การถือกำเนิดและพัฒนาการของชีอะฮ์ ตอนที่ 2
สำหรับชีอะฮ์ เหตุการณ์ที่สำคัญที่สุด ซึ่งเป็นหลักฐานแสดงว่าอะลีคือผู้สืบทอดของท่านศาสดาคือ เหตุการณ์เกี่ยวกับเฆาะดีรคุม ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ท่านศาสดา ได้แต่งตั้งท่านอะลีให้เป็นตัวแทนของท่านต่อหน้าสาธารณชนอย่างเป็นทางการ และถือว่าท่านอะลี คือ “ผู้สืบตำแหน่งของท่าน”
เป็นที่ชัดเจนว่า เพราะการรับใช้ ความสำนึกอย่างลึกซึ้ง เพราะประเสริฐอันโดดเด่นของอะลี ที่แตกต่างไปจากคนอื่น ซึ่งเป็นที่เห็นพ้องต้องกันของทุกฝ่าย ความรักอย่างที่สุดที่ท่านศาสดา มีต่อท่านอะลี ซึ่งท่านแสดงอย่างออกเปิดเผย สาวกส่วนหนึ่งของท่านศาสดา ที่รู้จักอะลีอย่างดี มีคุณธรรมและความเข้าใจถึงแก่นแท้ของความจริง จะมีความรักต่ออะลี พวกเขาอยู่รายรอบอะลีและปฏิบัติตามท่าน แสดงความรักอย่างลึกซึ้งต่อท่าน แต่มีสาวกอีกส่วนหนึ่ง ไม่พอใจ มีความอิจฉาริษยาและเกิดอคติในใจขึ้น และนอกเหนือจากสิ่งที่กล่าวมาแล้วนามของชีอะฮ์อะลีหรือชีอะฮ์ของครอบครัวของท่าน ได้ถูกท่านศาสดา กล่าวเรียกไว้อย่างมากมายหลายต่อหลายครั้งด้วยกัน
สาเหตุการแยกตัวของชีอะฮ์ ส่วนน้อย ออกจากซุนนีส่วนใหญ่
ผู้ปฏิบัติตามและมิตรสหายของท่านอะลี เชื่อมั่นว่าตำแหน่งคอลิฟะฮ์ และผู้นำทางศาสนา
ภายหลังจากท่านศาสดา เป็นของท่านอะลี ความเชื่อมั่นนี้มาจากการพิจารณาถึงสถานภาพของท่านอะลี และตำแหน่งที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับท่านศาสดา ซึ่งตำแหน่งนี้อยู่เหนือบรรดาสาวกและมุสลิมโดยทั่วไป
มีเหตุการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้น ในช่วงไม่กี่วันก่อนวาระสุดท้ายแห่งชีวิตของท่านศาสดา ที่ท่านล้มป่วย ซึ่งชี้ให้เห็นว่ามีสิ่งที่ต่อต้านความเชื่อของพวกเขา แต่ทว่าเหตุการณ์ได้ผันเปลี่ยนไปจากที่พวกเขาได้คาดคิดเอาไว้ วันที่ท่านศาสดาสิ้นชีวิตร่างของท่านยังนอนอยู่โดยมิได้ถูกนำไปฝัง ขณะที่สมาชิกในครอบครัวของท่านและสาวกจำนวนหนึ่งกำลังสาละวนกับการเตรียมพิธีศพของท่านศาสดา มิตรสหายและผู้ดำเนินตามท่านอะลีได้รับรายงานเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวของอีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งรีบไปที่มัสยิดที่ประชาชนกำลังรวมตัวกันเนื่องจากการสูญเสียผู้นำของพวกเขาอย่างกระทันหัน
