"พระองค์คือผู้ทรงส่งรอซูลของพระองค์ด้วยการชี้นำทาง และศาสนาแห่งสัจธรรมเพื่อพระองค์จะทรงให้ศาสนาอิสลามอยู่เหนือศาสนาทั้งมวล ถึงแม้พวกตั้งภาคีจะเกลียดชังก็ตาม" (ซูเราะฮ์อัศศ๊อฟ โองการที่ 9)
หากเราคิดว่าเหตุผลของการประทานลงมาของพระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน สืบเนื่องมาจากอิทธิพลของวัฒนธรรมที่มีอยู่ในยุคสมัยของการลงมาของพระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน นั่นเป็นความคิดที่ผิดอย่างมหันต์ที่เรามีต่อพระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน ซึ่งความเป็นจริงแล้ว พระมหาคัมภีร์อัลกุรอานนั้น ถูกประทานลงมา เพื่อนำเสนอวัฒนธรรมใหม่แก่มนุษยชาติ และมาเพื่อต่อสู้กับวัฒนธรรมที่เลวร้ายต่างหาก
พระมหาคัมภีร์อัลกุรอานถูกประทานลงมาเพื่อสร้างวัฒนธรรม มิใช่ลงมาเนื่องจากได้รับอิทธิพลของวัฒนธรรมหนึ่งวัฒนธรรมใด ในประวัติศาสตร์พระมหาคัมภีร์อัลกุรอานได้มีหลักฐานที่ชัดแจ้งที่สุดเอาไว้ ซึ่งได้แสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่และยืนยันถึงความเป็นสิ่งพ้นญาณวิสัยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของศาสนาอิสลามมาแล้ว พระมหาคัมภีร์อัลกุรอานได้เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของมนุษยชาติบนโลกใบนี้ ไม่ใช่เฉพาะในคาบสมุทรอาหรับเท่านั้น แต่ทว่าพระมหาคัมภีร์อัลกุรอานได้กลายเป็นผู้ชี้นำมนุษยชาติ
และได้นำเสนอวัฒนธรรมแห่งพระผู้เป็นเจ้าแก่มนุษยชาติ ซึ่งเป็นวัฒนธรรมที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง วัฒนธรรมที่นำมนุษยชาติไปสู่การเคารพภักดีพระผู้เป็นเจ้าองค์เดียว พร้อมกับการทำลายล้างวัฒนธรรมอันป่าเถื่อนที่มีอยู่เกลื่อนกลาดบนโลกใบนี้ นี่คือหลักฐานอันชัดแจ้งสำหรับความสมบูรณ์แบบแห่งอัลอิสลาม
หลากหลายศาสนาที่ถือกำเนิดมาแต่ก็ต้องล้มสลายไปในไม่ช้า แต่ทว่านับตั้งแต่วันแรกที่อิสลามได้ถูกประกาศอย่างสมบูรณ์แบบ และวันเวลาผ่านไปนับพันปีอิสลามก็มีแต่จะรุ่งเรืองและรุ่งโรจน์ขึ้นเรื่อยๆ ไปตามกาลเวลา และความรุ่งโรจน์นี้ก็จะดำเนินไปอย่างมิมีวันจบสิ้น อิสลามเป็นศาสนาที่สามารถตอบสนองความกระหายของมนุษยชาติได้ตลอดเวลา ในทุกเรื่อง ในทุกสถานการณ์
ศาสนาอิสลามมิใช่ศาสนาแห่งการบังคับ หรือศาสนาแห่งการฝืน เพราะเหตุว่าการบังคับและการฝืนนั้น จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อมีสภาวะแห่งการต่อต้านและไม่ยอมรับเท่านั้น แต่อิสลามได้นำเสนอวัฒนธรรมแก่มนุษยชาติ ซึ่งวัฒนธรรมเหล่านั้นสอดคล้องกับจิตใต้สำนึกของมนุษย์โดยแท้ เมื่อเป็นเช่นนั้น ศาสนาอิสลามจึงเป็นศาสนาและแนวทางที่นมุษยชาติต่างรอคอย และเมื่ออิสลามมีมามนุษยชาติต่างน้อมรับ และศาสนาอิสลามมีชัยเหนือศาสนาอื่นๆ ทุกศานาในไม่ช้า
ศาสนาอิสลามมีรากฐานที่มั่นคงและชัดเจนที่สุด ไม่ใช่ศาสนาที่ฝืนกับธรรมชาติของมนุษย์ ดังนั้นถูกต้องแล้วหรือที่มีบางคนได้กล่าวว่า ศาสนาอิสลามมีรากฐานและได้รับอิทธิพลมาจากวัฒนธรรมอันป่าเถื่อนของพวกอาหรับ?
