พระมหาคัมภีร์อัลกุรอานคือทางนำแห่งมนุษยชาติจวบจนวันสิ้นโลก ประเด็นจึงอยู่ที่อัลกุรอานเล่นนี้นำทางมนุษยชาติตรงไหน? อะไรที่เป็นปัญหาของมนุษยชาติ? อะไรที่มวลมนุษยชาติควรรู้? อัลกุรอานสามารถรับใช้มนุษยชาติได้ในทุกรูปแบบ แต่มนุษย์เองกลับไม่สนใจที่จะศึกษาอัลกุรอานนั่นคือปัญหาหลัก
ปัญหาของโลก ปัญหาความปลอดภัย ปัญหาการก่อการร้าย ปัญหาความมั่นคงของมนุษยชาติทำไมมนุษยชาติไม่คิดบ้างว่าในพระมหาคัมภีร์อัลกุรอานมีคำตอบของปัญหานี้? ในวันนี้โลกกำลังหาทางออกว่า จะทำอย่างไรให้โลกใบนี้มีสันติภาพ?
อัลกุรอานได้บอกรากเหง้าแห่งความปั่นป่วนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว อัลกุรอานได้เตือนมนุษยชาติที่เป็นมุสลิมและไม่ใช่มุสลิม ให้เห็นอันตรายของมนุษย์เผ่าพันธุ์หนึ่งซึ่งบางครั้งจะพูดถึงพวกเขา ในนามของ บนีอิสรออีลโดยตรง หรือในนามของ ชาวคัมภีร์ และทุกครั้งเมื่อเอ่ยถึงนามเหล่านี้พระเจ้าจะทรงแจ้งแนวคิด และทัศนะคติของบุคคลกลุ่มนี้เอาไว้ทุกครั้ง แผนการร้าย อุดมการณ์อันชั่วร้าย และอาชญากรรมต่างๆที่พวกเขาสร้างมาตลอดหน้าประวัติศาตร์อันยาวนาน และจะยังคงมีต่อไป อัลกุรอานบอกไว้อย่างละเอียดยิบ
อัลกุรอานเกือบสองร้อยโองการประมาณ 80-90 เปอร์เซ็นต์พูดถึงแต่เรื่องที่ไม่ดีของพวกเขา และมีไม่กี่เปอร์เซ็นต์ที่พูดถึงเรื่องดีของพวกเขา นี่คือความมหัศจรรย์หนึ่งของอัลกุรอาน ในที่นี้จะขอยกมาเพียงบางโองการเพื่อให้เราได้ทราบว่า ทำไมมุสลิมจึงต้องเป็นศัตรูกับยิว
ในบทอาลิอิมรอน โองการที่ 181 พระองค์ทรงตรัสว่า “พระเจ้าทรงได้ยินในคำพูดของพวกเขา เมื่อพวกเขาได้บอกว่า แท้จริงพระเจ้านั้นยากจน พวกเราต่างหากที่ร่ำรวย” มนุษย์พวกนี้มีความอหังการถึงขั้นที่คิดว่าพวกเขานั้นร่ำรวยกว่าพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งชี้ให้เห็นว่าพวกเขามีความหยิ่งยะโสในความยิ่งใหญ่ทางเศษฐกิจของพวกเขา การที่พระเจ้าได้ประทานโองการนี้มา ก็เพื่อจะชี้ให้เห็นว่าพวกเขานั้นมีความเชื่อในพระผู้เป็นเจ้า บนีอิสรออีลหรือชาวยิวนั้นจริงๆ แล้วเชื่อในพระผู้เป็นเจ้า
ในโองการต่อมาพระเจ้าทรงตรัสว่า “จงจำไว้ ฉันจะบันทึกในสิ่งที่พวกเจ้าพูด” หมายความว่าคำพูดนี้ของพวกเขาจะต้องได้รับโทษ โองการนี้ประทานลงมาครั้งเมื่อท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ.) อยู่ในนครมะดีนะฮ์ และหมายถึงพวกยิวที่อยู่ในมะดีนะฮ์ พระองค์ยังได้ทรงตรัสต่อไปอีกว่า “และจะบันทึกในการที่พวกเจ้าได้ฆ่าบรรดาศาสดาโดยอธรรม”
