ฟาฏิมะฮ์ สตรีที่ควรค่าต่อการเชิดชูในอิสลาม
ฟาฏิมะฮ์ บุตรีของท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ.) คิดว่า คงไม่มีมุสลิมคนใดที่ไม่รู้จักนาง แต่จะมีสักกี่คนที่เข้าใจและรู้จักนางอย่างลึกซึ้ง จนทำให้ผู้ที่ไม่รู้จักถึงฐานะที่สูงส่งของนางต้องกล่าวขึ้นว่า “แหม เชิดชูกันจังเลยนะ!”
แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นความผิดของผู้พูดเสียทั้งหมด อันเนื่องมาจากผู้รู้ส่วนหนึ่งที่เขาทราบความจริงเขาไม่กล้าที่จะพูดถึงฐานะอันสูงส่งของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ ด้วยเหตุผลหลายๆ ประการที่ผู้รู้เหล่านั้นมี ทั้งๆ ที่ท่านผู้รู้เหล่านั้นเองก็ต่างเรียกขานตัวเองว่า คือผู้ที่ปฏิบัติตามท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) ทั้งสิ้น แต่กลับปกปิดวจนะต่างๆ ของท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) ที่เกี่ยวกับฐานะภาพของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์(ซ.) เอาไว้
ดังนั้นในโอกาสนี้จึงขอนำเสนอส่วนหนึ่งจากวจนะของท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) ที่ได้กล่าวเกี่ยวกับฐานภาพอันสูงส่งของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) เอาไว้ ซึ่งจะขอยกหลักฐานในหนังสือที่พี่น้องมุสลิมส่วนมากยอมรับและศรัทธาดังนี้
วจนะแรกของท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ.) : “โอ้ฟาฏิมะฮ์ เธอนั้นคือนายหญิงของบรรดาสตรีแห่งสรวงสวรรค์”
(ซอฮีฮ์ บุคอรีย์ ชัรฮ์ อัลกัรมานีย์ เล่ม 15 หน้าที่ 4, มุสนัด อิมาม อะฮ์มัด เล่มที่ 3 หน้า 498 และเล่ม 6 หน้าที่ 542)
และท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ.) ได้กล่าวอีกว่า “เธอคือนายหญิงของบรรดาสตรีแห่งสากลโลก” (มุสนัด อะบีดาวูด หน้าที่ 196 ฮะดีษที่ 1373, มุสตัดร๊อก ฮากิม เล่ม 3 หน้าที่ 156)
และท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ.) ได้กล่าวอีกว่า “เธอคือนายหญิงของบรรดาสตรีผู้ศรัทธา” (ซอฮีฮ์ มุสลิม เล่ม 4 หน้าที่ 1905)
ในซอฮีฮ์ บุคอรีย์ ได้บันทึกรายงานหนึ่งจากท่านอาอิชะฮ์ว่า ฟาฏิมะฮ์ (ซ.)ได้ย่างก้าวเข้ามาด้วยการย่างก้าวที่ประดุจดั่งการย่างก้าวของท่านศาสดาแห่งพระผู้เป็นเจ้า (ศ.) ท่านศาสดา (ศ.) ก็ได้กล่าวต้อนรับนางว่า “ขอต้อนรับบุตรีของฉัน” แล้วท่านก็เชิญนางไปนั่งที่ข้างขวาของท่าน และได้บอกความลับหนึ่งกับนางจนนางร้องไห้ และฉันได้ถามนางเกี่ยวกับการร้องไห้นั้น
