ไทยแลนด์
Sunday 28th of April 2024
0
نفر 0

เตาฮีด (ความเป็นเอกะของพระผู้เป็นเจ้า) ตอนที่ 15

เตาฮีด (ความเป็นเอกะของพระผู้เป็นเจ้า) ตอนที่ 15

บทเรียนอูศูลุดดีน (รากฐานของศาสนา)


เตาฮีด (ความเป็นเอกะของพระผู้เป็นเจ้า) ตอนที่ 15


ความจำเป็นที่มนุษย์ต้องการพระเจ้า

ดังที่กล่าวไปแล้วว่า ผล(มะอ์ลูล) ต้องการเหตุ (อิลลัต) อันเป็นปฐมเหตุ มนุษย์ก็ต้องการพระผู้เป็นเจ้า
ซึ่งอัลกุรอานมิได้กล่าวถึงเรื่องนี้ไว้โดยตรง แต่มีโองการจำนวนหนึ่งที่หมายถึง ความจำเป็นของสรรพสิ่งที่ต้องพึ่งพิงไปยังพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งก็คือ ความจำเป็นที่มุมกินุลวูญูดต้องพึ่งพิงไปยังวาญิบุลวูญูด


ในซูเราะฮ์ ฟาฏิร โองการที่ 15


يَأَيهَُّا النَّاسُ أَنتُمُ الْفُقَرَاءُ إِلىَ اللَّهِ وَاللَّهُ هُوَ الْغَنىِ‌ُّ الْحَمِيد


“โอ้มนุษย์ทั้งหลาย! พวกเจ้านั้นมีความจำเป็นต้องพึ่งพิงไปยังอัลลอฮ์ (ซบ) ในขณะที่พระองค์นั้นไม่มีความจำเป็นต้องพึ่งพาสิ่งใดและพระองค์นั้นควรค่าต่อการสรรเสริญ”

 

เป็นที่ชัดเจนว่า คำว่า “ฟักร์” (ไม่เพียงพอ ต้องพึงพิ่งสิ่งอื่น) ในโองการดังกล่าวมีความหมายที่กว้างขว้าง ความหมายหนึ่งของโองการดังกล่าวรวมไปถึงความจำเป็นที่สรรพสิ่งต้องพึ่งพิงไปยังพระองค์ ซึ่งความสัมพันธ์ที่สำคัญที่สุดคือ ความสัมพันธ์ในเรื่องการเกิดขึ้นของสรรพสิ่งที่ต้องพึ่งพิงไปยังพระองค์ ซึ่งก็คือความสัมพันธ์ในการมีของมุมกินุลวูญูดที่ต้องพึ่งพิงไปยังวาญิบุลวูญูด

 

คุณลักษณะที่ไม่มีอยู่ใน”วาญิบุลวูญูด” (พระผู้เป็นเจ้า) คือ ซิฟัตซัลบียะฮฺ


จะต้องไม่มีการ “ตัรกีบ” ไม่มีการประกอบขึ้นมา เพราะถ้าถูกประกอบแสดงว่าต้องมีผู้ที่ประกอบขึ้นมาถ้ามีผู้ประกอบก็แสดงว่ามันมี “อิลลัต” (ปฐมเหตุ) ของมัน ก็เท่ากับว่ามันเป็น”มะลูล”(ผล) ซึ่งเป็นสิ่งที่เพิ่งมีขึ้นมาใหม่ เป็น”วาญิบุลวูญูด”ไม่ได้ จะเป็น”วาญิบุลวูญูด” ได้นั้น คุณลักษณะคือ ต้องมีมาแต่เดิม มีด้วยตัวเอง มีอยู่ตลอดไป ดังนั้นการประกอบกันขึ้นมานั้นแสดงว่าสิ่งนั้นเพิ่งเกิดขึ้นมา


