ความสำคัญของบิสมิลลาฮ์ (ด้วยพระนามของอัลลอฮ์)
ในสังคมของกลุ่มชนต่างๆ มีธรรมเนียมที่ว่า งานต่างๆที่มีความสำคัญและยิ่งใหญ่ มักจะเริ่มต้นด้วยนามของผู้สูงส่งที่พวกเขานับถือ ยกย่อง เพื่อให้การงานของพวกเขานั้นมีความเป็นสิริมงคล ด้วยกับรากฐานทางความเชื่อของพวกเขาที่มีมา ซึ่งรากฐานของความเชื่ออันนี้บางครั้ง พวกเขาก็จะเริ่มการงานของพวกเขาด้วยกับนามของสิ่งศักดิ์สิทธ์ หรือรูปปั้น หรือบางครั้งเพื่อความเป็นสิริมงคล พวกเขามักจะเริ่มการงานด้วยกับมือของผู้สูงศักดิ์หรือผู้ที่พวกเขาให้เกียรติและความสำคัญ เช่น ตัวอย่างในสงครามคอนดัก ในสมัยท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) ที่เริ่มต้นขุดสนามเพลาะครั้งแรกและหลุมแรกโดยท่านศาสดามุฮัมมัด(ศ็อลฯ) เพื่อเป็นบะระกัตและความสิริมงคล
ในคัมภีร์อัลกุรอาน ได้เริ่มต้นด้วยกับประโยคนี้(บิสมิลลาฮ์) ไม่ใช่เฉพาะแค่ อัลกุรอาน เท่านั้นที่เริ่มต้นคัมภีร์ ด้วยกับบิสมิลลาฮ์ แต่คัมภีร์เล่มอื่นๆที่ถูกประทานมาจากพระผู้เป็นเจ้าเช่น คัมภีร์เตารอต ซะบูร หรืออินญีล(ไบเบิล) ก็ได้เริ่มต้นด้วยกับคำว่า บิสมิลลาฮ์ เช่นกัน
ในการงานต่างๆของบรรดาศาสดามักเริ่มต้นด้วยกับพระนามของพระเจ้า(บิสมิลลาฮ์)เช่นกันตัวอย่างเช่น เรื่องราวของท่านนบีนูฮ์ (อ.) ในขณะที่พายุเริ่มก่อตัว และน้ำได้เริ่มท่วมผืนแผ่นดินโลก ท่านนบีนูฮ์ (อ.) ได้กล่าวกับบรรดาสหายและสาวกของท่านว่า”พวกท่านจงลงในเรือด้วยกับกับพระนามของอัลลอฮ์ ทั้งในยามเดินทางและยามจอดของมันเถิด (11:47)”
และเช่นเดียวกันในเรื่องราวของท่านนบีสุไลมาน(อ.) ในขณะที่ท่านได้เขียนสาส์นเชิญชวนราชินีแห่งเมืองสะบะอ์ ให้เข้ามาสู่ศาสนาของท่าน ในสาส์นของท่านก็ได้เริ่มต้นด้วยคำว่า บิสมิลลาฮ์ เช่นกัน
ท่านอิมามอะลี(อ.) ได้กล่าวว่า“การเริ่มต้นการงานต่างๆด้วยคำว่า บิสมิลลาฮ์ จะทำให้การงานเหล่านี้มีสิริมงคล และการที่ไม่มีคำว่า บิสมิลลาฮ์ ในการงาน คือสาเหตุที่ทำให้การงานนั้นบกพร่องและไม่สมบูรณ์”
ท่านอิมามอะลี(อ)ได้กล่าวเพิ่มเติม โดยเจาะจงเกี่ยวกับการเขียนประโยค บิสมิลลาฮ์ ว่า “จงเขียนคำว่า บิสมิลลาฮ์ ด้วยกับลายมือที่สวยงาม”หมายความว่า แม้แต่การเขียนบิสมิลลาฮ์ ก็จะต้องประณีต และละเอียดอ่อน