หลังจากนั้นท่านศาสนทูตก็ได้บอกความลับกับนางอีกแล้วนางก็หัวเราะ เมื่อเห็นเช่นนั้นจึงกล่าวว่าฉันไม่เคยเห็นความสุขใดที่ใกล้เคียงกับความโศกเศร้าเช่นในวันนี้ ดังนั้นฉันจึงถามนางเกี่ยวกับสิ่งนั้นอีก นางก็ตอบว่า “ฉันไม่เคยที่จะเปิดเผยความลับของท่านศาสนทูตแห่งอัลเลาะฮ์ (ศ.)” จนกระทั่งท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ.) เสียชีวิต ฉันก็ได้ถามนางเกี่ยวกับสิ่งนั้น นางก็ได้ตอบว่า ท่านศาสดา (ศ.) กล่าวว่า “ญิบรออีลเคยนำกุรอานมาให้ฉันหนึ่งครั้งในทุกๆ ปี แต่ในปีนี้ได้นำมาให้ฉันถึงสองครั้ง แล้วฉันก็ไม่ได้พบท่านอีกเว้นเสียแต่ว่าเวลาของฉันได้มาถึงแล้ว และเธอคือคนแรกจากอะฮ์ลุลบัยต์ที่จะตามฉันมา”
ด้วยเหตุนี้ฉันจึงร้องไห้ แล้วท่านศาสดา (ศ.) ก็กล่าวแก่ฉันว่า “เธอไม่พอใจดอกหรือที่เธอจะได้เป็นนายหญิงของบรรดาสตรีแห่งสรวงสวรรค์ และนายหญิงของบรรดาสตรีผู้ศรัทธาทั้งมวล” ด้วยเหตุนี้ฉันจึงหัวเราะ (ซอฮีฮ์ บุคอรีย์ บาบ อะลามาต อันนุบูวะฮ์ เล่ม 4 หน้าที่ 247, ซอฮีฮ์ มุสลิม เล่ม 4 หน้าที่ 1905, กัชฟุ ฆุมมะฮ์ เล่ม 1 หน้าที่ 453)
ตำแหน่งการเป็นผู้นำหรือนายหญิง ที่ท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ.) มอบให้กับท่านหญิงฟาติมะฮ์ (ซ.) เพียงเพื่อเป็นการเทิดเกียรติท่านหญิง หรือ เป็นเพียงแค่ต้องการยกย่องเชิดชูบุตรสาวของตัวเองกระนั้นหรือ?
แน่นอนอย่างยิ่งท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ.) จะไม่มอบตำแหน่งนายหญิงของบรรดาสตรีแห่งสรวงสวรรค์ให้สตรีนางใดโดยปราศจากการไตร่ตรอง ยิ่งไปกว่านั้น ทุกๆ ถ้อยคำ ทุกๆ การปฏิบัติของท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ.) ล้วนเป็นคำสั่งจากพระผู้เป็นเจ้าทั้งสิ้น เพราะท่านคือศาสนทูตแห่งพระผู้เป็นเจ้า คำพูดของท่านคือคำดำรัสของพระผู้เป็นเจ้า
การปฏิบัติต่างๆ ของท่านคือแบบอย่างแห่งพระผู้เป็นเจ้า ท่านคือรัศมีแห่งพระผู้เป็นเจ้า ท่านคืออัลกุรอานที่มีชิวิตแห่งพระผู้เป็นเจ้า เนื่องจากพระองค์ได้ทรงตรัสไว้แล้วในพระมหาคำภีร์อัลกุรอาน ในบท อัน-นัจม์ โองการที่ 4 ว่า “และเขาจะไม่กล่าวสิ่งใดออกมาจากอารมณ์ เว้นเสียแต่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นวิวรณ์ที่ถูกดล”
หรือในบท อัล-อะฮ์ซาบ โองการที่ 21 พระองค์ได้ทรงตรัสยืนยันถึงแบบฉบับทั้งคำพูด การปฏิบัติ ในทุกๆสถานะของศาสดามุฮัมมัด (ศ.) ว่า “โดยแน่นอน ในรอซูลของอัลเลาะฮ์มีแบบฉบับอันดีงามสำหรับพวกเจ้า”สองโองการข้างต้นยังไม่เพียงพออีกหรือที่จะยอมรับในสิ่งที่ท่านศาสดา (ศ.) มีวจนะไว้ หรือยังต้องสงสัยอะไรกันอีก?
พระดำรัสข้างต้นคือสิ่งยืนยันว่าสิ่งที่ศาสดามุฮัมมัด (ศ.) กล่าวออกมาเกี่ยวกับท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) นั้น มิใช่เป็นแค่การให้ฉายานาม ไม่ใช่เป็นแค่การยกย่องให้เกียรติแก่บุตรสาวของตนเองแต่ประการใด แต่ในความเป็นจริงท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ.) ต้องการประกาศให้มนุษยชาติได้รู้ถึงฐานภาพที่แท้จริงของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.)