หากบุคคลเหล่านั้นกลับไปศึกษาประวัติศาสตร์ของอาหรับในยุคนั้นสักนิด อยากถามว่า สังคมและวัฒนธรรมของอาหรับในยุคนั้นเป็นที่รู้จักของสังคมโลกด้วยหรือ? แต่เท่าที่ทราบตามบันทึกในประวัติศาสตร์โลก ไม่มีนักประวัติศาสตร์คนใดยอมรับถึงวัฒนธรรมของอาหรับเลยแม้แต่คนเดียว ว่าพวกอาหรับก็มีวัฒนธรรมเหมือนกัน? แล้วเอาเหตุผลใดมาอ้างว่าพระมหาคัมภีร์อัลกุรอานได้รับอิทธิพลมาจากวัฒนธรรมของอาหรับ?
ซึ่งในประวัติศาสตร์ได้บันทึกไว้หลังจากการมาของอิสลาม ศาสดามุฮัมมัด และพระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน วัฒนธรรมต่างๆ ต่างล่มสลาย ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีในหมู่นักบันทึกประวัติศาสตร์
هُوَ الَّذِي أَرْسَلَ رَسُولَهُ بِالْهُدَى وَدِينِ الْحَقِّ لِيُظْهِرَهُ عَلَى الدِّينِ كُلِّهِ وَلَوْ كَرِهَ الْمُشْرِكُونَ
นี่คือหลักฐานอันชัดแจ้งที่สุดถึงความศักดิ์สิทธิของพระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน ดังนั้นบุคคลที่เขาได้กล่าวคำพูดอันโง่เขลาเบาปัญญาเหล่านั้นออกมา เขาไม่เข้าใจและเข้าไม่ถึงเป้าหมายที่แท้จริงของพระมหาคัมภีร์อัลกุรอานต่างหาก ปัญหาคือเขาตีความหมายแบบผิดๆ จากพระดำรัสของพระผู้เป็นเจ้า และมานำเสนอข้อผิดพลาดของตนเอง มิใช่ข้อผิดพลาดของพระมหาคัมภีร์อัลกุรอานแต่อย่างใด
จึงใคร่จะยกตัวอย่างเพื่อสร้างความเข้าใจแก่บุคคลเหล่านั้น สักสองสามตัวอย่าง เช่นเรื่องของ ญินและชัยฏอน ที่พวกเขากล่าวว่าพระมหาคัมภีร์อัลกุรอานได้รับอิทธิพลเรื่องดังกล่าวนี้มาจากวัฒนธรรมของชาวอาหรับ แต่เราก็มิอาจจะคัดค้านได้เพราะเป็นเช่นนั้นจริงๆ แล้วเรื่องมะลาอิกะฮ์ เรื่องรูฮ์อีกเรื่องเหล่านี้ได้รับอิทธิพลมาจากวัฒนธรรมใด? เรื่องราวเหล่านี้เป็นเรื่องราวแห่งศาสนาของทุกๆศาสนา
ซึ่งแต่ละศาสนานั้นก็จะมีข้อพิสูจน์กันเอง เราจึงไม่สามารถที่จะกล่าวว่านั่นคือความงมงายหรือเป็นความเชื่อที่ผิด แต่คนที่นำมาสาธยายกลับไม่เข้าใจเองว่า ญิน รูฮ์ ชัยฏอน คืออะไรกันแน่ หรือว่าไม่เคยอ่านโองการในพระมหาคัมภีร์อัลกุรอานที่ว่า "และข้าไม่ได้สร้างญินและมนุษย์เพื่อสิ่งอื่นใด เว้นแต่เพื่อการเคารพภักดีต่อข้า" (ซูเราะห์ อัซซาริยาต โองการที่ 56)