เมื่อ”วาญิบุลวูญูด” คือสิ่งที่ไม่ได้เกิดขึ้นมาจากการประกอบ มันจึงไม่ใช่วัตถุ เพราะวัตถุทั้งหมดในโลกนี้เกิดขึ้นมาจากการประกอบ เป็นการตัรกีบ” สิ่งที่เกิดขึ้นมาจากประกอบจากสิ่งต่างๆ อย่างน้อยต้องประกอบมาจากสิ่งสองสิ่งจึงจะเป็นวัตถุได้ ไม่มีวัตถุใดที่เกิดขึ้นมาได้โดยไม่ได้ประกอบ เช่น “ไฟ” ประกอบมาจาก ออกซิเจน คาร์บอน ไนโตรเจน และในออกซิเจน และ ไนโตรเจน มันก็มีส่วนประกอบอื่นๆของมันอีก หรือตัวอย่างของ โมเลกุล โมเลกุลเกิดจากการรวมตัวของล้านๆอะตอม อะตอมเกิดจากการรวมตัวของล้านๆโปรตอน โปรตอนเกิดจากการรวมตัวของล้านๆ อิเล็กตรอน อิเล็กตรอนเกิดจากการรวมตัวของล้านๆนิวเคลียส นิวเคลียสก็เกิดจากการรวมตัวของล้านๆควากและในอนาคตนักวิทยาศาสตร์ก็จะค้นพบสิ่งอื่นๆไปอีกเรื่อยๆ เห็นว่าวัตถุไม่พ้นไปจากการประกอบ แต่ว่า”วาญิบุลวูญูด” ไม่ได้ประกอบกันขึ้นมา เมื่อไม่ได้ประกอบกันขึ้นมาก็ไม่ใช่วัตถุ
เมื่อมันไม่ใช่วัตถุมันจึงไม่มีรูปร่าง เพราะคุณลักษณะของวัตถุคือมีรูปร่าง โมเลกุลก็มีรูปร่าง โปรตอน อิเล็กตรอน นิวเคลียส ควาก ก็มีรูปร่างของมัน ไม่มีวัตถุใดที่ไม่มีรูปร่าง
เมื่อไม่ได้ประกอบกันขึ้นมา ไม่ได้เป็นวัตถุ ไม่มีรูปร่าง ก็เท่าว่าไม่ต้องการที่อยู่ ไม่ต้องการเวลาและสถานที่ มันอยู่เหนือกฎของเวลาและสถานที่ จึงเป็นที่มาของคำว่า “อะซะลี” และ “อะบะดี” คือมีอยู่แต่เดิมและดำรงอยู่ตลอดไป


เมื่อปฏิเสธเวลา ก็คือ เท่ากับการปฏิเสธการเคลื่อนไหวและการเปลี่ยนแปลง เพราะทุกการเคลื่อนไหวและเปลี่ยนแปลงอยู่ภายใต้กฎของเวลา เห็นได้ว่าทุกๆวัตถุนั้นมีการเคลื่อนไหวและเปลี่ยนแปลงอยู่ โมเลกุล โปรตอน อิเล็กตรอน ก็มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ เหตุผลของการเปลี่ยนแปลงก็เพื่อการพัฒนาไปสู่ความสมบรูณ์ เช่นยกตัวอย่าง เมล็ดพันธ์ ถ้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงสุดท้ายมันก็เน่าเสีย การเปลี่ยนแปลงของเมล็ดพันธ์คือกการพัฒนาไปสู่ความเป็นต้นไม้ ไปสู่ความสมบรูณ์ของมัน ซึ่งในขณะที่มันเปลี่ยนแปลงไปสู่ความสมบรูณ์ของมัน มันก็กำลังเปลี่ยนแปลงไปสู่การเสื่อมสลายของมันด้วย นี้คือลักษณะของวัตถุทั้งหมด ในขณะที่มันพัฒนาไปสู่ความสมบรูณ์ มันก็กำลังพัฒนาไปสู่การสูญสิ้นด้วย ตัวอย่างของต้นไม้ เมื่อมันให้ดอกสวยงามที่สมบรูณ์แล้ว เวลาผ่านไปก็เริ่มเหี่ยวเฉาหมดอายุและสูญสิ้นไป แต่ทว่า”วาญิบุลวูญูด” หรือพระผู้เป็นเจ้าไม่มีคุณลักษณะเช่นนี้ พระองค์ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ เป็นแบบไหนมาวันนี้ก็ยังเป็นแบบนั้นอยู่และอนาคตก็เป็นเช่นนั้น เพราะว่า”วาญิบุลวูญูด” หรือพระผู้เป็นเจ้า สมบรูณ์ (ตะกามุล) อยู่แล้วไม่ต้องการการเปลี่ยนแปลงและการพัฒนาไปสู่ความสมบรูณ์ใดๆอีก


