พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงสูงส่ง ได้ทรงเริ่มต้นอัลกุรอาน บทอัลกอซ็อซ ด้วยเรื่องราวของท่านศาสดามูซา (อ.) (โมเสส) โดยตรัสว่า
نَتْلُو عَلَيْكَ مِن نَّبَإِ مُوسَىٰ وَفِرْعَوْنَ بِالْحَقِّ لِقَوْمٍ يُؤْمِنُونَ إِنَّ فِرْعَوْنَ عَلَا فِي الْأَرْضِ وَجَعَلَ أَهْلَهَا شِيَعًا يَسْتَضْعِفُ طَائِفَةً مِّنْهُمْ يُذَبِّحُ أَبْنَاءَهُمْ وَيَسْتَحْيِي نِسَاءَهُمْ إِنَّهُ كَانَ مِنَ الْمُفْسِدِينَ
“เราจะแถลงแก่เจ้า เกี่ยวกับเรื่องราวบางส่วนของมูซาและฟิรเอาน์ด้วยความจริง เพื่อหมู่ชนผู้ศรัทธา แท้จริงฟิรเอาน์นั้นหยิ่งผยองในแผ่นดิน และทำให้ประชาชนแตกแยกเป็นกลุ่มๆ เขาทำให้ชนกลุ่มหนึ่งในพวกเขาเหล่านั้นอ่อนแอ โดยฆ่าลูกหลานผู้ชายของพวกเขา และไว้ชีวิตบรรดาสตรีของพวกเขา แท้จริงเขาเป็นหนึ่งในหมู่ผู้บ่อนทำลาย”
(อัลกุรอาน บทอัลกอซ็อซ โองการที่ 3 และ 4)
ในโองการนี้ได้อธิบายว่า ฟิรเอาน์ (ฟาโรห์) ได้ก่อการละเมิดและสร้างความเสียหายในหน้าแผ่นดิน เขากระทำการกดขี่ต่าง ๆ อย่างมากมาย และทำให้เผ่าพันธุ์จำนวนมากของอิสราเอลตกอยู่ภายใต้การกดขี่และการอธรรมของเขา บังคับใช้แรงงานพวกเขาด้วยความเข้มงวดเยี่ยงทาส ถึงขั้นที่ว่าเขาจะฆ่าลูกหลานผู้ชายของเผ่าพันธุ์อิสราเอลและไว้ชีวิตสตรีและเด็กผู้หญิงเพื่อใช้เป็นทาสี
จากนั้นพระองค์ทรงเล่าถึงเรื่องราวต่อไปนี้ว่า
وَ نُرِيدُ أَنْ نَمُنَّ عَلَى الَّذِينَ اسْتُضْعِفُوا فِي الْأَرْضِ وَ نَجْعَلَهُمْ أَئِمَّةً وَ نَجْعَلَهُمُ الْوارِثِينَ
“และเราปรารถนาที่จะให้ความโปรดปรานแก่บรรดาผู้ที่อ่อนแอในแผ่นดิน และเราจะทำให้พวกเขาเป็นผู้นำ และทำให้พวกเขาเป็นผู้สืบทอดมรดก (การปกครองในแผ่นดิน)”
(อัลกุรอาน บทอัลกอซ็อซ โองการที่ 5)
โองการนี้เป็นคำมั่นสัญญาและการแจ้งข่าวดีแก่กลุ่มชนผู้อ่อนแอและผู้ถูกกดขี่ โดยที่วันหนึ่งพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงยิ่งใหญ่จะทรงทำให้พวกเขาหลุดพ้นจากความอธรรมและการกดขี่ของฟิรเอาน์ และสิ่งนี้ก็เกิดขึ้นจริง พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงสูงส่งทรงทำให้สัญญาของพระองค์บรรลุผล และทรงช่วยพวกเขาให้รอดพ้นจากฟิรเอาน์ (ฟาโรห์) โดยท่านศาสดามูซา (อ.) (โมเสส)