คำว่า บิสมิลลาฮ์ เป็นการเริ่มต้นที่ดีสำหรับทุกการงานหรือการกระทำสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นรับประทานอาหาร,การนอน,การเขียน,การเดินทาง และการกระทำอื่นๆอีกมากมาย ในทางกลับกัน แม้กระทั่งการเชือดสัตว์โดยที่ปราศจากการกล่าวนามของพระผู้เป็นเจ้า(บิสมิลลาฮ์) หากไม่ กล่าว บิสมิลลาฮ์ เนื้อสัตว์ที่ถูกเชือดเหล่านั้นก็จะกลายเป็นสิ่งต้องห้าม(ฮะร่าม) ในการรับประทานโดยทันที
เป็นไปได้ว่า เป้าหมายของการกระทำต่างๆเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นการเชือดสัตว์ หรือการรับประทานอาหาร เหตุที่จำเป็นต้องกล่าวพระนามของพระผู้เป็นเจ้า ก่อนลงมือกระทำสิ่งใด ก็เพราะมนุษย์นั้นจำเป็นต้องรำลึกถึงอัลลอฮ์เสมอ เมื่อกระทำสิ่งใด ก็ต้องตระหนักว่า เขากำลังทำมันพร้อมกับการรำลึกถึงอัลลอฮ์ อย่างเช่นการรับประทานอาหาร ก็จำเป็นที่จะต้องเริ่มต้นด้วยกับพระนามของอัลลอฮ์(ซ.บ.)
มีริวายัตที่รายงานเกี่ยวกับการกล่าว บิสมิลลาฮ์ ระบุไว้ว่าจงอย่าลืมที่จะกล่าวคำว่า บิสมิลลาฮ์ ในทุกๆการงาน จำเป็นที่จะต้องกล่าวเริ่มต้นด้วยคำว่า บิสมิลลาฮ์ แม้แต่การเขียนท่อนแรกของบทกวี มีรายงานเช่นกันเกี่ยวกับผลบุญอย่างมากมายสำหรับผู้ที่เริ่มสอนคำว่า บิสมิลลาฮ์ คำแรกให้กับเด็กๆ
คำถามคือ:ในอิสลาม ทำไมทุกๆการงานจึงจำเป็นต้องเริ่มต้นด้วยการกล่าววลีอันสูงส่งประโยคนี้(บิสมิลลาฮ์)?
คำตอบ :เพราะการเริ่มต้นกล่าวด้วยกับวลีอันสูงส่งในทุกๆการกระทำด้วยคำว่า บิสมิลลาฮ์ คือ หนึ่งในสัญลักษณ์ที่สำคัญของอิสลาม ดังนั้น ทุกการงานที่มุสลิมได้กระทำ หรือปฏิบัติ จะต้องอยู่ในหนทางและมีสัญลักษณ์อันนี้ของพระผู้เป็นเจ้า เปรียบได้กับสินค้าต่างๆที่บริษัทได้ผลิตขึ้นมา จำเป็นที่จะต้องมียี่ห้อ หรือสัญลักษณ์ของบริษัทที่ผลิตสินค้านั้นๆ หรือสัญลักษณ์ของประเทศต่างๆ เราจะเห็นได้ว่า ทุกๆประเทศจะมีธงชาติเป็นตราสัญลักษณ์เฉพาะของตัวเอง ในศาสนาอิสลามก็เช่นเดียวกัน สโลแกน หรือ ประโยค อันเป็นสัญลักษณ์ของผู้ภักดีต่อพระเจ้าเพียงองค์เดียว คือ นามของพระองค์ ดั่งที่ผู้อ่านได้เห็นในประโยคและตัวอย่างที่กล่าวข้างต้นแล้ว หนึ่งในสัญลักษณ์ของคนที่เป็นมุสลิม ก็คือ การกล่าว บิสมิลลาฮ์ นั่นเอง
คำถาม : คำว่า บิสมิลลาฮิรเราะฮฺมานิรเราะฮีม เปนส่วนหนึ่งของโองการของซูเราะฮ์ในอัลกุรอานหรือไม่ ?