ดังนั้น ตำแหน่งนายหญิงของบรรดาสตรีแห่งสรวงสวรรค์ของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) หมายถึง คุณลักษณะต่างๆ ของบรรดาสตรีผู้ศรัทธา หรือบรรดาสตรีแห่งสรวงสวรรค์ทั้งหมดถูกรวมอยู่ในตัวของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) ถ้าไม่เช่นนั้นแล้ว จะเป็นไปได้อย่างไรที่ท่านหญิงจะเป็นนายหญิงของคนกลุ่มหนึ่งที่ท่านไม่ได้ประเสริฐไปกว่าพวกเขา และไม่ได้มีความโดดเด่นอะไร ที่จะทำให้ท่านหญิงเป็นหัวหน้าพวกเขาได้ ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) มีความบริสุทธิ์สมบูรณ์ทั้งคุณลักษณะภายนอก และด้านจิตวิญญาณ
หรือจะกล่าวอีกแบบหนึ่งให้เข้าใจง่ายโดยที่ไม่ต้องใช้สมองคิดมากนัก คือ หากสตรีคนใดต้องการเข้าสู่สรวงสวรรค์ของพระองค์ก็จงรู้จักฟาฏิมะฮ์ รักฟาฏิมะฮ์ และใช้ชีวิตเยี่ยงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) เท่านั้น เพราะนางคือหัวหน้าแห่งบรรดาสตรีแห่งสรวงสวรรค์ ใจวจนะของท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) ผู้ที่ไม่เคยกล่าวสิ่งใดนอกจากการดลใจจากพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น
วจนะที่สองของท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ.) : “ฟาฏิมะฮ์เป็นเลือดเนื้อของฉัน ดังนั้นใครที่ทำให้เธอโกรธก็เท่ากับทำให้ฉันโกรธด้วย”
วจนะอีกบทหนึ่งของท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ.) ที่ได้กล่าวถึงฐานภาพอันสูงส่งของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) ท่านยังได้กล่าวไว้ดังเช่นในสำนวนหนึ่งที่ถูกบันทึกไว้ในซอฮีฮ์ บุคอรีย์ ว่า “ฟาฏิมะฮฺเป็นเลือดเนื้อของฉัน ดังนั้นใครที่ทำให้เธอโกรธก็เท่ากับทำให้ฉันโกรธด้วย” (ซอฮีฮ์ บุคอรีย์ ชัรฮ์ อัลกัรมานีย์ เล่ม15 หน้าที่ 5)
และในซอฮีฮ์ มุสลิมได้บันทึกไว้ว่า “แท้จริงบุตรีของฉัน ฟาติมะฮ์เป็นเลือดเนื้อของฉัน ดังนั้นสิ่งใดที่ทำร้ายเธอก็เท่ากับทำร้ายฉัน” (ซอฮีฮ์ มุสลิม เล่ม 4 หน้าที่ 1903)
และอีกสำนวนหนึ่งจากเซาะฮียฺมุสลิม ความว่า “แท้จริงบุตรีของฉันเป็นเลือดเนื้อของฉัน สิ่งใดที่ถือเป็นการให้ร้ายเธอก็เท่ากับให้ร้ายฉัน และสิ่งใดที่ทำร้ายเธอก็ทำร้ายฉันเช่นกัน”
( ซอฮีฮ์ มุสลิม เล่ม 4 หน้าที่ 1902, มุสนัด อัลอิมาม อะฮ์มัด เล่ม 5 หน้าที่ 430)
รายงานที่นำมากล่าวข้างต้น และบางรายงานที่ยังไม่ได้หยิบยกมา ทั้งหมดล้วนเป็นวจนะที่มาจากท่านศาสดาผู้ได้รับสมญานามว่าเป็นผู้มีสัจจะและความซื่อสัตย์ ผู้ซึ่งคำพูดของเขาคือวิวรณ์ที่ได้รับมาจากพระผู้เป็นเจ้าและอยู่ในกฎเกณฑ์ของอิสลาม มิใช่คำกล่าวที่ออกมาจากความรู้สึกส่วนตัวของท่าน เป็นพระดำรัสที่มาจากพระผู้เป็นเจ้า
