บทเรียนอูศูลุดดีน (รากฐานของศาสนา)
เรื่องเตาฮีด (ความเป็นเอกะของพระผู้เป็นเจ้า) ตอนที่ 13
การใช้สติปัญญาคือการพินิจพิเคราะห์หาเหตุหาผล หาเนื้อแท้ของทุกสรรพสิ่ง ค้นหาแก่นสารของสรรพสิ่ง หาฮากีกัตของสรรพสิ่ง ตัวอย่างของอูฐที่ได้อธิบายไปแล้วในบทที่ผ่านมา ซึ่งจะนำมาอธิบายอีกครั้งหนึ่ง
ในซูเราะฮ์ ฆอชียะฮ์ โองการที่ 17 ได้กล่าวว่า
أَفَلا یَنْظُرُونَ إِلَى الْابِلِ کَیْفَ خُلِقَتْ
“พวกเจ้าไม่พิจารณาไปยังอูฐดอกหรือว่ามันถูกสร้างมาอย่างไร”
โองการนี้บอกมนุษย์ว่าสติปัญญาเบื้องต้นก็เพียงพอที่จะพิสูจน์การมีอยู่ของพระผู้เป็นเจ้าได้ จะเห็นได้ว่าการใช้สติปัญญาเบื้องต้นมันมีอยู่ในมนุษย์ทุกคนแม้แต่คนที่เลี้ยงอูฐ ดังนั้น การที่พระองค์บอกว่าให้ดูที่อูฐ ต้องการบอกคนที่อยู่กับอูฐ ต้องการบอกคนที่เลี้ยงอูฐว่า จงพิจารณาไปยังอูฐเพื่อจะพบถึงการมีอยู่ของพระผู้สร้าง ดูว่าอูฐถูกสร้างมาอย่างไร โดยมองไปที่รายละเอียดในการสร้างอูฐ คนที่อยู่ในประเทศที่มีอูฐคนเหล่านี้จะรู้รายละเอียดของอูฐเป็นอย่างดี
อูฐถูกสร้างมาให้มีตาสองชั้น เมื่อมันปิดตาชั้นแรกมันยังสามารถมองเห็นอยู่เพื่อสามารถเดินในทะเลทรายได้ในเวลาที่เกิดพายุทะเลทราย ทรายจะไม่เข้าตาของอูฐ อูฐมีท้องที่สามารถเก็บน้ำได้เป็นจำนวนมาก เพื่อใช้เดินทางไกลในทะเลทรายที่ไม่มีแหล่งน้ำ เท้าของอูฐเป็นลักษณะที่ตรงกลางจะลุ่มลงไปเพื่อสามารถที่จะเดินในทะเลทรายได้
ถ้าเป็นกีบไม่สามารถเดินในทะเลทรายได้ เท้าจะจมทราย นอกจากนั้นแล้วมนุษย์สามารถใช้ประโยชน์จากอวัยวะต่างๆของอูฐได้เกือบทั้งหมด มนุษย์ใช้อูฐเป็นยานพาหนะ ใช้เนื้อและนมของอูฐเป็นอาหาร แม้กระทั่งหนังและมูลของมันมนุษย์ก็สามารถใช้ประโยชน์ได้ จะเห็นว่าอูฐกับทะเลทรายเป็นสิ่งที่คู่กัน มันมีความเหมาะสมถูกต้อง มันช่างเป็นสิ่งเหมาะสมเหมาะเจาะมาก เมื่อมนุษย์ใช้สติปัญญาเบื้องต้นไม่มีใครคิดว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นมาโดยบังเอิญแค่มนุษย์พิจารณาอูฐก็นำไปสู่การรู้จักพระผู้เป็นเจ้าได้
แต่ละบุคคลแต่ละสภาพแวดล้อมก็มีความรู้เบื้องต้นที่แตกต่างกันไป ซึ่งความรู้เบื้องต้นของชาวอาหรับของคนที่อยู่ในทะเลทราย คือความรู้เกี่ยวกับอูฐ เกือบจะไม่มีอาหรับคนใดที่ไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับอูฐ เป็นความรู้เบื้องต้นที่ไม่ต้องไปเรียนอะไรอย่างลึกซึ้ง คนที่อยู่กับสิ่งใดก็ตามเขาก็จะมีความรู้เกี่ยวกับสิ่งนั้นในการพิสูจน์การมีอยู่ของพระผู้เป็นเจ้า