คำตอบ : ตามความเชื่อของสายธารอะฮฺลุลบัยต์ นับตั้งแต่ในสมัยของท่านนบี (ศ็อลฯ) จนถึงในยุคของบรรดาอุละมะอ์ และ ฟุเกาะฮา บรรดาบุคคลหล่านี้ได้พูดถึงความบริสุทธิ์ของอัลกุรอาน และ อธิบายถึงคำว่า บิสมิลลาฮ์ ในอัลกุรอานว่า”บิสมิลลาฮ์ คืออายะฮ์ และส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน” ซึ่ง เชค ฟัครุรรอซีย์ หนึ่งในผู้รู้ที่ยิ่งใหญ่ของอะฮ์ลิซซุนนะฮฺ ได้ยกหลักฐานว่า บิสมิลลาฮ์ คือส่วนหนึ่งของซูเราะฮ์ เช่นเดียวกัน อัลลามะฮ์ อาลูซีย์ หนึ่งในผู้รู้ของอะฮ์ลิซซุนนะฮ์ ก็ได้กล่าวรายงานเช่นนี้, ในหนังสือมุสนัด อะฮ์หมัด ก็ยืนยันถึงการเป็นส่วนหนึ่งในซูเราะฮ์ของคำว่า บิสมิลลาฮ์ เช่นกัน
ทว่าในประวัติศาสตร์ของอิสลาม ก็มีบันทึกบางส่วนที่รายงานว่า บิสมิลลาฮ์ ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของซูเราะฮ์ และไม่ได้กล่าว บิสมิลลาฮ์ ในอัลกุรอาน ในขณะเดียวกันมีรายงานในหนังสือ มุสตัดรอก ฮากิม ที่รายงานเกี่ยวกับการละทิ้งคำว่า บิสมิลลาฮ์ ในนมาซ ในประวัติศาสตร์เกี่ยวกับมุอาวิยะฮ์ ในวันหนึ่ง ขณะที่มุอาวิยะฮ์ ได้ทำการนมาซ และเขาไม่ได้กล่าวคำว่า บิสมิลลาฮ์ ในนมาซ ประชาชนเมื่อได้ยินดังนั้นจึงกล่าวกับเขาว่า ท่านได้ลบส่วนหนึ่งจากโองการอัลกุรอานในนมาซไป
บรรดาอิมามมะอ์ศูม (อ) ได้เน้นย้ำถึงการกล่าว บิสมิลลาฮ์ ให้เสียงดังในนมาซ อิมามบากิร (อ.) ได้กล่าวถึงผู้ที่ไม่ได้กล่าว บิสมิลลาฮ์ ในนมาซ หรือไม่ถือว่า บิสมิลลาฮ์ คือส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน และซูเราะฮ์ว่า “พวกเขาได้ทำการลบโองการที่ประเสริฐที่สุด(บิสมิลลาฮิรเราะฮ์มานิรเราะฮีม) ”
มีผู้รู้และอุละมาอ์ทั้งสายอิมามิยะฮ์และอะฮ์ลิซซุนนะฮ์ยืนยันอย่างมากมายว่า คำว่า บิสมิลลาฮ์ ในอัลกุรอาน คือโองการหนึ่งในบรรดาซูเราะฮฺต่างๆยืนยันจากคำกล่าวในหนังสือตัฟซีรซูเราะฮ์ อัลฟาติฮะฮฺ ของชะฮีดมุเฏาะฮฺฮะรี โดยท่านได้รวมรวมรายชื่อ และทัศนะของบรรดาสาวก และผู้รู้ในแต่ละยุคสมัย ที่พิสูจน์ และยืนยันว่า บิสมิลลาฮ์ คือ ส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน ไม่ว่าจะเป็น อิบนุอับบาส , ฟัครุรรอซีย์ , อิบนิฏอวูซ ,อิบนุซุบัยรฺ และซูยูฏีย์
บทความโดย Muhammad Behesti
ที่มา เอบีนิวส์ทูเดย์