วจนะจากท่านศาสนทูตเกี่ยวกับท่านหญิงฟาฏิมะฮ์
วจนะอีกบทหนึ่งของท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ที่ได้กล่าวถึงสถานภาพอันสูงส่งของนายหญิงแห่งบรรดาสตรี ท่านศาสนทูตได้กล่าวไว้ดังเช่นในสำนวนหนึ่งที่ถูกบันทึกไว้ในศอฮีฮุลบุคอรีว่า
“ฟาฏิมะฮ์เป็นเลือดเนื้อของฉัน ดังนั้นใครที่ทำให้เธอโกรธก็เท่ากับทำให้ฉันโกรธด้วย”
(ศอฮีฮฺ อัลบุคอรีย์ ชัรฮุ อัลกัรมานีย์ เล่มที่15 หน้า 5)
และในศอฮีฮฺมุสลิมได้บันทึกไว้ว่า
“แท้จริงบุตรีของฉัน ฟาฏิมะฮ์เป็นเลือดเนื้อของฉัน ดังนั้นสิ่งใดที่ทำร้ายเธอก็เท่ากับทำร้ายฉัน”
(ศอฮีฮ์มุสลิม เล่มที่ 4 หน้า1903)
และอีกสำนวนหนึ่งจากศอฮีฮฺมุสลิม ความว่า
“แท้จริงบุตรีของฉันเป็นเลือดเนื้อของฉัน สิ่งใดที่ถือเป็นการให้ร้ายเธอก็เท่ากับให้ร้ายฉัน และสิ่งใดที่ทำร้ายเธอก็ทำร้ายฉันเช่นกัน”
( ศอฮีฮฺ มุสลิม เล่มที่ 4 หน้า 1902, มุสนัด อัลอิมาม อะห์มัด เล่มที่ 5 หน้า 430, อะอ์ยาน อัชชีอะฮ์ เล่มที่ 1 หน้า 307, มะนากิบุ อะห์ลิลบัยต์ ของชีระวานีย์ หน้า 230)
และในรายงานอีกบทที่ถูกบันทึกอยู่ในบิฮารฺ อัลอันวาร ความว่า
“ฟาฏิมะฮ์เป็นหน่อเนื้อเชื้อไขของฉัน สิ่งใดที่ทำร้ายเธอก็เท่ากับทำร้ายฉัน และสิ่งใดที่ทำให้เธอยินดีก็ทำให้ฉันยินดีด้วย”
( บิฮารฺ อัลอันวาร เล่มที่ 43 บาบ 3 หน้า 26 ริวายะฮ์ที่ 26, และริวายะฮ์อีกบทที่คล้ายกันนี้ใน มุสนัด อิมาม อะห์มัด เล่มที่ 5 หน้า 435)
และริวายะฮ์ต่าง ๆ ที่อยู่ในรูปสำนวนที่แตกต่างกันไปนี้ เป็นริวายะฮ์ที่มาจากท่านศาสนทูตผู้ได้รับสมญานามว่าเป็นผู้มีสัจจะและความซื่อสัตย์ ผู้ซึ่งคำพูดของท่านนั้นคือวิวรณ์ที่ได้รับจากพระผู้เป็นเจ้าและอยู่ในกฎเกณฑ์ของอิสลาม มิใช่คำกล่าวที่ออกมาจากความรู้สึกส่วนตัวของท่าน เพราะว่าความรู้สึกส่วนตัวสำหรับท่านนั้นก็เหมือนกับปุถุชนทั่ว ๆ ไป ซึ่งโอกาสในการแสดงออกของมันก็คือในขณะที่ท่านมอบความรักและเอ็นดูให้กับบุตรีของท่าน เหมือนกับที่ผู้คนทั่วไปมอบความรักและความเอ็นดูให้กับลูก ๆ ของตน แต่ในขณะที่ท่านมอบสถานภาพอันทรงคุณค่าหนึ่งให้กับบุตรีของท่าน ท่านก็จะมอบมันจากวิวรณ์ที่มาจากพระผู้เป็นเจ้า และเป็นไปไม่ได้อย่างเด็ดขาดที่ท่านจะอุปโลกน์สิ่งใดขึ้นมาเอง ดังที่อัลลอฮ์ได้ตรัสถึงท่านว่า
“และมาตรว่าเขาอุปโลกน์คำบางคำว่ามาจากเรา เราก็จะตัดมือขวาของเขา (คืออัลลอฮ์จะทรงหักห้ามเขาจากการอุปโลกน์นั้นด้วยมหิทธานุภาพของพระองค์) แล้วเราก็จะตัดเส้นโลหิตใหญ่จากหัวใจของเขา”
(อัลฮากเกาะฮ์ โองการที่ 44-46)
ริวายะฮ์ต่าง ๆ เหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความผสมผสานกันอย่างกลมกลืนทางด้านจิตวิญญาณ ระหว่างท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์และบุตรีของท่าน เพราะคำกล่าวของท่านที่ว่าท่านหญิงฟาฏิมะฮ์เป็นเลือดเนื้อของท่านนั้น ไม่ได้มีจุดประสงค์ที่จะบ่งบอกถึงความสัมพันธ์ทางด้านวัตถุ เนื่องจากสิ่งนั้นเป็นที่กระจ่างชัดแล้วสำหรับผู้คน แต่ทว่าท่านศาสนทูตมีจุดประสงค์ที่จะบ่งบอกถึงสิ่งที่ลึกซึ้งไปกว่านั้น เพราะว่าในการที่มนุษย์คนหนึ่งเป็นเสมือนส่วนหนึ่งจากร่างกายของท่านศาสนทูตนั้น ก็หมายความว่าเขาผู้นั้นผูกสัมพันธ์กับท่าน ด้วยความสัมพันธ์ในแง่ของสารและเรือนร่างแห่งอิสลาม เสมือนกับว่าเขาเป็นส่วนที่มีชีวิตจากร่างกายของท่าน ซึ่งนั่นก็หมายความว่าสติปัญญาของเขาสั่งสมส่วนหนึ่งจากสติปัญญาของท่านศาสนทูตไว้ และวิญญาณของเขาก็สั่งสมวิญญาณส่วนหนึ่งของท่านไว้ และชีวิตของเขาสั่งสมไว้ซึ่งความบริสุทธิ์ จิตวิญญาณอันสูงส่ง และความซื่อสัตย์ เสมือนกับที่ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ได้สั่งสมมันไว้