ในการอรรถาธิบายโองการนี้ ท่านอายะตุลลอฮ์มะการิม ชีราซี ได้ชี้ให้เห็นถึงประเด็นหนึ่งอย่างสวยงาม โดยเขียนว่า “โองการข้างต้นนี้มิได้จำกัดอยู่เฉพาะเรื่องราวและเหตุการณ์ปลีกย่อยที่เกี่ยวข้องกับเผ่าพันธุ์ของอิสราเอลเพียงเท่านั้น แต่ทว่ามันเป็นสิ่งที่อธิบายให้เห็นถึงกฎทั่วไป (และกฎเกณฑ์สากล) สำหรับทุกยุคสมัยและทุกหมู่ชน กฎเกณฑ์สากลจะบอกว่า “เราประสงค์ที่จะให้ความโปรดปรานแก่บรรดาผู้ที่อ่อนแอและถูกกดขี่ในแผ่นดิน และเราจะทำให้พวกเขาเป็นผู้นำ และเป็นผู้สืบทอดอำนาจการปกครองในแผ่นดิน” โองการนี้เป็นการแจ้งข่าวดีเกี่ยวกับชัยชนะของสัจธรรม (ฮักก์) เหนือความเท็จ (บาฏิล) และของความศรัทธา (อีหม่าน) เหนือการปฏิเสธ (กุฟร์) เป็นการแจ้งข่าวดีสำหรับมนุษย์ผู้เป็นเสรีชนและเรียกร้องหารัฐบาลและอำนาจการปกครองที่มีความยุติธรรมและเที่ยงธรรม เป็นการถูกถอนรากถอนโคนความอธรรมและการกดขี่
ตัวอย่างเล็ก ๆ ของการบรรลุความจริงของสัญญาดังกล่าวของพระผู้เป็นเจ้า ก็คืออำนาจการปกครองของเผ่าพันธุ์อิสราเอล (บนีอิสรออีล) และการสิ้นสลายของอำนาจการปกครองของฟิรเอาน์ (ฟาโรห์) และตัวอย่างที่สมบูรณ์ยิ่งกว่านั้นก็คือ อำนาจการปกครองของท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อลฯ) และบรรดาสาวกของท่าน ภายหลังจากการปรากฏตัวขึ้นของศาสนาอิสลาม อำนาจการปกครองของบรรดาผู้อ่อนแอผู้มีความศรัทธาและถูกกดขี่ที่มีจิตใจอันสะอาดบริสุทธิ์ ซึ่งต้องตกอยู่ภายใต้การดูถูกเหยียดหยามและการเย้ยหยัน โดยฟาโรห์และบรรดาผู้ปฏิเสธแห่งยุคสมัยมาโดยตลอด และต้องตกอยู่ภายใต้การบีบครั้น การกดขี่และความอธรรมเสมอมา
รัฐในอุดมคติ (มะดีนะฮ์) อันจำเริญของท่านศาสดา การพิชิตนครมักกะฮ์ และการมีชัยชนะเหนือบรรดาผู้ปฏิเสธ (กุฟฟาร) ได้ถูกกระทำโดยมือของคนกลุ่มนี้ และแน่นอนยิ่งตัวอย่างที่สมบูรณ์ที่สุดของสัญญาของพระผู้เป็นเจ้านี้จะบรรลุความจริงได้ ก็ด้วยกับการปรากฏขึ้นของรัฐบาลโลกที่เป็นสัจธรรมและเปี่ยมไปด้วยความยุติธรรมที่จะปกคลุมทั่วทุกมุมของโลก โดยท่าน “อิมามมะฮ์ดี” (วิญญาณของเราขอพลีแด่ท่าน) โองการนี้คือส่วนหนึ่งจากบรรดาโองการที่แจ้งข่าวดีอย่างชัดเจนถึงการปรากฏขึ้นของรัฐบาลดังกล่าว (1)
