รักของพ่อ นั่นคือคำพูดของลุงของเจ้า อะบีฎอลิบ เจ้าไม่ต้องนำมากล่าวหรอก แต่จงกล่าวว่า "และมุฮัมมัด มิใช่ใครอื่น นอกจากเป็นศาสนทูตคนหนึ่งเท่านั้น แน่นอนบรรดาศาสนทูตก่อนหน้าเขาได้ล่วงลับไปแล้ว ดังนั้นถ้าหากเขาตายหรือถูกสังหาร พวกเจ้าจะหวนกลับสู่สภาพเดิมของพวกเจ้ากระนั้นหรือ และผู้ใดหวนกลับไปสู่สภาพเดิม ก็ไม่ได้เป็นอันตรายประการใดต่ออัลลอฮ์ และอัลลอฮ์จะตอบแทนบรรดาผู้ขอบพระคุณ"
จะเห็นได้ว่า ท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ.) แสดงความรักต่อท่านหญิงฟาฏิมะฮ์บุตรีของท่าน จวบจนกระทั่งนาทีสุดท้ายของชีวิต ท่านศาสดารักบุตรสาวคนเดียวของท่านอย่างสุดซึ้ง และนั่นมิใช่ความรักที่เกิดจากสัญชาตญาณความเป็นมนุษย์เพียงอย่างเดียว หากแต่เป็นสัญญาณสำแดงความรักจากพระผู้เป็นเจ้า ที่ผ่านมาจากท่านศาสดา (ศ.) ผู้เป็นสื่อ
ด้วยเหตุนี้จะเห็นได้จากหลักฐานมากมายว่า ท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ.) จะไม่เดินทางจากไปไหน จนกว่าจะได้อำลาจากท่านหญิงฟาฏิมะฮ์บุตรีของท่านเสียก่อน และทุกครั้งที่กลับจากการเดินทาง บุคคลแรกที่ท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ.) ไปหาเพื่อจะได้พบ คือ ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (อ.)
ท่านจึงกล่าวถึงท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (อ.) ด้วยการให้เกียรติว่า "ฟาฏิมะฮ์ คือก้อนเนื้อของฉัน ใครทำให้นางโกรธ เท่ากับทำให้ฉันโกรธ"
ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์กล่าวว่า "ท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ.) ได้บอกฉันว่า วาระสุดท้ายของท่านกำลังจะมาถึงแล้ว และท่านจะถูกรับเอาชีวิตไปโดยการเจ็บป่วยของท่านคราวนี้ ดังนั้นฉันจึงร้องไห้ ต่อจากนั้น ท่านบอกฉันอีกว่า ฉันจะเป็นบุคคลแรกในบรรดาอะฮ์ลุลบัยต์ที่จะได้เดินทางไปพบกับท่าน"
ก่อนวายชนม์ท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ.) ได้พยายามลุกขึ้นจากที่นอน เพื่อทำการแปรงฟัน เมื่ออับดุรเราะห์มาน น้องชายของท่านหญิงอาอิชะฮ์เข้ามาหาท่าน และได้นำไม้ข่อยที่ใช้แปรงฟันมามอบให้ ก่อนจากไป ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ (ศ.) ได้สั่งเสียในสิ่งที่เป็นความรู้ และข้อเตือนสติ อันลึกซึ้งที่เป็นทางนำ และวิถีชีวิตที่สำคัญยิ่งของมนุษยชาติ ท่านได้สั่งเสียให้ปฏิบัตินมาซ และดูแลข้าบริวาร "พวกเจ้าจงปฏิบัตินมาซ พวกเจ้าปฏิบัตินมาซ และสำหรับข้าบริวารของพวกเจ้า จงให้เรือนร่างของพวกเขาสวมใส่เสื้อผ้า และจงให้ท้องของพวกเขาอิ่มหนำ และจงพูดจากับพวกเขาด้วยวาจาที่ดี"
นั่นคือ นัยยะแห่งความหมายของมนุษย์ที่สมบูรณ์ คือ ต้องทำหน้าที่ต่อพระผู้ทรงสูงสุด และทำหน้าที่ต่อมนุษย์ที่มีฐานะต่ำสุด อย่างดีงามและครบถ้วน
ท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ.) จากไป พร้อมกับการแสดงความห่วงใย และเป็นกังวลต่อประชาชาตินี้ วันที่ ๒๘ เดือนซอฟัร ที่กำลังเวียนมาบรรจบ จึงเป็นอีกวาระหนึ่งที่เราใคร่ขอเชิญชวนประชาชาติอิสลาม ทั้งหลาย ร่วมรำลึกถึงท่านด้วยจิตใจอาวรณ์
ขอขอบคุณเว็บไซต์อะฮ์ลุลบัยต์อะคาเดมี