ท่านศาสดามิได้อุปโลกน์สิ่งใดขึ้นมาเองได้ ดังที่พรองค์ได้ตรัสไว้ในบท อัล-ฮากเกาะฮ์ โองการที่ 44-46 ว่า “และมาตรว่าเขา (มุฮัมมัด) อุปโลกน์คำบางคำว่ามาจากเรา เราก็จะตัดมือขวาของเขา (คืออัลลอฮฺจะทรงหักห้ามเขาจากการอุปโลกน์นั้นด้วยมหิทธานุภาพของพระองค์) แล้วเราก็จะตัดเส้นโลหิตใหญ่จากหัวใจของเขา”
“ฟาฏิมะฮ์ (ซ.) คือเลือดเนื้อของฉัน” หมายความว่าอย่างไร??? แน่นอนมิได้หมายถึงเลือดเนื้อที่บ่งบอกถึงความสัมพันธ์ทางร่างกาย หากหมายถึงความสัมพันธ์แค่ร่างกายท่านศาสดา (ศ็อลฯ) คงไม่จำเป็นต้องบอก เพราะฟาฏิมะฮ์ (ซ.) เป็นลูกสาวของท่าน มนุษย์ทั้งโลกพอที่จะเข้าใจเองได้ในความสัมพันธ์ดังกล่าว
แต่วจนะดังกล่าวของท่านศาสดา (ศ็อลฯ) ต้องการบอกให้มนุษยชาติได้รู้ว่า การที่มนุษย์คนหนึ่งเป็นเสมือนส่วนหนึ่งจากร่างกายของท่านศาสดานั้น หมายความว่าบุคคลนั้นมีความผูกพันธ์กับท่านในแง่ของจิตวิญญาณ จิตวิญญาณของเขาคือจิตวิญญาณของท่าน สติปัญญาของเขาคือสติปัญญาของท่าน ความบริสุทธิ์ จิตวิญญาณอันสูงส่ง และความซื่อสัตย์ ของเขาคือความบริสุทธิ์ จิตวิญญาณอันสูงส่ง และความซื่อสัตย์ของท่านศาสดา (ศ.) ไม่มีความแตกต่างแต่ประการใดเลยในบุคคลทั้งสอง
และท่านได้กล่าวต่ออีกว่า “ดังนั้นใครที่ทำให้เธอโกรธก็เท่ากับทำให้ฉันโกรธด้วย” ประโยคนี้มีความหมายว่าอย่างไร? แน่นอนท่านศาสดา (ศ.) ไม่ได้หมายถึงความโกรธในด้านความสัมพันธ์ระหว่างบิดาและลูกสาว เพราะคงไม่มีมนุษย์คนใดที่จะดีใจเมื่อมีคนมาทำให้ลูกสาวของตนเองมีความโกรธ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นที่ท่านศาสดา (ศ.) จะต้องมีวจนะในเรื่องนี้ อีกประการแม้เป็นเช่นนั้นจริงบรรดาศาสดานั้น จะไม่แสดงปฏิกิริยาโต้ตอบใดๆ เมื่อผู้คนทำร้ายลูกหลานของพวกท่าน นอกเสียจากว่าลูกหลานของพวกท่านไม่ได้กระทำความผิดจริงๆ แล้วความหมายที่แท้จริงของท่านศาสดา (ศ.) คือต่อวจนะข้างต้นคืออะไร?
ความหมายก็คือ ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) เป็นมนุษย์ผู้ไม่อาจทำในสิ่งที่ไม่ดีกับใครได้ ทั้งในกิริยาและวาจา ผู้คนถึงจะมีสิทธิ์ในการทำร้ายท่านและทำให้ท่านโกรธได้ และจะไม่มีผู้ใดสามารถทำให้ท่านหญิงโกรธได้ เพราะว่าท่านหญิงเป็นมนุษย์ผู้ซึ่งไม่มีความโกรธเว้นเสียแต่ว่าการโกรธนั้นเป็นไปเพื่ออัลลอฮ์ ท่านหญิงคือมนุษย์ผู้ซึ่งไม่กระทำในสิ่งที่ไม่ดีกับผู้ใด เพราะฟาฏิมะฮ์ (ซ.) คือเลือดเนื้อของศาสดามุฮัมมัด (ศ.) เพราะว่าฟาฏิมะฮ์คือวิญญาณแห่งศาสดามุฮัมมัด (ศ.)