หลังจากนั้นท่านก็กล่าวเสริมต่อไปว่า “ดังนั้นใครที่ทำให้เธอโกรธก็เท่ากับทำให้ฉันโกรธด้วย” ประโยคนี้มีความหมายว่าอย่างไร เพราะแท้จริงบรรดาศาสนทูตนั้นจะไม่แสดงปฏิกิริยาโต้ตอบใด ๆ จากอารมณ์เมื่อผู้คนทำร้ายลูกหลานของพวกท่าน ยิ่งไปกว่านั้น ผู้เป็นพ่อที่ดีจะไม่โกรธเคืองและแสดงปฏิกิริยาโต้ตอบ ถ้าหากว่าการที่ผู้คนทำร้ายลูกของเขานั้นเป็นไปตามความถูกต้อง เนื่องจากว่าลูกของเขาได้ไปทำในสิ่งที่ไม่ดีกับพวกเขาไว้ก่อน ดังนั้นประโยคดังกล่าวจากวจนะของท่านศาสนทูตนั้นหมายความว่าอย่างไร?
ความหมายของมันก็คือ ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์เป็นมนุษย์ผู้ไม่อาจทำในสิ่งที่ไม่ดีกับใครได้ ทั้งในกิริยาและวาจา ผู้คนถึงจะมีสิทธิ์ในการทำร้ายท่านและทำให้ท่านโกรธ และจะไม่มีผู้ใดสามารถทำให้ท่านหญิงโกรธได้ เพราะว่าท่านหญิงเป็นมนุษย์ผู้ซึ่งไม่มีความโกรธเว้นเสียแต่ว่าการโกรธนั้นเป็นไปเพื่ออัลลอฮ์ ท่านหญิงคือมนุษย์ผู้ซึ่งไม่ทำในสิ่งที่ไม่ดีกับผู้ใด ไม่ทำบาปและไม่หลงผิด ดังนั้นใครก็ตามที่ทำให้ท่านโกรธก็เท่ากับว่าเขาผู้นั้นขัดแย้งกับสัจธรรมและหนทางที่เที่ยงตรง และท่านหญิงฟาฏิมะฮ์คือมนุษย์ผู้ซึ่งไม่รู้สึกเจ็บปวด ยกเว้นเมื่อผู้คนทำการละเมิดฝ่าฝืนต่ออัลลอฮ์และหันเหออกจากหนทางของพระองค์ ด้วยเหตุนี้ท่านศาสนทูตจึงรู้สึกเจ็บปวดไปกับความเจ็บปวดของท่าน แต่ถ้าไม่เป็นเช่นนั้นแล้วล่ะก็ จะเป็นไปได้อย่างไรที่ท่านศาสนทูตจะรู้สึกเจ็บปวดไปกับท่าน หากว่าความเจ็บปวดของท่านนั้นไม่ได้สอดคล้องกับสัจธรรม
และเช่นเดียวกันนี้ ในวจนะอีกบทหนึ่งที่ท่านศาสนทูตได้กล่าวว่า
“สิ่งใดที่ทำให้เธอพึงพอใจก็ทำให้ฉันพึงพอใจด้วย”
ซึ่งความหมายของมันก็คือ ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์จะไม่พึงพอใจในสิ่งใด เว้นเสียแต่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นสิ่งที่อัลลอฮ์ทรงพึงพอพระทัยและศาสนทูตของพระองค์พึงพอใจ แล้วถ้าหากว่าท่านศาสนทูตไม่ได้พิจารณาถึงตัวตนส่วนลึกของท่านหญิง และในการที่ท่านหญิงเป็นภาพลักษณ์แห่งวิญญาณ รวมถึงความคิดและวิถีทางของท่าน และถ้าหากว่าท่านไม่ได้พิจารณาถึงอิสลามที่ได้ผนึกรวมเป็นหนึ่งเดียวกับบุคลิกภาพของท่านหญิง จนถึงขนาดที่ไม่มีช่องว่างใดๆระหว่างท่านหญิงกับท่านศาสนทูต และระหว่างท่านหญิงกับอิสลาม ถ้าหากว่าไม่ได้เป็นเช่นนั้นแล้วล่ะก็ จะไม่เป็นการถูกต้องเลยที่ท่านจะผูกมัดความพึงพอใจของท่านหญิงไว้กับความพึงพอใจของท่าน และผูกมัดความโกรธของท่านหญิงไว้กับความโกรธของท่าน และสิ่งนี้เองที่เป็นข้อพิสูจน์อย่างเด่นชัดว่าท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ อัซซะฮ์รอนั้นเป็นมะอ์ซูมะฮ์ (ผู้ถูกปกป้องจากความผิดบาป) ผู้ซึ่งเต็มไปด้วยความบริสุทธิ์ และได้บรรลุถึงจุดสูงสุดแห่งความสมบูรณ์
ขอขอบคุณเว็บไซต์อัชชีอะฮ์
source : alhassanain