จริงๆเรื่องของชัยฏอนมารร้ายนั้นไม่ได้เป็นที่ถกเถียงกัน แต่พูดถึงเรื่องของ การล่อลวงของชัยฏอนมารร้ายต่างหาก หมายถึงที่พวกเขากำลังกล่าวหาว่ามันเป็นเรื่องที่งมงายนั้น คือเรื่องของการล่อลวงของชัยฏอนมารร้าย ให้เข้าใจง่ายขึ้นคือพวกเขากำลังเข้าใจว่าชัยฏอนมารร้ายสามารถที่จะมีอิทธิพลเหนือมนุษย์ ชัยฏอนมารร้ายสามารถรังแกหรือทำอันตรายมนุษย์ได้ หรืออีกหลายๆประการในทำนองเดียวกันนี้ และบางคนได้กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า พระมหาคัมภีร์อัลกุรอานได้รับอิทธิพลเรื่องเหล่านี้มาจากวัฒนธรรมอาหรับ
เนื่องจากชาวอาหรับมีความเชื่อเช่นนั้นจริงๆ ในหมู่อาหรับสมัยนั้นหากมีคนใดที่มีอารมณ์ผิดปกติ พวกเขาจะมีความเชื่อว่าญินหรือชัยฏอนมารร้ายได้เข้าครอบงำคนๆนั้นแล้ว หรือชาวอาหรับส่วนมากจะมีความเชื่อเกี่ยวกับรูปร่างลักษณะของชัยฎอน ว่ามีเช่นนั้นเช่นนี้ ซึ่งพระมหาคัมภีร์อัลกุรอานมีทัศนะที่คัดค้านกับความเชื่อของชาวอาหรับโดยสิ้นเชิง
เรื่องดังกล่าว พระองค์อัลลอฮ์ (ซ.บ) ได้ทรงตรัสว่า
الَّذِينَ يَأْكُلُونَ الرِّبَا لاَ يَقُومُونَ إِلاَّ كَمَا يَقُومُ الَّذِي يَتَخَبَّطُهُ الشَّيْطَانُ مِنَ الْمَسِّ
"บรรดาผู้กินดอกเบี้ยนั้น (ในวันฟื้นคืนชีพ) พวกเขาจะไม่ลุกขึ้น นอกจากจะเป็นเช่นเดียวกับผู้ที่ชัยฏอนทำร้ายเขาจนสติฟั่นเฟือน ไม่สามารถทรงตัวได้" (ซูเราะห์บะกอเราะห์ โองการที่ 275) บางครั้งเขาจะล้มทั้งยืนในขณะที่ลุกขึ้นยืน สติของเขาจะฟั่นเฟือนเหมือนคนบ้า นี่คือสภาพของผู้ที่กินดอกเบี้ย อันเนื่องจากว่าเขาจะมีปัญหาตลอดเวลาในการดำเนินชีวิตของเขา เรื่องตั๋วแลกเงินบ้าง เรื่องเช็คเด้งบ้าง หนี้สินผ่อนไม่ทันบ้าง เขาจะอยู่กับสภาพเช่นนี้อยู่ตลอดเวลา
เราจะเห็นบุคคลเหล่านี้นั่งอยู่ตามหน้าร้านค้าต่างๆ ด้วยหัวใจที่กระวนกระวายเพราะต้องติดต่อกับคนมาหน้าหลายตา ต้องติดตามลูกหนี้ หนีเจ้าหนี้ มีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกับคนโน้นคนนี้ ขึ้นศาลอยู่เป็นนิจสิน ชีวิตของมีความกระวนกระวายใจเป็นเพื่อนตลอดเวลา
พระมหาคัมภีร์อัลกุรอานจึงกล่าวแก่บุคคลพวกนี้ว่า "لاَ يَقُومُونَ พวกเขาจะไม่สามารถลุกขึ้นยืนได้" หมายถึงในการใช้ชีวิต พวกเขาจะไม่สามารถยืนด้วยตัวของพวกเขาเองได้
يَتَخَبَّطُهُ الشَّيْطَانُ إِلاَّ كَمَا يَقُومُ الَّذِي
นอกจากจะเป็นเช่นเดียวกับผู้ที่ชัยฏอนทำร้ายเขาจนสติฟั่นเฟือน หรือกลายเป็นคนบ้า หมายถึงพวกเขาจะถูกชัยฏอนมารร้ายลวงล่อจนกลายเป็นคนที่มีสติฟั่นเฟือนคนบ้าในที่สุด