ในขณะเดียวกัน ถ้าหากเราย้อนกลับไปดูคำรายงาน (ริวายะฮ์) ต่าง ๆ จากบรรดาอิมาม (อ.) ผู้บริสุทธิ์ที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ เราจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า โองการนี้สอดคล้องโดยตรงกับการปรากฏกาย (ซุฮูร) ของท่านอิมามมะฮ์ดี (อ.ญ.) ท่านเหล่านั้นได้กล่าวว่า จุดประสงค์ของโองการนี้คือการปรากฏขึ้นของรัฐบาลของท่านอิมามมะฮ์ดี (อ.) และการสถาปนาความยุติธรรมด้วยมือของท่าน
ในหนังสือนะฮ์ญุลบะลาเฆาะฮ์ ท่านอิมามอะลี (อ.) ได้กล่าวไว้เช่นนี้ว่า :
لَتَعْطِفَنَّ الدُّنْيَا عَلَيْنَا بَعْدَ شِمَاسِهَا عَطْفَ الضَّرُوسِ عَلَى وَلَدِهَا
“โลกจะยอมโอนอ่อนต่อเรา ภายหลังจากการปฏิเสธของมัน ประหนึ่งดังการโอนอ่อนของอูฐที่ดื้อดึงยอมให้นมแก่ลูกของมัน”
จากนั้นท่านได้อ่านโองการนี้ว่า :
وَ نُرِيدُ أَنْ نَمُنَّ عَلَى الَّذِينَ اسْتُضْعِفُوا فِي الْأَرْضِ وَ نَجْعَلَهُمْ أَئِمَّةً وَ نَجْعَلَهُمُ الْوارِثِينَ
“และเราปรารถนาที่จะให้ความโปรดปรานแก่บรรดาผู้ที่อ่อนแอในแผ่นดิน และเราจะทำให้พวกเขาเป็นผู้นำ และทำให้พวกเขาเป็นผู้สืบทอดมรดก (การปกครองในแผ่นดิน)” (2)
และในคำรายงานอีกบทหนึ่ง ท่านได้อรรถาธิบายโองการนี้ โดยกล่าวว่า :
هُمْ (یعنی مستضعفین) آلُ مُحَمّدٍ (صلوات الله علیهم اجمعین) يَبْعَثُ اللهُ مَهْدِيَّهُمْ بَعْدَ جَهْدِهُمْ فَيُعِزُّهُمْ وَ يُذِلُّ أعَداءَهُمْ
“พวกเขา (หมายถึงบรรดาผู้ถูกกดขี่) คือวงศ์วานของมุฮัมมัด (ซ็อลฯ) อัลลอฮ์จะทรงส่งมะฮ์ดีของพวกเขามา ภายหลังจากความทุกข์ยากของพวกเขา และพระองค์จะทรงทำให้พวกเขามีเกียรติศักดิ์ศรี และจะทรงทำให้บรรดาศัตรูของพวกเขาพบกับความอัปยศอดสู” (3)
ทำนองเดียวกันนี้ ท่านอิมามซัยนุลอาบิดีน (อ.) ได้กล่าวไว้เช่นเดียวกันว่า :
وَ الَّذِي بَعَثَ مُحَمَّداً بِالْحَقِّ بَشِيراً وَ نَذِيراً إِنَّ الأَبْرَارَ مِنَّا أَهْلَ الْبَيْتِ وَ شِيعَتَهُمْ بِمَنْزِلَةِ مُوسَى وَ شِيعَتِهِ وَ إِنَّ عَدُوَّنَا وَ شِيعَتَهُمْ بِمَنْزِلَةِ فِرْعَوْنَ وَ أَشْيَاعِه.