เนื่องจากว่า พระผู้เป็นเจ้านั้นทรงปรากฏอยู่ในทุกๆสรรพสิ่ง พระผู้เป็นเจ้านั้นทรงถูกประจักษ์อยู่ในทุกๆสรรพสิ่ง สิ่งที่ยืนยันคือโองการจากอัลกุรอาน
ในซูเราะฮ์ อัลบูรูญ โองการที่ 9
وَ اللّهُ عَلى کُلِّ شَیْء شَهِیدٌ
“แท้จริงพระองค์อัลลอฮ์ (ซบ) นั้นทรงถูกประจักษ์เหนือทุกๆสรรพสิ่ง”
คำว่า “”ชะฮีด”มีอยู่หลายความหมาย หนึ่งในความหมายจากโองการนี้ คือ
ประจักษ์แจ้ง หมายความว่ามนุษย์สามารถประจักษ์พระองค์ในทุกสิ่งทุกอย่างได้ การประจักษ์ก็หมายถึงการปรากฏ พระองค์ปรากฏอยู่ในทุกๆสรรพสิ่ง มนุษย์สามารถประจักษ์พระองค์ได้ในทุกๆสรรพสิ่ง เพราะพระองค์ “ชะฮีด”(ถูกประจักษ์)ในทุกๆสิ่ง พระองค์ปรากฏอยู่ในทุกสรรพสิ่ง หมายความว่าไม่ว่ามนุษย์จะมองอะไรก็ตามสามารถพบเจอพระองค์ได้ มนุษย์สามารถพิสูจน์พระองค์ได้ในทุกๆที่ ในซูเราะฮ์ อัลฆอชิยะฮ์ โองการที่ 17 ที่บอกให้มนุษย์พิจารณาไปยังอูฐว่ามันถูกสร้างมาอย่างไร ก็ไม่ได้หมายความว่าให้มนุษย์มองไปที่อูฐเพียงอย่างเดียว
คนที่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่มีอูฐ เช่นสมมติคนไทยเราไม่มีอูฐไม่ได้หมายความว่าเราไม่ต้องพิจารณาอะไร เราสามารถพิจารณาไปยังสิ่งใกล้ตัวเรา พิจารณาไปยังสัตว์อื่นๆ หรือสรรพสิ่งอื่นๆได้
โองการต่อมาในซูเราะฮ์อัลฆอชียะฮ์โองการที่ 18-20
وَ إِلَى السَّماءِ كَيْفَ رُفِعَتْ
“พวกเจ้ามิได้พิจารณาไปยังชั้นฟ้าดอกหรือว่ามันถูกยกให้สูงอย่างไร”
ท้องฟ้าถูกประดับประดาอย่างสวยงามด้วยดวงดาวที่สว่างไสว ด้วยดวงอาทิตย์ที่จรัสแสง ด้วยดวงจันทร์ที่เจิดจ้า และอากาศและออกซิเจนก็ได้รับการเติมเต็มเพื่อให้สิ่งที่มีชีวิตสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้
ถ้าหากไม่มีอากาศจะไม่มีสิ่งมีชีวิตใดหลงเหลืออยู่เลย
وَ إِلَى الْجِبالِ كَيْفَ نُصِبَتْ
“พวกเจ้าไม่พิจารณาไปยังภูเขาดอกหรือว่ามันถูกวางไว้อย่างไร”
ภูเขาก็เหมือนกับตะปูของโลกทำให้แผ่นดินดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคง และภูเขายังเป็นแหล่งตาน้ำ และเป็นที่เก็บแร่ธาตุต่างๆไว้อย่างมากมาย
وَ إِلَى الْأَرْضِ كَيْفَ سُطِحَتْ
“พวกเจ้าไม่พิจารณาไปยังแผ่นดินดอกหรือว่ามันถูกแผ่ลาดไว้อย่างไร”