จากความเข้าใจในคุณลักษณะที่ไม่มีอยู่ในวาญิบุลวูญูดหรือพระผู้เป็นเจ้านั้น สามารถทำให้เราเข้าใจโองการอัลกุรอานจำนวนหนึ่งได้อย่างถูกต้อง ซึ่งแตกต่างจากลัทธิวะฮาบีย์ที่อรรถาธิบายลักษณะของพระองค์เหมือนกับว่าพระองค์ก็เป็นวัตถุ เช่นบางโองการที่กล่าว่า “พระองค์นั่งอยู่บนบัลลังก์” หรือโองการในซูเราะฮ์ฟัจร์ โองการที่ 22


وَجَاءَ رَبُّكَ وَالْمَلَكُ صَفًّا صَفًّا
 

“และพระผู้อภิบาลของเจ้าและมาลาอิกะฮ์มากันเป็นแถวๆ”


ซึ่งวะฮาบีย์อธิบายเหมือนกับการเดินของวัตถุถึงขั้นที่อิบนิตัยมียะห์ได้ลุกขึ้นจากมิมบัรเดินลงมาจากมิมบัรเมื่อถูกถามว่าอัลลอฮ์เสด็จลงมาแบบไหนแล้ว ตอบว่าลงมาแบบนี้จนนำสู่ความเชื่อว่า อัลลอฮ์มีมือมีเท้าผมหยักโศก(นาอูซูบิลละห์) เหตุผลที่เกิดความเชื่อแบบนี้ เพราะคนกลุ่มนี้ห้ามเรียนวิชาปรัชญาและห้ามการตีความอัลกุรอาน เมื่อเจอโองการที่กล่าวว่า อัลลอฮ์มีมือก็ให้เชื่อว่าคือมือที่เหมือนมนุษย์ ห้ามตีความเป็นอย่างอื่น ดังนั้น เมื่อเราเข้าใจในเนื้อข้างต้น ก็จะนำเราเข้าสู่การเข้าใจอัลกุรอานได้อย่างถูกต้อง เมื่อเราเข้าใจแล้วว่า พระองค์ ไม่ได้มาจาการประกอบกัน ไม่ใช่วัตถุ ไม่มีรูปร่าง ไม่ต้องการเวลาและสถานที่ ไม่ต้องการการเคลื่อนไหวแบบวัตถุเพื่อไปสู่ความสมบูรณ์ใดอีก ดังนั้นโองการต่างในลักษณะนี้ก็ไม่ได้หมายถึงพระองค์ทรงนั่งอยู่บนบัลลังก์แบบวัตถุ ไม่ได้หมายถึงการเคลื่อนไหวเหมือนกับการเคลื่อนไหวของวัตถุ การเคลื่อนไหวทางวัตถุ คือ การย้ายจากที่หนึ่งไปสู่อีกที่หนึ่ง ซึ่งอยู่ภายใต้กฎของเวลา ซึ่งเราได้อธิบายไปแล้วว่าพระองค์อยู่เหนือกาลเวลา

 

 

ขอขอบคุณสถาบันศึกษาศาสนาอัลมะฮ์ดี

0
0% (نفر 0)
 
نظر شما در مورد این مطلب ؟
 
امتیاز شما به این مطلب ؟
اشتراک گذاری در شبکه های اجتماعی:

latest article

แบบอย่างความรัก ความเมตตา ...
...
...
...
ปรัชญาการละหมาดในอิสลาม
ท่านหญิงคอดีญะฮฺ บินติคุวัยลิด ...
...
...
บทเรียนจากอาชูรอถึงอัรบะอีน
...

 
user comment