“ขอสาบานต่อพระผู้ทรงแต่งตั้งมุฮัมมัดมาด้วยสัจธรรม เพื่อเป็นผู้แจ้งข่าวดีและเป็นผู้ตักเตือน แท้จริงบรรดาผู้มีคุณธรรมจากเราอะฮ์ลุลบัยติ์และชีอะฮ์ (ผู้ปฏิบัติตาม) ของพวกเขานั้น อยู่ในฐานะของมูซาและชีอะฮ์ (ผู้ปฏิบัติตาม) เขา และแท้จริงศัตรูของเราและผู้ที่ปฏิบัติตามของเขาอยู่ในฐานะของฟิรเอาน์และผู้ที่ปฏิบัติตามเขา” (ท้ายที่สุดเราจะเป็นผู้ชนะและพวกเขาจะพินาศ และอำนาจการปกครองแห่งสัจธรรมและความยุติธรรมจะเป็นของเรา) (4)
แน่นอนยิ่ง สิ่งนี้ก็คือคำสัญญาที่ท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อลฯ) ได้กล่าวไว้เกี่ยวกับมันว่า :
وَ الَّذِي بَعَثَنِي بِالْحَقِّ نَبِيّاً لَوْ لَمْ يَبْقَ مِنَ الدُّنْيَا إِلَّا يَوْمٌ وَاحِدٌ لَأَطَالَ اللَّهُ ذَلِكَ الْيَوْمَ حَتَّى يَخْرُجَ فِيهِ وَلَدِي الْمَهْدِيُّ فَيَنْزِلَ رُوحُ اللَّهِ عِيسَى ابْنُ مَرْيَمَ ع فَيُصَلِّيَ خَلْفَهُ وَ تُشْرِقَ الْأَرْضُ بِنُورِ رَبِّها وَ يَبْلُغَ سُلْطَانُهُ الْمَشْرِقَ وَ الْمَغْرِبَ
“ขอสาบานต่อพระผู้ทรงแต่งตั้งฉันมาเป็นศาสดาด้วยสัจธรรม มาตรว่าไม่มีเวลาเหลืออยู่ในโลกนี้แม้แต่เพียงวันเดียว แน่นอนอัลลอฮ์ก็จะทรงทำให้วันนั้นยืนยาวจนกว่ามะฮ์ดีบุตรชายของฉันจะปรากฏตัวขึ้นในวันนั้น โดยที่รูฮุลลอฮ์ อีซาบุตรของมัรยัม (อ.) จะลงมาและนมาซตามหลังเขา และแผ่นดินจะสว่างไสวไปด้วยรัศมีแห่งองค์พระผู้อภิบาลของมัน และอำนาจการปกครองของเขาจะครอบคลุมไปยังทิศตะวันออกและทิศตะวันตก” (5)
พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงสูงส่งจะไม่ทรงบิดพลิ้วในคำมั่นสัญญาของพระองค์อย่างแน่นอน ด้วยเหตุผลดังกล่าวนี้ วันหนึ่งจะมาถึงซึ่งเป็นวันที่ท่านอิมามมะฮ์ดี (อ.ญ.) จะปรากฏตัวขึ้นมาเพื่อพิชิตโลกนี้ จะมาปราบปรามบรรดาศัตรูของอิสลามและศัตรูของอะฮ์ลุลบัติ์ (อ.) และจะทำให้โลกเต็มไปด้วยความยุติธรรมและความเที่ยงธรรม เหมือนดังที่มันได้เคยเต็มไปด้วยความอธรรมและการกดขี่
เชิงอรรถ :
(1) ตัฟซีรนะมูเนะฮ์, เล่มที่ 16, หน้าที่ 18
(2) นะฮ์ญุลบะลาเฆาะฮ์, กะลิมาตุ้ลกิซ๊อร 209
(3) อัลฆ็อยบะฮ์, เชคฏูซี, หน้าที่ 184
(4) บิฮารุ้ลอันวาร, เล่มที่ 24, หน้าที่ 167
(5) บิฮารุ้ลอันวาร, เล่มที่ 51, หน้าที่ 72
แปล/เรียบเรียง : เชคมุฮัมมัดนาอีม ประดับญาติ