เตาฮีด (ความเป็นเอกะของพระผู้เป็นเจ้า) ตอนที่ 20
Email
0 ทัศนะต่างๆ 0.0 / 5
บทความต่างๆ ›
หลักศรัทธา ›
หลักศรัทธา ›
หลักศรัทธา
จัดพิมพ์ใน
2017-01-31 13:00:56
ผู้เขียน:
ฮุจญตุลอิสลาม ซัยยิดสุไลมาน ฮุซัยนี
บทเรียนอูศูลุดดีน (รากฐานของศาสนา)
เตาฮีด (ความเป็นเอกะของพระผู้เป็นเจ้า) ตอนที่ 20
ความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องเกาะฎอ และเกาะดัรของอัลลอฮ์(ซบ) ถูกแบ่งออกเป็นสามกลุ่มหลักๆดังนี้
1.อะชาอิเราะฮฺเข้าใจเรื่อง เกาะฎอ และเกาะดัรแบบ “ญับร์”
“ญับร์” คือ ความเชื่อว่า มนุษย์ไม่มีสิทธ์เลือกทำอะไรเลย ทุกสิ่งทุกอย่างอัลลอฮ์ (ซบ) เป็นผู้กำหนดเอง
“อาชาอิเราะฮ์” เชื่อว่า เมื่อทุกสิ่งทุกอย่าง พระองค์เป็นผู้ทรงกำหนดโดยที่มนุษย์ไม่มีสิทธิ์เข้าไปเกี่ยวข้องใดๆได้ เมื่อเชื่อแบบนี้พวกเขาก็นำไปสู่การปฏิเสธสิทธิ์ในการเลือกของมนุษย์ (อิคติยาร) พวกเขาเชื่อว่ามนุษย์ไม่มีสิทธิเลือกทำอะไร ถ้าหากจะได้อะไร เดี่ยวพระองค์ก็จะให้เอง พวกเขาดำเนินชีวิตไปตามยถากรรม ในชีวิตอย่างที่ไม่มีการกระตือรือร้นขนขวายแต่อย่างใด
ดังนั้น เมื่ออะชาอิเราะฮ์มีทัศนะปฏิเสธ “อิคติยาร” (สิทธิและความอิสระในการเลือก) ความคิดริเริ่มในการเปลี่ยนแปลงสิ่งใดสิ่งหนึ่งก็ไม่เกิดขึ้น เพราะเมื่อพวกเขาเชื่อว่า หากจะมีอะไรเกิดขึ้น พระผู้เป็นเจ้าก็จะบันดาลให้เอง สมมุติว่า บุคคลหนึ่งจะร่ำรวยขึ้นมา พระองค์ก็จะบันดาลให้บุคคลนั้นร่ำรวยขึ้นมาเอง
ในเมื่อ “อะชาอิเราะฮ์” ปฏิเสธสิทธิ์ในการเลือกของมนุษย์(อิคติยาร) เราจะพิสูจน์ถึงการมีอยู่ของสิทธิ์และอิสระในการเลือกของมนุษย์ ด้วยความรู้ แบบ ฮูซูรี (علم الحضوري)คือ ความรู้โดยตัวตนของมนุษย์เองว่า เขามีสิทธิในการเลือก ความรู้ที่มนุษย์รู้ได้ด้วยตัวเอง เป็นความรู้ที่อยู่ด้านในเป็นความรู้ที่ไม่ต้องมีใครบอกกล่าวสั่งสอน เช่น การรับรู้ถึงความรู้สึกต่างๆของมนุษย์เอง เช่น ความสุข ความสงบ ความเศร้าโศกเสียใจ ความเบิกบาน เรารับรู้ความรู้สึกต่างๆเหล่านี้ด้วยตัวเราเองว่า มันมีอยู่จริง และในเรื่องของ “อิคติยาร”(อิสะเสรีในการเลือก)ก็เช่นกัน มนุษย์รับรู้ได้ว่า เขามีสิทธิในการเลือก เช่น เมื่อเข้าสู่วัยที่สมควรต่อการแต่งงาน ไม่มีใครมาบังคับให้เขาแต่งงานกับใคร หรือกำหนดวันเวลาในการแต่งงาน หรือมนุษย์โดยตัวของเขาเองนั้น เขารู้ว่าเขามีสิทธิ์เลือกในการกระทำสิ่งต่างๆ เช่น เขาเลือกเองในการที่จะเรียนด้านศาสนาหรือเรียนด้านอื่นๆ ทั้งหมดล้วนมาจากการเลือกอย่างเสรี(อิคติยาร)ของมนุษย์เอง
โดยตัวตนมนุษย์รู้ว่า เขามีสิทธิ์ทำสิ่งต่างๆ แต่บางครั้งการที่มนุษย์ไม่สามารถทำในบางสิ่งบางอย่างได้ ไม่ได้หมายความว่า เขาไม่มีสิทธิ์ที่จะเลือก เขามีสิทธิ์ที่จะเลือก เพียงแต่เขาไม่มีความสามารถเพียงพอ เขายังไม่เข้มแข้งพอในการทำสิ่งนั้นๆ