ในที่นี้พระมหาคัมภีร์อัลกุรอานได้อธิบายเรื่องของการลวงล่อของชัยฏอนมารร้าย เหมือนกับความเชื่อของชาวอาหรับโดยตรง แต่ทว่าความจริงก็คือ ทั้งญิน และชัยฏอนมารร้ายตามทษฎีทางฟิสิก และหลักความเชื่อของเรา พวกมันไม่สามารถที่จะทำอันตราย หรือสามารถครอบงำมนุษย์ได้ เช่นหากมนุษย์ยืนอยู่ที่ขั้นบันใด ไม่ว่าญินหรือชัยฏอนมารร้ายจะไม่สามารถที่จะผลักให้มนุษย์ตกลงจากบันใดได้ หรือหากเราจะรับประทานอาหาร ทั้งญินและชัยฏอนมารร้ายก็ไม่สามารถที่จะคว่ำภาชนะอาหารที่เรากำลังจะรับประทานได้
นี่คือหลักความเชื่อหนึ่งของเรา ชีอะฮ์ เพราะหลักความเชื่อของชีอะฮ์ตั้งอยู่บนพื้นฐานของวิทยปัญญา ที่สิ่งซึ่งไร้ตัวตนจะไม่สามารถมีอิทธิพลเหนืออีกสิ่ง หนึ่งได้ ในขณะที่อีกสิ่งไม่สามารถที่จะปกป้องตนเองได้ ดังนั้นหากเราคือชีอะฮ์ เราต้องยอมรับว่าชีอะฮ์จะเชื่อในสิ่งที่อยู่บนพื้นฐานแหงวิทยปัญญา เป็นวิทยปัญญาแห่งพระผู้เป็นเจ้า
วิทยปัญญาแห่งพระผู้เป็นเจ้า เป็นไปไม่ได้ที่จะอนุญาติให้เชื่อว่า มนุษย์จะมีอันตรายจากสิ่งซึ่งไร้ตัวตนและมองไม่เห็น ซ้ำยังไม่มีโอกาสที่จะปกป้องตนเองจากอันตรายเหล่านั้นได้อีกประการหนึ่ง ดังนั้นเมื่อวันแห่งการตัดสินมาถึง มนุษย์จะกล่าวด้วยเสียงอันดังว่า "ชัยฏอน ชัยฏอน ชัยฏอน" จนกระทั่งพระองค์ทรงตรัสว่าไปนำตัว ชัยฏอน มาซิ แล้วมาดูว่าด้วยเหตุใดกันมนุษย์จึงโยนความผิดทั้งหมดของพวกเขาให้แก่ชัยฏอน
เมื่อชัญฏอนถูกนำตัวมา มวลมนุษย์ต่างกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า "ความตายจงมีแด่ชัยฏอน ๆๆๆๆๆ เจ้าได้ทำให้พวกเราต้องหลงทางๆๆๆๆ" ชัยฏอนจึงได้กล่าวขึ้นว่า "ใจเย็นๆๆๆ" และกล่าวต่อว่า "ฉันไม่ได้มีอำนาจเหนือพวกท่านเลยแม้แต่ครั้งเดียว เว้นเสียแต่ฉันแค่เชิญชวนพวกท่าน และพวกท่านก็น้อมรับคำเชื้อเชิญของฉันเสียเอง" ชัยฏอนได้กล่าวต่ออีกว่า "คิดดูดีๆๆซิ พระองค์ทรงส่งบรรดาศาสนทูตมายังพวกท่านตั้งมากมายเพื่อนำทางพวกท่าน พร้อมกับสัญญาณต่างๆ อีกมากมาย
แต่พวกท่านเองไม่ได้ยอมรับและปฏิบัติตาม แต่เมื่อฉันได้กระซิบกระซาบพวกให้หันเหไปอีกทางหนึ่ง พวกท่านกลับเชื่อฟังและปฏิบัติตามอย่างง่ายดาย ดังนั้นเป็นความผิดของพวกท่านเองไม่ได้เกี่ยวอะไรกับฉันเลยแม้แต่นิด"
นี่คือความหมายของ การล่อลวงของชัยฏอนมารร้าย สำหรับผู้ที่กินดอกเบี้ย เขายอมเป็นทาสของชัยฏอนมารร้ายเพียงแค่โดนกระซิบกระซาบ เขาไม่สามารถที่จะทรงตัวและควบคุมตัวของเขาเองได้ การลวงล่อของชัยฏอนมารร้ายได้ทำลายระบบประสาททั้งหมดของเขาอย่างสิ้นเชิง
ขอขอบคุณเว็บไซต์อะฮ์ลุลบัยต์อะคาเดมี
source : alhassanain