0 ทัศนะต่างๆ 0.0 / 5
บทความต่างๆ ›
อัลกุรอาน ›
อรรถาธิบายอัลกุรอาน
จัดพิมพ์ใน
2017-12-23 13:28:20
ผู้เขียน:
เว็บไซต์ทีวีชีอะฮ์
ตัฟซีร ซูเราะฮ์อัลอิคลาศ ตอนที่ 2
ความสัมพันธ์กันระหว่างท้องฟ้าและพื้นดิน มวลสรรพสิ่งทั้งหลายกับมนุษย์ เป็นความสัมพันธ์ที่ละเอียดอ่อน เป็นระบบที่มีอยู่ในหมู่ของสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย สมมติว่าท่านได้จ้างคนวาดรูป ๓ คน และได้สั่งกับคนที่หนึ่งว่า ท่านจงวาดหัวไก่ สั่งกับคนที่สองว่าท่านจงวาดตัวไก่ และสั่งกับคนที่สามว่าท่านจงวาดหาง และขาไก่ เมื่อท่านนำเอารูปภาพทั้งสามมาวางเรียงต่อกัน ท่านจะพบว่ารูปทั้งสามนั้นไม่เข้ากันเลย บางรูปอาจจะใหญ่หรือเล็กไป บางรูปอาจจะระบายสีสวยงาม ขณะที่อีกรูปอาจจะดูเลอะเทอะและเปรอะเปื้อนไปทั้งหมด
ความสัมพันธ์กันระหว่างดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ พื้นดิน น้ำ ลม ดิน ภูเขา ทะเลทราย ทะเล กับความต้องการของมนุษย์ เป็นเครื่องบ่งชี้ถึงการมีพระผู้สร้างองค์เดียว มนุษย์นั้นหายใจเอาอ๊อกซิเจนเข้า และหายใจเอาคาร์บอนไดออกไซด์ออก ขณะที่ต้นไม้นำเอาคาร์บอน เหล่านั้นไปฟอกเพื่อให้เปลี่ยนเป็น ออกซิเจน ยังประโยชน์แก่สิ่งมีชีวิตอื่น ๆ และมนุษย์
ความต้องการของทารกน้อย ๆ ถูกตอบสนองให้ด้วยกับความรักของบิดามารดา
ความเหน็ดเหนื่อยในตอนกลางวัน ถูกขจัดให้หมดไปด้วยการการนอนหลับพักผ่อนในตอนกลางคืน
น้ำตาถูกสร้างให้มีรสเค็ม ส่วนน้ำลายนั้นมีรสหวาน เพื่อจะใช้น้ำตาทำการชำระล้างดวงตาให้ใสสะอาด ส่วนน้ำลายช่วยในการย่อยและเป็นการเพิ่มรสชาดให้กับอาหาร
สิ่งเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นมาให้มีความเหมาะสม และสอดคล้องกันกับธรรมชาติของสรรพสิ่ง และความต้องการของมนุษย์ และยังเป็นเครื่องบ่งชี้ว่า โลกนี้มีพระผู้สร้างเพียงองค์เดียว ซึ่งพระองค์นั้นทรงปรีชาญาณและทรงเดชานุภาพยิ่ง
ในสงครามญะมัล ได้มีอาหรับทะเลทรายคนหนึ่งมาหาท่านอิมามอะลี (อ.) และถามความหมายของอัต-เตาฮีด ทำให้บรรดาทหารของท่านอิมามเกิดความไม่พอใจ และกล่าวกับชายคนนั้นว่า ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาถามเรื่องของเตาฮีด แต่ทว่าท่านอิมามอะลี (อ.) ได้อธิบายความหมายของเตาฮีดอย่างละเอียดให้ชายผู้นั้นฟัง และได้กล่าวว่า “ก็เพราะเรื่องของเตาฮีดนี้แหละที่เราต้องทำสงครามกับศัตรู” (ตัฟซีรฺนูรุษษะเกาะลัยนฺ เล่มที่ 5 หน้าที่ 709)
แน่นอนประวัติศาสตร์อิสลามได้จารึกไว้ว่า การทำสงครามที่เกิดขึ้นในอดีตนั้นเพื่อการวางรากฐานของเตาฮีด จึงทำให้กลุ่มผู้สูญเสียผลประโยชน์ ลุกขึ้นมาต่อต้านและพาลหาเหตุก่อสงครามกับท่านศาสดา (ศ็อล ฯ) ครั้งแล้วครั้งเล่า
اللَّهُ الصَّمَدُ
“อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ทรงเป็นที่พึ่ง”
หมายถึง การไม่ยอมรับอิทธิพล และการเปลี่ยนแปลง และมิใช่ทั้งความว่างเปล่า
อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นที่พึ่งนั้นหมายถึงพระองค์มิใช่วัตถุและมิได้เป็นอวัตถุ และสิ่งใดก็ตามที่เป็นวัตถุย่อมพบกับการเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา และคงไว้ซึ่งความว่างเปล่า พระองค์ไม่มีดวงตาดั่งที่มนุษย์นั้นมี และไม่มีควงตาคู่ใดสามารถมองเห็นพระองค์ได้ พระองค์มิได้เป็นเหมือนสนามแม่เหล็กที่ดึงดูดเหล็กและโลหะวัตถุ แต่สรรพสิ่งทั้งหลายล้วนต้องการและพึ่งพิงไปยังพระองค์
อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็น หมายถึง ไม่มีอำนาจใด สามารถมีอิทธิพลเหนือพระองค์ ในทางตรงกันข้าม อำนาจของพรองค์ครอบคลุมอยู่เหนือมวลทุกสรรพสิ่ง
อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็น หมายถึง พระองค์ทรงเดชานุภาพ และไร้ซึ่งความว่างเปล่า ซึ่งพลังและอำนาจทั้งหลาย มาจากพระองค์ ๆ ครอบคลุมอยู่เหนือมวลทุกสรรพสิ่ง
อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็น صَمَدُ หมายถึง การมีของพระองค์สมบูรณ์ และพระองค์ให้ความสมบูรณ์แก่สรรพสิ่งอื่น ขณะที่สรรพสิ่งใดต้องการไปสู่ความสมบูรณ์ ต้องพึ่งพาและวิงวอนขอความช่วยเหลือจากพระเมตตาของพระองค์ คำบัญชาของพระองค์ อยู่เหนือคำสั่ง และความต้องการทั้งหลาย พระองค์ไม่ทรงพักผ่อนและนอนหลับ ไม่ปรารถนาหุ้นส่วน และผู้ช่วยเหลือในการบริหารงาน เพราะพระองค์เป็น ที่ไม่ต้องการที่พึ่ง แต่เป็นที่พึ่งของมวลสรรพสิ่งอื่น
لَمْ يَلِدْ وَلَمْ يُولَدْ
“พระองค์มิได้ให้กำเนิดและพระองค์มิได้ถูกกำเนิด”
พระองค์ คือผู้สร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ซึ่งไม่ใช่การกำเนิดสิ่งเหล่านั้น ภารกิจของพระองค์มิใช่การผลิต เพื่อจะได้ผลิตสิ่งที่เหมือนกับพระองค์ แต่พระองค์ทรงอุบัติจากสิ่งที่ไม่มีให้มีขึ้นมา
มารดาได้คลอดบุตรออกจากครรภ์ ทารกน้อยคนนั้นเป็นสิ่งมีชีวิตประเภทเดียวกันกับนาง เหมือนนาง แต่สำหรับพระองค์อัลลอฮฺ (ซบ.) แล้ว ไม่มีสรรพสิ่งใดเสมอเหมือนและเทียบเคียงกับพระองค์ได้ พระองค์มิได้ให้กำเนิดสิ่งใด และมิมีสิ่งให้กำเนิดพระองค์อัล-กุรอานกล่าวว่า
لَيْسَ كَمِثْلِهِ شَيْءٌ
“ไม่มีสิ่งใดเหมือนกับพระองค์” (อัซชูรอ /11)
คำพูดที่ว่า “ไม่มีสิ่งใดเหมือนกับพระองค์” เป็นคำพูดที่ขัดแย้งกับความเชื่อของคริสเตียน เนื่องจากว่า พวกเขาเชื่อว่า ท่านศาสดาอีซา (อ.) เป็นบุตรของพระเจ้า และท่านศาสดานั้นคล้ายคลึงกับพระองค์ นอกจากนั้นโองการข้างต้นยังได้ปฏิเสธความเชื่อของบรรดามุชริกีน อย่างสิ้นเชิงเช่นกัน พวกเขาเชื่อว่า บรรดามะลาอิกะฮฺนั้นเป็นบุตรของพระผู้เป็นเจ้า ขณะที่โองการยืนยันว่า พระผู้เป็นเจ้ามิได้ให้กำเนิดบุตรทั้งบุตรีและบุตรชาย และพระองค์มิได้ถูกกำเนิดมาจากสิ่งใด เพื่อที่จะได้กล่าวว่า ผู้ให้กำเนิดพระองค์มีมาก่อนและดีกว่าพระองค์
การมีอยู่ของพระองค์ มิได้เหมือนกับผลไม้ ที่เติบโตขึ้นมาจากการผสมเกษร หรือเหมือนกับต้นไม้ที่เกิดจากการเพาะเมล็ด หรือต่อกิ่ง หรือเหมือนกับน้ำฝนที่เกิดจากการไอน้ำที่รวมตัวกันของก้อนเมฆ หรือเหมือนกับคำพูดที่ออกจากปาก หรือเหมือนกับความคิดที่ออกมาจากมันสมอง พระองค์ทรงมี แต่การมีอยู่ของพระองค์ไม่เหมือนกับการมีอยู่ของสิ่งใดทั้งหมด พระองค์มิได้ทรงสถิตอยู่ในสิ่งใด และไม่มีสิ่งใดสถิตอยู่ในพระองค์ ความสัมพันธ์ของพระองค์กับสรรพสิ่ง มิได้เป็นเหมือนความสัมพันธ์ของบิดามารดาที่มีต่อบุตร แต่เป็นความสัมพันธ์ในฐานะของพระผู้สร้างที่มีต่อสิ่งถูกสร้าง