ความหน้าไหว้หลังหลอกพฤติกรรมอันชั่วร้าย
ความหน้าไหว้หลังหลอกเป็นลักษณะนิสัยอย่างหนึ่งที่ส่งผลร้ายต่อสังคม เพราะความหน้าไหว้หลังหลอกไม่เพียงแต่แต่จะเป็นการกีดกันมิให้คนเราได้บรรลุถึงความจริงแท้หรือแม้กระทั่งความพยายามที่จะแสวงหาความจริงแท้เท่านั้นแต่ยังกลายเป็นเขื่อนซึ่งทำลายไม่ได้ที่มากั้นขวางหนทางแห่งการแสวงหาบุคลิกภาพที่ดีงามด้วย และนำไปสู่ความไม่สมบูรณ์ฝ่ายจิตวิญญาณ และปราศจากความสุข
ความหน้าไหว้หลังหลอกเป็นโรคระบาดอันตรายที่คุกคามต่อเกียรติและศักดิ์ศรี ทำให้เกิดความระแวงสงสัย มองสิ่งต่างๆในแง่ร้าย และนำเอาความวิตกกังวลมาแทนที่ความมั่นใจในตนเอง คนที่ก้าวมาถึงจุดอันตรายของความประพฤติผิดๆ มักจะยืนยันกับตนเองว่าเขาต้องการสิ่งที่ดีที่สุดให้แก่ผู้คน เมื่อคนหน้าไหว้หลังหลอกเข้าไปเกี่ยวข้องกับสามีภรรยาที่ขัดแย้งกัน เขาก็จะแสดงตัวว่าเป็นเพื่อนรักคอยให้คำปรึกษาเป็นผู้แนะนำที่ซื่อสัตย์แต่สุดท้ายกลับทรยศติอสามีภรรยาคู่นั้นโดยตำหนิติเตียนเขาอย่างมากมาย
คนหน้าไหว้หลังหลอกจะยกย่องผู้อื่นอย่างไม่จริงใจ ยอมรับอุดมการณ์ของผู้อื่นอย่างไม่มีเงื่อนไข แต่เมื่อถึงเวลาที่จำเป็นจะต้องปกป้องความเที่ยงธรรม พวกเขากลับยับยั้งที่จะไม่กระทำเช่นนั้น และเมื่อพี่น้อง เพื่อน หรือ มิตรสหายของเขาถูกทดสอบ ถูกกล่าวหาในทางที่ไม่ดี หรือถูกใส่ร้ายป้ายสี คนหน้าไหว้หลังหลอกจะตีตนออกห่าง ปฏิเสธการช่วยเหลือใดๆทั้งสิ้นต่อพี่น้องหรือมิตรสหายของเขา และไม่สนใจใยดีต่อการปกป้องความเที่ยงธรรม แต่บนความหน้าไหว้หลังหลอกพวกเขาจะหาความชอบธรรมให้กับตนเองโดยการกล่าวว่าสิ่งที่พวกเขาทำนั้นถูกต้อง เพื่อผลดีแก่สังคม และดูเหมือนจะเป็นที่ชอบธรรมของสาธารณชน
แม้เหตุผลมากมายที่เขายกขึ้นมาจะดูเหมือนถูกต้องแต่ในความเป็นจริงพวกเขาคือผู้ที่ได้ชื่อว่า หน้าไหว้หลังหลอก เพราะการปฏิบัติของพวกเขาได้ละเลยต่อการปกป้องความเที่ยงธรรมของผู้อื่น
ท่านอิมามบากิร(อ) กล่าวว่า “การที่ผู้ศรัทธาจะตีสองหน้าและพูดด้วยลิ้นสองแฉกนั้นเป็นความชั่วร้าย เขาจะยกย่องสรรเสริญพี่น้องของเขาในยามที่ฝ่ายหลังอยู่ต่อหน้า แต่จะกล่าวร้ายป้ายสีเมื่อฝ่ายหลังม่อยู่ ถ้าใครให้สิ่งใดแก่พี่น้องของเขา เขาก็อิจฉาตาร้อน และถ้าพี่น้องของเขาถูกทดสอบ เขาจะไม่ช่วยเหลือ”
โดย มัรยัมกุบรอ
ขอขอบคุณ เว็บไซต์อะฮ์ลุลบัยต์อะคาเดมี