จากการศึกษาประวัติศาสตร์เราจะพบว่า ในยุคสมัยก่อนนั้นผู้หญิงถูกมองเป็นทรัพย์สินสมบัติอย่างหนึ่ง ผู้หญิงเคยถูกซื้อถูกขายราวกับเป็นทรัพย์สมบัติหรือสัตว์เลี้ยง ชาวอาหรับไร้การศึกษาในยุคก่อนอิสลามถือว่าผู้หญิงเป็นสาเหตุของความโชคร้ายและฝังทารกหญิงไร้เดียงสาทั้งเป็น แต่อิสลามได้ประกาศว่าการตัดสินและความคิดเช่นนั้นเป็นสิ่งที่ผิดและไร้เหตุผล ท่านศาสดา(ศ.) ได้ต่อสู้กับแนวคิดผิดเพี้ยนเหล่านี้อย่างรุนแรง ท่านถือว่าผู้หญิงก็เป็นมนุษย์เช่นเดียวกันกับผู้ชาย และผู้หญิงก็มีสิทธิด้านมนุษยธรรม เสรีภาพ และสังคมเช่นเดียวกัน ไม่มีใครมีสิทธิ์ที่จะเหยียดหยามหรือดูหมิ่นผู้หญิง
น่าเศร้าใจอย่างยิ่ง แม้จนกระทั่งถึงทุกวันนี้ สังคมตะวันตกและนายทุนทั้งหลายยังเข้าใจกันว่าผู้หญิงคือช่องทางของความบันเทิงและเวลาที่ผ่านไป ตรงกันข้าม ผู้หญิงในประเทศมุสลิมบางประเทศก็ถูกกีดกันจำกัดสิทธิ์ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ขัดแย้งกับกฎหมายอิสลามเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น พวกเธอไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าโรงเรียนหรือไปห้องสมุด พวกเธอไม่มีความสัมพันธ์และเกี่ยวข้องใดๆ กับสังคม
ความเชื่อแบบผิดๆ และเหลวไหลเช่นนั้นค่อยกลายเป็นความเชื่อแบบฝังหัวไปทีละน้อย และผลักดันให้ผู้หญิงเข้าไปอยู่ในถ้ำของความโง่เขลาและกะลาแห่งความมืด นี่คือเหตุผลอย่างแท้จริงที่ทำให้เมื่อมีการป่าวร้องคำขวัญเกี่ยวกับเสรีภาพของสตรีขึ้นมา ผู้หญิงจึงไม่สามารถรับรู้และเข้าใจได้อย่างแท้จริงว่าเสียงนั้นคืออะไร? มันเริ่มต้นมาจากที่ไหน? และความหมายที่แท้จริงของคำขวัญนั้นคืออะไร?
ด้วยเหตุนี้เอง ความไร้ยางอายและก๋ากั่นอวดดีจึงถูกคิดว่าเป็นการปฏิวัติทางวัฒนธรรม เมื่อผู้หญิงได้เห็นว่าปัญหาก่อนหน้านี้ของพวกเธอถูกคลี่คลายไปแล้วเธอจึงลืมทุกสิ่งทุกอย่างไปและเป็นอิสระอย่างที่กล่าวกัน แต่แทนที่จะได้รับอิสระจากความคิดเหลวไหลเหล่านั้น เธอกลับได้เป็นอิสระจากความสงบเสงี่ยมเรียบร้อยและความศรัทธาในศาสนา เธอเดินหน้าไปสู่ความไร้ยางอายและหันเหออกนอกทางไปจนกลายเป็นสิ่งของทางการค้า และกลายเป็นเครื่องมือของลัทธิจักรวรรดินิยม ซึ่งอาจถูกใช้ไปในทางใดทางหนึ่งราวกับเป็นตัวเลือกของมัน เธอได้กลายเป็นสมุนและตัวแทนของมันไปโดยปราศจากดวงตา หู หรือความตั้งใจหรือเจตนารมณ์ใดๆ นี่คือสภาพของสตรีในยุคปัจจุบัน
แต่ทว่าอิสลาม โดยแบบอย่างที่ได้จากท่านหญิงผู้ทรงเกียรติทั้งหลาย อาทิเช่น ท่านหญิงคอดีญะฮ์(อ.) ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์(อ.) ท่านหญิงซัยนับ(อ.) ได้เน้นให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของผู้หญิง ได้อธิบายและแสดงให้เห็นความหมายของชีวิตของผู้หญิง และทำให้มันเป็นตัวอย่างและอุทาหรณ์สำหรับมนุษยชาติในอนาคต
ขอยกตัวอย่างบทรายงานเกี่ยวกับคำพูดและการวางตัวของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์(อ.) ผู้เป็นบุตรสาวของท่านศาสดา(ศ.) เป็นภรรยาของอิมามอะลี(อ.) เป็นมารดาของอิมามฮะซัน(อ.) และอิมามอุเซน(อ.) และเป็นนายหญิงของบรรดาสตรีในสวรรค์ เพื่อแสดงให้เห็นแบบอย่างอันงดงามตามความหมายของคำขวัญเกี่ยวกับเสรีภาพของสตรีที่แท้จริง
ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์(อ.) เคยกล่าวไว้ว่า “สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับสตรีคือ การที่นางไม่จ้องมองดูบุรุษเพศ และไม่ให้บุรุษเพศจ้องมองดูนาง”
จากประโยคนี้เราจะเห็นได้ว่า สตรีตามแบบฉบับของอิสลาม มีเกียรติและมีค่ามากกว่าการที่จะเป็นสมบัติเครื่องเล่นหรือวัตถุสิ่งของไว้ดูเล่นของผู้ชาย
มีรายงานหนึ่งกล่าวว่า วันหนึ่งชายตาบอดได้ขออนุญาตเข้าไปในบ้านของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์(อ.) ท่านหญิงได้สวมใส่ฮิญาบและเสื้อคลุมปกปิดร่างกายจนมิดชิดก่อนจะให้เขาเข้ามา
ท่านศาสดา(ศ.) เห็นเช่นนั้นจึงถามว่า “ทำไมเจ้าต้องปกปิดร่างกายในเมื่อชายคนนี้ตาบอดและไม่สามารถมองเห็นเจ้าได้?”
ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์(อ.) ตอบว่า “ถึงแม้เขาจะไม่สามารถมองเห็นฉัน แต่ฉันมองเห็นเขา และถึงแม้เขาไม่สามารถมองเห็นสิ่งใด แต่เขาสามารถได้กลิ่นของผู้หญิง”
ท่านศาสดา(ศ.) กล่าวว่า “ฉันเห็นแล้วว่าเจ้าเป็นส่วนหนึ่งของฉัน”
(บิฮารุล-อันวารฺ, เล่ม 34, หน้า 91)