อีกข้อสงสัยหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับสิทธิ์ในการเลือกของมนุษย์ ข้อสงสัย ข้อโต้แย้งที่ว่า สภาพแวดล้อม พันธุกรรม อาหาร และสิ่งอื่นๆสิ่งต่างๆเหล่านี้ต่างหากที่มีผลในการเลือกของมนุษย์ โดยตัวตนของมนุษย์เขาไม่ได้มีสิทธิ์ในการเลือกใดๆ ข้อสงสัยต้องการที่จะบอกว่า ปัจจัยภายนอกต่างหากที่ทำให้มนุษย์เลือกทำสิ่งต่างๆ ไม่ใช่มาจากตัวของมนุษย์เอง สมมุติตัวอย่างเช่น คนที่สามารถบริจาคได้เพราะพ่อแม่ของเขาปลูกฝังมา เขาเติบโตมาในครอบครัวที่ดีครอบครัวที่ให้ความสำคัญกับการบริจาคเขาจึงบริจาคได้ ไม่ใช่ว่าเขาเลือกที่จะบริจาคเอง เพราะเขามีพันธุกรรมที่ดี
คำตอบในข้อสงสัยนี้ก็คือ สิทธิ์ในการเลือกนั้นมันอยู่ในความเป็นมนุษย์ทุกคน ในความเป็นจริง เราจะพบว่าในสังคมที่ชั่ว ก็มีคนดีอยู่และในสังคมที่ดีก็มีคนไม่ดีอยู่ ในครอบครัวที่ดีก็มีคนไม่ดีอยู่ และในครอบครัวที่ไม่ดีก็มีคนที่ดีอยู่ ถ้าหากบอกว่า สภาพแวดล้อมมีผลอย่างสมบรูณ์ต่อชีวิตต่อสิทธิ์ในการเลือกของมนุษย์แล้วเราก็จะไม่พบคนดีในสังคมที่ชั่วร้ายและเราก็จะไม่พบคนชั่วในสังคมที่ดี มีตัวอย่างอีกมากมาย ชี้ให้เห็นว่ามนุษย์มีสิทธิ์ในการเลือก แต่ในบางครั้งการเลือกเป็นคนดีในบางสังคมนั้น ต้องใช้ความอดทนอย่างสูง คนที่อ่อนแอก็คล้อยตามสังคมนั้นไป คนที่เข้มแข้งก็สามารถเป็นคนดีได้ในสังคมที่ชั่ว ยิ่งการเป็นคนดียากลำบากมากเท่าไรผลตอบแทนรางวัลก็มากขึ้นเช่นกัน ดังนั้น สรุปได้ว่า โดยตัวของมนุษย์เอง เขารู้ว่า เขามีสิทธิ์เลือกในการทำสิ่งต่างๆได้ สภาพแวดล้อมมีผลแค่เพียงส่วนหนึ่งของสิทธิในการเลือกของมนุษย์
2.มุอ์ตะซิละฮ์ เข้าใจ เกาะฎอ และเกาะดัรแบบ “ตัฟวีฎ”
“ตัฟวีฎ” คือ ความเชื่อที่ตัดขาดจากอำนาจการอภิบาลของอัลลอฮ์(ซ.บ) มนุษย์มีเจตนารมณ์เสรีในการเลือก (อิคติยาร)อย่างสมบรูณ์ ไม่ต้องพึ่งพิงพระผู้เป็นเจ้าแต่อย่างใด เชื่อว่า ถ้าหากมนุษย์ทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดแล้ว มันต้องประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน ปฏิเสธการเป็นผู้กำหนดผลของการกระทำของอัลลอฮ์(ซ.บ) เมื่อพระองค์สร้างมนุษย์เสร็จแล้ว พระองค์จะไม่ยุ่งเกี่ยวใดๆอีก พระองค์ไม่ได้เข้ามาแทรกแซงในการกระทำของมนุษย์ แต่หากเราพิจารณาตามความเป็นจริงแล้ว เหตุการณ์หรือผลลัพธ์ต่างๆที่เกิดขึ้นนั้น แม้บางสิ่งบางอย่างที่มนุษย์เลือกกระทำเองแล้วและตั้งใจกระทำอย่างดี แต่ผลลัพธ์ในสิ่งนั้นกลับยังไม่เกิดขึ้น หรือยังไม่ได้รับผลจากการกระทำนั้นๆตามที่หวังมีให้อย่างมากมาย เช่น สมมุติว่าบุคคลหนึ่ง ขยันขันแข็งในการทำงานอย่างหนักเพื่อหวังความมั่งคั่งทางเศษฐกิจ แต่เขาอาจยังคงยากจนอยู่เหมือนเดิม ไม่ร่ำรวยเหมือนบางคน หากพิจารณาจากตรรกะทั่วไป เหตุเป็นเช่นใดผลของของมันย่อมเป็นเช่นนั้น แต่ข้อเท็จจริงในชีวิตมนุษย์กลับไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไป
กรณีข้อสมมุติข้างต้น บุคคลที่ทำงานหนักทุกคนกลับไม่ใช่บุคคลที่ร่ำรวยทุกคน เราจึงเห็นได้ว่าความเชื่อว่ามนุษย์มีเจตนารมณ์เสรีในการเลือกและรับผลของมันเองอย่างสมบูรณ์ โดยพระเจ้าไม่ได้เข้าแทรกแซงใดๆ จึงเป็นทัศนะที่ขัดแย้งกับความเป็นจริง เป็นความเชื่อที่ไม่ถูกต้อง ทั้งนี้กลับทำให้ มนุษย์สามารถรับรู้ได้ว่า อำนาจในการเลือกและผลของมันนั้น แท้จริงไม่ได้ขึ้นอยู่กับเจตนาของมนุษย์เพียงฝ่ายเดียว เพราะอำนาจที่แท้จริงนั้นเป็นของพระองค์ผู้ทรงอภิบาล ทรงควบคุมและทรงอยู่เบื้องหลังปรากฏการณ์ต่างๆเหล่านั้น
3.ชีอะฮ์ ความเชื่อของแนวทางชีอะห์ ซึ่งเป็นทัศนะที่เป็นทางสายกลาง
จากฮะดิษของอิมามศอดิก(อ) ในบิฮารุลอันวาร เล่มที่ 4 หน้าที่ 197
"لا جبر ولا تفویض بل أمر بین الأمرین
“ไม่ใช่ทั้งญับร์ (กลุ่มที่ปฏิเสธสิทธิ์เสรีในการเลือกของมนุษย์) และไม่ใช่ทั้งตัพวีฎ (กลุ่มที่เชื่อว่ามนุษย์มีสิทธิเสรีในการเลือกโดยที่พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆกับการงานของเขาอีก) แต่ทว่ามันคือเรื่องหนึ่งที่อยู่ระหว่างมันทั้งสอง”
กล่าวคือ การเชื่อว่ามนุษย์มีสิทธิ์ในการเลือก(อิคติยาร)ในการกระทำสิ่งต่างๆพร้อมรับการเชื่อว่าพระองค์เป็นผู้กำหนดผลของการเลือกของเขา พระองค์เป็นผู้ประทานความสำเร็จ ในสิ่งที่มนุษย์เลือกทำ
แนวคิดนี้ได้ปฏิเสธทัศนะที่สุดโต่งของสองกลุ่มข้างต้น โดยอธิบายว่า มนุษย์มีเจตนารมณ์เสรีในการเลือก (อิคติยาร) ในการกระทำใดๆที่อยู่ภายในกรอบของศาสนา แต่ผลของการเลือกนั้นจะเกิดขึ้นหรือเป็นเช่นใด ขึ้นอยู่กับการควบคุมอภิบาลและพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า ตัวอย่างเช่น บุคคลหนึ่งมีความขยันมั่นเพียรในการทำงาน แต่พวกเขาก็จะไม่สามารถที่กล่าวอย่างมั่นใจว่าจะประสบความสำเร็จ เพราะความสำเร็จหรือไม่สำเร็จนั้น พระองค์คือผู้ประทานให้ มนุษย์จึงทำได้เพียงเลือกกระทำหรือไม่กระทำเท่านั้น แต่โดยทั่วไปแล้ว พระองค์จะให้เกิดขึ้นตามตรรกะและเหตุผล โดยวิถีทางธรรมชาติของโลก มนุษย์ส่วนมากจึงลืมบทบาทของพระองค์
ชีอะฮ์เชื่อว่าก่อนที่ เกาะฎอ และเกาะดัร จะเกิดขึ้นได้นั้น มันต้องมีปฐมเหตุ (มุก็อดดิมะฮ์) ของมันก่อน อยู่เฉยๆแล้วเกิดขึ้นเลยนั้นเป็นไปไม่ได้ แต่ละปฐมเหตุ(มุก็อดดิมะฮ์)ก็จะนำไปสู่เกาะฎอ และเกาะดัร ที่แตกต่างกันไป เมื่อปฐมเหตุ(มุก็อดดิมะฮ์)เปลี่ยน เกาะฎอ และเกาะดัร ของมันก็จะเปลี่ยนตามไปด้วย
