บทเรียนจากตัฟซีรเนะฮ์มูเนะฮ์ โองการที่ 106 บทอัตเตาบะฮ์
โองการนี้ กล่าวถึงอีกกลุ่มชนหนึ่ง ซึ่งเป็นกลุ่มที่แสดงความขัดแย้ง ทั้งที่ชะตากรรมของพวกเขานั้นขึ้นอยู่พระเจ้า โดยกล่าวว่า
وَآخَرُونَ مُرْجَوْنَ لأَمْرِ اللّهِ إِمَّا يُعَذِّبُهُمْ وَإِمَّا يَتُوبُ عَلَيْهِمْ وَاللّهُ عَلِيمٌ حَكِيمٌ
คำแปล :
106. และมีกลุ่มชนอีกกลุ่มหนึ่ง ที่ยังรอคำบัญชาของอัลลอฮ์ (ภารกิจของเขาขึ้นอยู่กับพระเจ้า) พระองค์อาจจะทรงลงโทษพวกเขาและอาจจะทรงอภัยโทษให้แก่พวกเขา และอัลลอฮ์ เป็นผู้ทรงรอบรู้ ผู้ทรงปรีชาญาณ
สาเหตุแห่งการประทานลงมา :
เรื่องราวของการประทานโองการนี้ลงมา ได้มีการกล่าวไว้ถึง 2 ลักษณะด้วยกัน บนพื้นฐานของรายงานบางบทกล่าวว่า โองการข้างต้นประทานให้กับบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาที่ก่อสงครามกับบรรดามุสลิม และได้ทำชะฮีด (สังหาร) มุสลิม หลังจากนั้นได้หันหลังให้กับการปฏิเสธ โดยเข้ายอมรับอิสลาม[1] ซึ่งตามสาระของโองการข้างต้นชะตาชีวิตของพวกเขาขึ้นอยู่กับพระบัญชาของพระเจ้า
นักตัฟซีรบางกลุ่ม กล่าวว่าโองการดังกล่าวถูกประทานให้แก่คน 3 คนได้แก่ หิลาล บิน อุมัยยะฮ์ มุรอเราะฮ์ บิน เราะบีอ์ และกะอ์บ์ บิน มาลิก ที่ฝ่าฝืนไม่ออกทำสงครามตะบูก ซึ่งรายละเอียดของพวกเขาถูกกล่าวไว้ในโองการที่ 118 บทเตาบะฮ์นี้เอง[2]
คำอธิบาย :
โองการนี้กล่าวถึงกลุ่มชนอีกกลุ่มหนึ่งที่กระทำความผิด ซึ่งบั้นปลายสุดท้ายของการงานของพวกเขาไม่เป็นที่ชัดเจนว่า จะได้รับความเมตตาจากอัลลอฮ์ หรือว่าจะสิ้นหวังในการวิงวอนขออภัยโทษต่อพระองค์ ดังนั้น
1.โองการจึงกล่าวถึงมุสลิมที่กระทำความผิด ซึ่งพวกเขามีความศรัทธาไม่มั่นคง และกระทำความดีงามไว้ไม่เพียงพอที่จะช่วยเหลือพวกเขา ขณะที่พวกเขาก็มิได้ก่อความเสียหายอันใดจนเกินเลย และไม่ได้หันเหออกไปจากสัจธรรมชนิดสุดตัว ซึ่งพวกเขาก็ยังมีความรักและความอาลัยอยู่ ดังนั้น พวกเขาจึงปล่อยชะตาชีวิตไว้กับบัญชาของพระเจ้า
คำว่า มัรญูน มาจากรากศัพท์คำว่า อัรญาอ์ หมายถึง ความล่าช้า หรือการหยุดชงัก ตามความหมายเดิม เราะญาอ์ หมายถึง ความหวัง อีกด้านหนึ่งมนุษย์นั้นบางครั้งจะให้ความหวังกับบางสิ่งจึงปล่อยให้ล่าช้าออกไป คำๆ นี้จึงให้ความหมายว่า ล่าช้า ขณะที่ความล่าช้านั้นมักจะมาพร้อมกับความหวัง เพื่อที่จะได้ใช้ความรู้และวิทยปัญญาของตนแก้ไขปัญหานั้นให้ลุล่วงไป
2.อีกบางกลุ่มจากโองการข้างต้น (102 บทอัตเตาบะฮ์) กล่าวถึง กลุ่มชนที่ฝ่าฝืนไม่ยอมออกสงครามตะบูก แต่หลังจากสำนึกตัวแล้วได้ทำการกลับใจ โดยมีความหวังในการอภัย ดังนั้น จะเห็นได้ว่าคน 2 กลุ่มนี้มีความแตกต่างกันในหลายประเด็นด้วยกัน
ประการแรก คนกลุ่มแรกได้รีบเร่งวิงวอนขออภัยและกลับใจ พร้อมกับได้แสดงสัญลักษณ์ของการสำนึกผิดของตนออกมา จนกระทั่งได้มัดตัวเองติดไว้กับเสาในมัสญิดศาสดา แต่คนกลุ่มที่สองมิได้กระทำเช่นนั้น
ประการที่สอง คนกลุ่มแรกฝ่าฝืนเฉพาะสงครามตะบูกเท่านั้น แต่คนกลุ่มที่สองนี้ ตามรายงานบางบท กล่าวว่า เขาได้กระทำบาปใหญ่กล่าวคือได้สังหารท่านฮัมซะฮ์ ผู้เป็นลุงสุดที่รักของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ซึ่งสิ่งนี้ไม่ใช่ง่ายเลยหากต้องการจะชดเชยในการกระทำของตน
บทเรียนจากโองการ :
1. พระหัตถ์ของพระเจ้าเปิดกว้างเสมอสำหรับการลงโทษและการอภัยในความผิด เพียงแต่พระองค์ปฏิบัติไปตามวิทยปัญญาและความรอบรู้ของพระองค์
2. เกี่ยวกับชะตาชีวิตของผู้เป็นมุสลิม (ที่กระทำความผิด) อย่าได้รีบด่วนตัดสินเขาเป็นอันขาด ทว่าจงปล่อยให้ชะตาชีวิตของพวกเขาอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้าดีกว่า
เชิงอรรถ
[1]ตัฟซีรศอฟี เล่ม 2 หน้า 374
[2] บิฮารุลอันวาร เล่ม 21 หน้า 202 และ 204, มัจญ์มะอุลบะยาน อธิบายโองการดังกล่าว