ไทยแลนด์
Monday 25th of November 2024
0
نفر 0

อะลี ซัยนุลอาบิดีน อิมามที่สี่แห่งอะฮ์ลุลบัยต์

อะลี ซัยนุลอาบิดีน อิมามที่สี่แห่งอะฮ์ลุลบัยต์

อะลี ซัยนุลอาบิดีน อิมามที่สี่แห่งอะฮ์ลุลบัยต์

 

อิมามท่านที่ 4 เป็นบุตรชายของท่าน ฮุเซน อิบนิ อะลี (อ) มารดาของท่านมีนามว่า “ชะฮ์ร์ บานู” ฉายานามที่โด่งดังของท่านคือ

“ซัยนุลอาบิดีน”  และ “ซัจญาด”

อิมามซัจญาด (อ) ประสูติในปีฮิจเราะฮ์ศักราชที่ 38 ท่านใช้ชีวิตในวัยเด็กของท่านที่เมืองมะดีนะฮ์และได้ใช้ชีวิตส่วนใหญ่ของท่านอยู่ในช่วงการปกครองของอิมามอะลี (อ) 2 ปี ภายหลังจากนั้น 10 ปีที่ท่านได้แลเห็นเหตุการณ์ต่างๆในยุคการเป็น

อิมามของลุงของท่านซึ่งก็คือ ท่านอิมามฮะซัน มุจญ์ตะบา (อ) โดยท่านได้ทำหน้าที่ปกครองอิสลามในฐานะคอลีฟะฮ์ 6 เดือน หลังจากการเป็นชะฮะดะฮ์ของ

อิมามฮะซัน (อ) (ในปี ฮ.ศ. ที่ 50 )

และท่านได้อยู่ในช่วงการเป็นอิมามของท่านอิมามฮุเซน อิบนิ อะลี (อ) บิดาของท่านอีก 10 ปี ซึ่งเป็นช่วงที่อำนาจของมุอาวิยะฮ์อยู่ในขั้นสูงสุดโดยที่บิดาของท่านได้ต่อสู้กับเขา ซึ่งท่านเองก็อยู่เคียงข้างกับบิดาของท่านตลอดเวลา

ในปี ฮ.ศ. ที่ 61  ณ ผืนแผ่นดินกัรบะลา ท่านอิมาม (อ) ได้อยู่ในเหตุการณ์การต่อสู้และการเป็นชะฮีดของท่านอิมามฮุเซน (อ) และท่านได้เป็น

อิมามหลังจากโศกนาฏกรรมแห่งกัรบะลา ท่านได้ร่วมเดินทางไปในฐานะเชลยศึกสงคราม จากผืนแผ่นดินกัรบะลา ไปยังกูฟะฮ์และเมืองชาม (ซีเรีย) การเดินทางครั้งนี้ท่านได้ทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลและเป็นที่พึ่งพิงของบรรดาเชลยที่ตกอยู่ในความโศกเศร้าและความทุกข์ระทมในการเดินทางครั้งนี้ท่านได้กล่าวปราศรัยอย่างดุเดือด สร้างความเสียหายต่อการปกครองของยะซีดและหลังการกลับมาจากเมืองชาม(ซีเรีย) ท่านได้ใช้ชีวิตอยู่ ณ เมืองมะดีนะฮ์ จนกระทั่งท่านได้เป็นชะฮาดะฮ์ในปีฮิจเราะฮ์ที่ 94 หรือ 95 และร่างอันบริสุทธิ์ของท่านถูกฝังอยู่ ณ สุสานบะเกียะอ์ ข้างหลุมพระศพของท่านอิมาม ฮะซัน (อ) ผู้เป็นลุงของท่าน

 

บรรดาผู้ปกครองร่วมสมัยของท่าน

 

บรรดาผู้ปกครองที่อยู่ในช่วงการเป็นอิมามของท่านอิมามอะลี อิบนุ ฮุเซน (อ) มีดังต่อไปนี้

1.ยะซีด อิบนิ มุอาวิยะฮ์ (ฮ.ศ. ที่ 61 -64)

2.มุอาวิยะฮ์ อิบนุ ยะซีด (ช่วงระยะเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่เดือนใน ฮ.ศ. ที่ 64)หลังจากยะซีด แต่เขามีความหวาดกลัวจากการกระทำของยะซีด ที่มีต่ออิมามฮุเซน (อ) และลูกหลาน ด้วยเหตุนี้ เขาจึงสละอำนาจการปกครอง

3.อับดุลลอฮ์ อิบนิ ซุบัยร์ เนื่องจากที่เขานั้นมิได้ให้สัตยาบันกับยะซีด เขาจึงไม่ยอมรับการเป็นผู้ปกครองของยะซีด และเขาได้ตั้งตนเป็นผู้ปกครอง (คอลีฟะฮ์) คู่กับ ยะซีด (ระหว่าง ฮ.ศ.ที่ 61 -73) ทำการปกครองในแคว้นฮิญาซ รวมถึง อิยิปต์ และแถบตะวันออกของอิสลาม

4.มัรวาน อิบนิ ฮะกัม  (ระยะเวลา 9 เดือน ในปี ฮ.ศ. ที่ 65)

5.อับดุลมาลิก อิบนิ มัรวาน (ฮ.ศ. ที่ 65 - 86)

6.วะลีด อิบนิ อับดุลมาลิก (ฮ.ศ. ที่ 86 – 96 )