ตรงนี้แปลกมากๆ เนื่องจากว่าบนีอิสรออีลหรือชาวยิวในสมัยของท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ.) ไม่มีการฆ่าศาสดาแล้ว แต่ที่พระองค์จะจดบันทึกนั่นหมายถึงชาวยิวในยุคก่อนๆ ที่ได้ฆ่าบรรดาศาสดา แต่ด้วยเหตุใดพระเจ้าจึงบอกว่า ข้าจะจดบันทึกคำพูดของเจ้า ที่เจ้ากล้าพูดว่าเจ้าคือผู้ที่ยิ่งใหญ่ทางเศรษฐกิจ และเราจะจดบันทึกในสิ่งที่พวกเจ้าได้เข่นฆ่าบรรดาศาสดา โองการต่อมาพระเจ้าทรงตรัสว่า “และวันนั้นเมื่อการลงโทษมาถึง เราก็จะบอกกับพวกเจ้าว่า จงลิ้มรสการลงโทษการเผาไหม้ที่แสนเจ็บปวด”
แสดงว่ายิวในยุคนี้จะถูกลงโทษสองอย่างคือ หนึ่งคำพูดที่พวกเขาบอกว่า พวกเขาร่ำรวยกว่าพระเจ้า สองจะถูกลงโทษที่เขาเข่นฆ่าบรรดาศาสดา ซึ่งจะเป็นไปได้อย่างไรในเมื่อพวกเขาไม่ได้ฆ่าศาสดาแล้วในยุคนี้? คำตอบอยู่ในวจนะหนึ่งของท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ.) “ประชาชาติหนึ่งประชาชาติใดก็ตามที่มีความพึงพอใจในการกระทำของบรรพชนของพวกเขา เขาจะต้องรับโทษนั้นด้วย”
ฉะนั้นหากพวกเขาไม่ได้กระทำ และไม่เห็นด้วยกับการกระทำนั้นพวกเขาก็จะไม่ถูกลงโทษ ในประเด็นนี้แม้พวกเขาไม่ได้ฆ่าจริง แต่พวกเขาเห็นด้วย พวกเขาถือว่าบรรพชนของพวกเขาทำถูกต้องแล้วที่ได้ฆ่าบรรดาศาสดา จากโองการนี้ชี้ให้เห็นถึงแนวคิดของบรรดาพวกยิว ว่าพวกยิวจะมีความคิดเหมือนกันหมดทุกยุคทุกสมัย ไม่มีการเปลี่ยนแปลง บรรดาบรรพชนของพวกเขาได้ฆ่าบรรดาศาสดาของพระองค์อย่างมากมาย
และพวกยิวในวันนี้ต่างพึงพอใจในการกระทำอันนั้น พระเจ้าจึงรวมพวกเขาด้วยกันในวันแห่งการลงโทษ แสดงให้เห็นว่าแม้เวลาจะผ่านพ้นมานับพันๆ ปี แนวความคิดพวกยิวจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง เพราะหากมีการเปลี่ยนแปลงแน่นอนพระเจ้าก็จะไม่ทรงลงโทษพวกเขาพร้อมๆกัน
ในอัลกุรอานบทอัลบะกอเราะฮ์ โองการที่ 87 พระเจ้าทรงตรัสว่า “ทุกครั้งที่มีศาสดามายังพวกเขา ซึ่งพวกเขาไม่พึงพอใจ พวกเขาจะกระทำการอหังการใส่ในทันที กลุ่มหนึ่งจะปฏิเสธบรรดาศาสดาเหล่านั้น และศาสดาอีกกลุ่มหนึ่งจะถูกพวกเขาฆ่าเสีย”
ชาวยิวในสมัยนั้นเมื่อมีศาสดามาสั่งสอนพวกเขา แต่ทว่าสิ่งที่ศาสดาสั่งสอนนั้นขัดกับความคิดของพวกเขา ขัดกับระบบเศรษฐกิจของพวกเขา ขัดกับความเชื่อของพวกเขา เราได้กล่าวไปแล้วว่า พวกนี้ไม่ได้มีความเชื่อเพียงว่าพวกเขาสูงส่งกว่ามนุษย์ทุกคนเท่านั้น แต่พวกเขายังเชื่อว่าพวกเขาสูงส่งกว่าพระเจ้าเสียอีก ความน่ากลัวของบุคคลที่บอกว่าสูงส่งกว่ามนุษย์คนอื่นมันก็น่ากลัวอยู่แล้ว แต่มนุษย์ที่คิดว่าเขาสูงส่งกว่าพระเจ้ามันจะไร้กาจสักขนาดไหน?
ในบางรายงานกล่าวว่า พวกยิวเคยฆ่าบรรดาศาสดานับร้อยคนในคืนเดียว และในรุ่งเช้าพวกเขาก็เปิดตลาดทำการค้ากันอย่างปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย และนี่แหละคือคุณลักษณะหนึ่งของชนชาติยิว