แผ่นดินถูกทำให้กว้างขว้างและมีความเหมาะสมที่มนุษย์สามารถจะอยู่อาศัยได้
การเดินทางและการขนส่งเกิดขึ้นอย่างสะดวกและง่ายดาย มนุษย์กำลังใช้ประโยชน์แร่ธาตุทางอุตสาหกรรมต่างๆที่มาจากแผ่นดิน ถ้าหากมนุษย์ได้พิจารณาและไตร่ตรองสิ่งต่างๆเหล่านี้ทั้งหมดแล้วไม่มีความสงสัยใดๆเลยว่าสรรพสิ่งต่างเหล่านี้ถูกจัดวางไว้อย่างมีระบบระเบียบพึ่งพาซึ่งกันและกัน
สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้จากผู้สร้างที่มีความรอบรู้อย่างถี่ถ้วน และความสัมพันธ์กันของสรรพสิ่งต่างๆยังชี้ให้เห็นว่าผู้สร้างและผู้อภิบาลชั้นฟ้าแผ่นดินและสิ่งที่อยู่ระหว่างมันทั้งสองนั้นต้องมีแค่หนึ่งเดียว เมื่อมนุษย์มีความรู้เบื้องต้นความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับชั้นฟ้า ภูเขา แผ่นดิน หรือสรรพสิ่งใดก็ตาม มนุษย์ก็จะพบพระผู้เป็นเจ้าในความรู้อันนั้นที่เขามีอยู่
มนุษย์สามารถพิจารณา ในสิ่งที่เขามีความรู้ และพิสูจน์การมีอยู่ของพระองค์ด้วยสิ่งนั้น จะให้อัลกุรอานบอกไว้ทั้งหมดเลยนั้นเป็นไปไม่ได้ อัลกุรอานบอกไว้เป็นเพียงตัวอย่าง ไม่ว่ามนุษย์จะพิจารณาสิ่งใดด้วยด้วยความรู้เบื้องต้นก็สามารถพบพระผู้เป็นเจ้าได้ เพราะพระผู้เป็นเจ้าทรง”ชะฮีด” ทรงประจักษ์อยู่ในทุกสรรพสิ่ง บรรดาศาสดาก็ใช้วิธีนี้ อัลกุรอานก็ใช้วิธีนี้เพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าใจได้
แม้แต่ การพิสูจน์การมีอยู่หนึ่งเดียวความเป็นเอกะของพระผู้เป็นเจ้าก็สามารถพิสูจน์ด้วยสติปัญญาเบื้องต้นของมนุษย์
อัลกุรอานพิสูจน์เรื่องนี้อยู่ในซูเราะฮ์อัมบิยาอฺ โองการที่ 22
لَوْ کانَ فیهِما آلِهَةٌ إِلَّاالله لفسدتا
“หากว่ามีพระเจ้าสององค์ นอกจากอัลลอฮ์ ทั้งสองต้องพินาศ”
สมมุติว่า พระเจ้าองค์หนึ่งจะให้ดวงอาทิตย์ขึ้นทางหนึ่ง พระเจ้าอีกองค์หนึ่งจะให้ดวงอาทิตย์ขึ้นอีกทางหนึ่ง จึงเกิดความขัดแย้งกัน พระเจ้าองค์หนึ่งอยากให้ดวงอาทิตย์ขึ้นหกโมง พระเจ้าอีกองค์หนึ่งจะให้ขึ้นแปดโมง และเรื่องอื่นๆ เพราะต่างคนต่างก็มีอำนาจยอมกันไม่ได้เป็นพระเจ้าเหมือนกัน เมื่อเป็นเช่นนี้ชั้นฟ้าและแผ่นดินก็จะพบกับความพินาศตามที่อัลกุรอานได้บอกไว้ สติปัญญาเบื้องต้นของมนุษย์จึงสรุปได้ว่า พระเจ้าจะต้องมีองค์เดียวเท่านั้น
ขอขอบคุณสถาบันศึกษาศาสนาอัลมะฮ์ดี