 

ยุคมืดแห่งการปกครองของอับดุลมาลิก

 

ช่วงสมัยการเป็นผู้นำของอิมาม ซัจญาด (อ) ตรงกับช่วงสมัยหนึ่งที่เข้าสู่ยุคมืดของการปกครองอิสลามในประวัติศาสตร์อิสลาม  แม้ว่าก่อนหน้าท่านอิมาม (อ) การปกครองอิสลามได้ถูกบิดเบือนไปเป็นการปกครองแบบเผด็จการ และเอื้อประโยชน์ต่อพวกพ้องแล้วก็ตาม แต่ในสมัยของท่านอิมามที่สี่ นั้น มีความแตกต่างกับช่วงสมัยก่อนๆ ซึ่งผู้ปกครองในสมัยนี้ได้ดูหมิ่นต่อหลักคำสอนอันบริสุทธิ์ของอิสลามอย่างเปิดเผยและไม่ปิดปังแต่อย่างใด และยังได้เหยียบย่ำรากฐานอิสลามอย่างเปิดเผยอีกด้วย และไม่มีใครที่จะกล้าต่อต้านแม้แต่น้อยนิด

ช่วงสมัยการเป็นผู้นำของท่านอิมาม ซัจญาด (อ) ตรงกับช่วงสมัยของการเป็นผู้ปกครองของอับดุลมาลิก  อิบนิ มัรวาน มากที่สุด เป็นระยะเวลานานถึง 21 ปี

กล่าวกันว่า “อับดุลมาลิก เป็นบุคคลที่หลักแหลม มีสติปัญญาดี เป็นนักวิชาการ ฉลาด น่าเกรงขาม เป็นผู้ช่ำชองทางด้านการเมือง และเป็นนักบริหาร”

ก่อนที่เขาจะได้รับอำนาจ เขาได้ขึ้นชื่อว่า เป็นฟะกีฮ์(ผู้เชี่ยวชาญศาสนา)คนหนึ่งของเมืองมะดีนะฮ์และเป็นที่ยอมรับในด้านของความสมถะ อิบาดะฮ์ และเคร่งครัดในศาสนา และใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับการทำอิบาดะฮ์ (เคารพภักดีต่อพระเจ้า) ในมัสยิด จึงถูกกล่าวขานว่า “นกพิราบของมัสยิด”

กล่าวกันว่า “หลังจากการตายของบิดาซึ่งก็คือ มัรวาน เมื่ออำนาจการปกครองได้ตกมาถึงเขา ซึ่งในขณะนั้นเขากำลังหมกมุ่นอยู่กับการอ่าน

อัลกุรอาน แต่เมื่อเขาได้รับข่าวนี้ เขาปิดอัลกุรอาน และกล่าวว่า “ขณะนี้ฉันกับเจ้าต้องแยกทางกัน และฉันก็ไม่มีธุระอะไรกับเจ้าอีกแล้ว”

ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ที่เขาแยกตัวออกจากอัลกุรอานอย่างสิ้นเชิง และผลจากการหลงลำพองในอำนาจได้ทำให้บุคลิกภาพของเขาเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งนักประวัติศาสตร์ได้บันทึกถึงผลงานอันมืดมนในการปกครองของเขาไว้อย่างน่าขื่นขม ตามคำพูดของนักประวัติศาสตร์ เขาเป็นบุคคลแรกที่ห้ามประชาชนกล่าวสิ่งใดๆต่อหน้าผู้ปกครองและเป็นบุคคลแรกที่ห้ามไม่ให้ผู้คนทำการตักเตือนให้ทำความดี

การปกครองที่ยาวนานของอับดุลมาลิก ทำให้เขาได้ซึมซับแต่การกดขี่ ความเลวร้าย และการทารุณกรรม จนทำให้ความศรัทธาที่เคยมีอยู่ในหัวใจของเขาถูกดับโดยสิ้นเชิง วันหนึ่งเขาได้สารภาพถึงสิ่งดังกล่าวต่อ ซะอีด อิบนิ มุซัยยับ ว่า

“ฉันกลายเป็นผู้ที่เมื่อทำความดีก็จะไม่ดีใจ และถ้าหากได้ทำความชั่ว ฉันก็ไม่เศร้าใจ”

ซะอีด อิบนิ มุซัยยับ กล่าวว่า “หัวใจของท่านตายด้านอย่างสิ้นเชิงแล้ว”

 

ที่มา

หนังสือ ซีเรเย พีชวอยอน (วิถีชีวิตบรรดาอิมามผู้บริสุทธิ์ )

โดย มะฮ์ดี พีชวออี

 

0
0% (نفر 0)
 
نظر شما در مورد این مطلب ؟
 
امتیاز شما به این مطلب ؟
اشتراک گذاری در شبکه های اجتماعی:

latest article

ถุงเท้ามุสลิมะฮ์
ดุอาอ์ คือ ตัวกำหนดอิหม่าน”
กฎเกณฑ์เกี่ยวกับการถือศีลอด
อะฮฺลุลบัยตฺ (อ.) ในอัล-กุรอาน
อัลกุรอาน คัมภีร์แห่งทางนำ
...
คุณลักษณะของมนุษย์ผู้สมบูรณ์
...
การเป็นศาสดาคนสุดท้ายของโลก
ความโลภคือรากของความชั่วร้าย

 
user comment