กลุ่มนี้ซึ่งต่อมากลายเป็นกลุ่มชนส่วนใหญ่ ได้ออกไปอย่างรีบร้อนเพื่อคัดเลือกตัวคอลีฟะฮ์ของมุสลิม ด้วยวัตถุประสงค์เพื่อความมั่นคงปลอดภัยของประชาคมและเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่เผชิญอยู่ โดยมิได้มีการปรึกษาหารือกับครอบครัวของท่าน ญาติวงศ์ตลอดจนสาวกกลุ่มอื่นๆของท่าน ซึ่งดังที่กล่าวแล้วว่ากำลังยุ่งอยู่กับการเตรียมพิธีศพของท่านศาสดา และไม่มีการแจ้งให้พวกเขาทราบแม้แต่น้อย ดังนั้นท่านอะลีและมิตรสหายของท่านจึงเป็นผู้ดูเหตุการณ์แต่เพียงอย่างเดียว
ท่านอะลี และมิตรสหายบางคน เช่น อับบาส ซุเบร ซัลมาน อบูซัร อัมมาร และมิกดาด เมื่อได้ฝังร่างของท่านศาสดา จนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงทราบข่าวความคืบหน้าของการเลือกคอลีฟะฮ์ พวกเขาจึงประท้วงท้วงต่อการเลือกคอลีฟะฮ์ดังกล่าว ไม่ว่าจะด้วยการแต่งตั้งหรือเลือกตั้งก็ตาม และประท้วงต่ผู้ที่รับผิดชอบดำเนินการสิ่งเหล่านี้ แม้ว่าพวกเขาจะได้แสดงข้อโต้แย้งและหลักฐานต่างๆ แต่คำตอบที่ได้รับก็คือ เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยของสังคมจึต้องกระทำทำเช่นนี้ การประท้วงของท่านอะลีกับมิตรสหายบางคน เป็นเหตุการณ์นำไปสู่การแยกตัวของคนกลุ่มน้อยออกจากคนกลุ่มใหญ่ “ผู้ดำเนินตาม” อะลี จึงได้รับฉายานามว่าเป็น “ชีอะฮ์” อะลี ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา แต่ฝ่ายของคอลีฟะฮ์ที่เพิ่งเลือกตั้งขึ้นมา ได้เดินเกมทางการเมืองทันที โดยพยายามบิดเบือนนามดังกล่าวของคนกลุ่มน้อย (ชีอะฮ์อะลี) ให้เป็นอย่างอื่น และพยายามทำให้เห็นว่าสังคมมิได้ถูกแบ่งเป็นคนกลุ่มน้อยกับคนกลุ่มใหญ่ แต่ถูกแบ่งเป็นพวกฝ่ายคอลีฟะฮ์ที่ยอมให้สัตยาบัน กับพวกปฏิเสธคอลีฟะฮ์ที่ไม่ยอมให้สัตยาบัน และเป็นศัตรูต่อมุสลิมส่วนใหญ่ ซึ่งในบางครั้งพวกเขาได้ให้นามแก่พวกคนกลุ่มน้อยเป็นอย่างอื่นที่น่ารังเกียจเป็นอย่างยิ่ง
อย่างไรก็ตามบรรดาชีอะฮ์ในยุคนั้นถูกประนามตั้งแต่ช่วงแรก เนื่องจากสถานการณ์ทางการเมืองในเวลานั้น พวกเขาไม่อาจดำเนินการใดๆ ได้ แม้แต่ด้วยการประท้วงทางการเมือง ส่วนท่านอะลีเพื่อเห็นแก่ ความปลอดภัยของอิสลามและชีวิตของมุสลิม ประกอบกับการไม่มีกำลัง ที่เพียงพอที่จะทำการปฏิวัติ หรือต่อรองกับฝ่ายปกครองได้ท่านจึงอดทนต่อเหตุการณ์ดังกล่าว ถึงกระนั้นประชาชนที่ทำการประท้วงและไม่ยอมชนกลุ่มใหญ่(บนพื้นฐานของความศรัทธา) ยอมรับว่าท่านอะลีคือตัวแทนของท่านศาสดา และเป็นผู้ที่มีความรู้ด้านศาสนาจักรและอาณาจักร อย่างแตกฉานเหนือผู้อื่น และท่านคือผู้มีสิทธิ์ในตำแหน่งคอลีฟะฮ์อย่างแท้จริง พวกเขาเชื่อว่าปัญหาศาสนาทั้งด้านจิตวิญญาณและด้านศาสนาทั้งมวลจะต้องย้อนกลับไปหาท่านอะลี แต่เพียงผู้เดียว และได้เชิญชวนประชาชนไปสู่ท่าน
ที่มา หนังสือชีอะฮ์ดารอิสลาม(ชีอะฮ์ในอิสลาม) เขียนโดย อัลลามะห์ ฏอบาฏอบาอี
แปลโดย เชคชรีฟ เกตุสมบูรณ์