ดังนั้นใครก็ตามที่ทำให้ท่านโกรธก็เท่ากับว่าเขาผู้นั้นขัดแย้งกับสัจธรรมและหนทางที่เที่ยงตรง และท่านหญิงฟาฏิมะฮ์คือมนุษย์ผู้ซึ่งไม่รู้สึกเจ็บปวด ยกเว้นเมื่อผู้คนทำการละเมิดฝ่าฝืนต่ออัลลอฮ์และหันเหออกจากหนทางของพระองค์ ด้วยเหตุนี้ ท่านศาสดา (ศ็อลฯ) จึงรู้สึกเจ็บปวดไปกับความเจ็บปวดของท่าน แต่ถ้าไม่เป็นเช่นนั้นแล้ว จะเป็นไปได้อย่างไรที่ท่านศาสดาแห่งพระผู้เป็นเจ้า (ศ็อลฯ) จะรู้สึกเจ็บปวดไปกับท่าน หากว่าความเจ็บปวดของท่านฟาฏิมะฮ์ (ซ.) นั้นไม่ได้สอดคล้องกับสัจธรรม
และเช่นเดียวกันนี้ ในวจนะอีกบทหนึ่งที่ท่านศาสดา (ศ็อลฯ) ได้กล่าวว่า “สิ่งใดที่ทำให้เธอพึงพอใจก็ทำให้ฉันพึงพอใจด้วย” ซึ่งความหมายของมันก็คือ ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) จะไม่พึงพอใจในสิ่งใด เว้นเสียแต่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นสิ่งที่อัลลอฮ์ (ซ.บ) ทรงพึงพอพระทัย และศาสดาของพระองค์ (ศ็อลฯ) พึงพอใจเท่านั้น
จิตวิญญาณของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) กับจิตวิญญาณของท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) คือจิตวิญญาณเดียวกัน ถึงขนาดที่ไม่มีช่องว่างใดๆ ระหว่างท่านทั้งสองเลย และหากสิ่งที่กล่าวมานี้มิได้เป็นความจริงเลยแม้แต่นิด จะไม่เป็นการถูกต้องเลยที่ท่านศาสาดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) จะต้องผูกมัดความพึงพอใจของท่านหญิงไว้กับความพึงพอใจของท่าน และผูกมัดความโกรธของท่านหญิงไว้กับความโกรธของท่าน
จริงๆ แล้วหากพิจารณาให้ดี จะเห็นได้ว่า คำพูดของท่านศาสดา) สองประโยคหลัง คือคำอธิบายความหมายของ วจนะที่ว่า “ฟาฏิมะฮ์ (ซ.) คือเลือดเนื้อของฉัน” นี่คือข้อพิสูจน์อย่างชัดแจ้งว่าท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) นั้น เป็นมะอ์ซูม (ผู้ที่ถูกปกป้องจากความผิดบาปและมลทินทั้งปวง) ผู้ซึ่งเต็มไปด้วยความบริสุทธิ์ และได้บรรลุถึงจุดสูงสุดแห่งความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์
ประเด็นคือ คนที่มีวจนะข้างต้น คือศาสดาของพระผู้เป็นเจ้าผู้มีนามว่ามุฮัมมัด บินอับดุลลอฮ์ ที่ถูกแต่งตั้งมาจากพระผู้เป็นเจ้า และยังมีตรารับรองเป็นลายลักษ์อักษรจากพระผู้เป็นเจ้า หรือคุณจะปฏิเสธ? และเราได้ให้เกียรติ ได้ยกย่องเชิดชู ปฏิบัติตาม บุคคลที่ศาสดาของพระผู้เป็นเจ้ายกย่อง ให้เกียรติ และเชิดชูด้วยความภาคภูมิใจอย่างยิ่ง
ที่มา เว็บไซต์อะฮ์ลุลบัยต์ออนไลน์