เช่น ปฐมเหตุของการเกิดขึ้นของมนุษย์ ต้องผ่านการแต่งงาน ต้องผ่านการปฏิสนธิ ต้องได้รับอาหาร ต้องได้รับปัจจัยต่างๆอย่างมากมาย ต้องผ่านขั้นตอนต่างๆอย่างมากมายและสุดท้ายจะเกิดเป็นมนุษย์ได้หรือไม่ได้นั้นอยู่ที่การทำคลอด ถ้ารอดชีวิตมาได้ก็ออกมาเป็นมนุษย์ แต่ถ้าไม่รอดชีวิตก็จบลง เกาะฎอ และเกาะดัรของพระองค์นั้นมีขั้นตอน สถานที่ มีเวลา แต่ผลของการกระทำต่างๆเป็นสิทธิ์ของพระองค์ในการกำหนดจะให้เกิดหรือไม่ให้เกิด มนุษย์มีสิทธิ์แค่เลือกในการทำ ปฐมเหตุต่างๆ พระองค์จะกำหนดไปตามปฐมเหตุที่มนุษย์เลือก พระองค์จะให้ประสบความสำเร็จหรือไม่ให้ประสบความสำเร็จนั้นขึ้นอยู่กับพระประสงค์พระองค์ และทุกสิ่งทุกอย่างที่พระองค์ให้เกิดขึ้นนั้นมีวิทยปัญญา(ฮิกมะฮ์)ซ่อนอยู่
เช่น ถ้ามนุษย์ อยากรวยขั้นตอนแรก เขามีสิทธ์ที่เลือกปฐมเหตุที่นำไปสู่ความรวย คือการทำงาน ต้องขยัน ส่วนเขาจะรวยหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับการเกาะฎอ และเกาะดัรของพระองค์ ไม่ใช่อยากรวยแล้วไม่ทำอะไรเลย อยู่เฉยๆ ถ้าพระองค์กำหนดให้เขารวย เดี่ยวเขาก็รวยเอง ความเชื่อแบบนี้นั้นไม่ถูกต้อง และเช่นกันเมื่อเขาทำงาน ตั้งใจขยันแล้วก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะรวยร้อยเปอร์เซ็นต์อย่างแน่นอนเลย จะรวยหรือไม่รวยนั้นขึ้นอยู่กับการกำหนดของพระองค์ และในเรื่องอื่นๆก็เช่นเดียวกัน มนุษย์มีสิทธิ์แค่เลือกทำปฐมเหตุ ในการนำไปสู่ความรวย แต่โดยส่วนใหญ่แล้ว ผลของมันจะเกิดไปตามปฐมเหตุนั้นๆ เว้นแต่ บางครั้งพระองค์ไม่ให้เกิด มันมีวิทยปัญญา(ฮิกมะฮ์)ซ่อนอยู่ บางครั้งอาจหมายถึง ถ้าพระองค์ให้สิ่งนั้นกับเขา จะส่งผลในความปลอดภัยต่อความศรัทธาของเขา หรืออื่นๆ เพราะพระองค์รู้ว่า การไม่ให้นั้นมีผลดีมากกว่าต่อเขา(รายละเอียดอย่างสมบูรณ์ของเรื่องนี้จะนำเสนอในหัวข้ออาเดล ความยุติธรรมของพระผู้เป็นเจ้า)
รายละเอียดอื่นๆเกี่ยวกับ เกาะฎอ และเกาะดัร
เกาะฎอ และเกาะดัรอิลมี คือ ความรู้ของพระองค์เกี่ยวกับปฐมเหตุ(มุก็อดดิมะฮ์) ในการเกิดขึ้นของสรรพสิ่งต่างๆ และเป็นความรู้ที่แน่นอน ถูกต้อง ไม่มีความผิดพลาด พระองค์ทรงรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้างในอนาคต พระองค์ทรงรู้ว่า ปฐมเหตุ(มุก็อดดิมะฮ์)ต่างๆเหล่านั้น ตั้งแต่ในตอนที่สิ่งนั้นยังไม่ถูกทำให้เกิดขึ้น
“เกาะฎอ และเกาะดัรอัยนี” คือ การตัดสินให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นตามลำดับขั้นตอนต่างๆของสิ่งนั้นๆ หรือตัดสินไม่ให้เกิดขึ้น บนพื้นฐานความรู้ของพระองค์ในปฐมเหตุต่างๆ ซึ่งเป็นสิทธิ์ของพระองค์แต่เพียงผู้เดียว
ขอขอบคุณสถาบันศึกษาศาสนาอัลมะฮ์ดี